เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2485: พบกันอย่างลับ ๆ
ตอนที่ 2485: พบกันอย่างลับ ๆ
ตงหลินหานวิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเปิดประตูออกมา เขาก็เห็นชายชราหน้าแดงยืนอยู่ข้างนอกโดยหันหลังให้กับตงหลินหาน พลางจ้องมองไปยังทิศทางของตงหลินหยานเซว่
ตงหลินหานรู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นชายชรา เขาแสดงความเครารพทันทีและป้องมือ “คารวะ บรรพชน ! ”
ชายชราผู้นี้เป็นบรรพชนตระกูลตงหลิน ตงหลินเค่อ
“เสี่ยวหาน กลับไปอ่านหนังสือของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องของตงหลิน ตอนนี้นางไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว นางรู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่” ตงหลินเค่อโบกมือขณะหันหลังให้กับเขา
“ตะ-แต่บรรพชน…” ตงหลินหานยังคงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม ด้วยสถานะตอนนี้ของคงหลินหยานเซว่ เขาจะปล่อยให้ชายแปลกหน้าเข้ามาให้ห้องของนางได้อย่างไร ?
“พอ พอ ข้ารู้เรื่องดังกล่าวแล้ว กลับไปอ่านหนังสือของเจ้า” ตงหลินเค่อกล่าว สายตาที่ชราของเขามุ่งไปยังทิศทางของตงหลินหยานเซว่พร้อมกับแสงที่แวววาวในสายตาที่ดูฉลาดลึกล้ำ ขณะที่เขาทำปากขมุบขมิบพลางเงยหน้าเบา ๆ
ภายในโถงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่างพราวเหนือโถงเซียนธาตุแสง หัวหน้าโถงเซียนธาตุแสง หยู่เฉิน อยู่ด้านบนขณะที่จ้องไปยังทะเลเมฆ
“ท่านหัวหน้า เราเพิ่งได้รับข้าวว่าผู้พิทักษ์ตงหลินหยานเซว่ได้เชิญชายนิรนามเข้าไปเป็นการส่วนตัวและให้เขาเข้าไปในเรือนของนาง” ในตอนนี้ผู้ส่งสารชุดดำมาถึงด้านหลังหยู่เฉินและพูดอย่างนอบน้อม
จากผู้พิทักษ์ทั้งหกของโถงเซียนธาตุแสง มีเพียงตงหลินหยานเซว่เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในตระกูลตงหลินตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ เพื่อปกป้องนาง โถงเซียนธาตุแสงจึงได้ซ่อนตัวท่ามกลางผู้คนในเมืองตงหลินและตระกูลตงหลินคอยดูแลนางตลอดเวลาและคอยป้องกันความปลอดภัยเพื่อไม่ให้มีใครวางแผนที่จะทำร้ายนาง
หลังจากที่พวกเขาไม่อาจสูญเสียผู้พิทักษ์กระบี่ได้ การปกป้องผู้พิทักษ์กระบี่จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับโถงเซียนธาตุแสง
เป็นผลให้เมื่อเจี้ยนเฉินถูกพาตัวไปยังตระกูลตงหลินด้วยตัวของตงหลินหยานเซว่ คนในโถงเซียนธาตุแสงจึงรับรู้เรื่องนี้ทันที
“ชายแปลกหน้า ? ” มีแสงวาบผ่านดวงตาของหยู่เฉิน เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น คิ้วของเขาขมวดขณะที่กำลังใช้ความคิด จากนั้นเขาก็โบกมือไล่ผู้ส่งสารออกไป เขาพูดเบา ๆ ว่า “ซวนจ้าน เข้ามา”
เสียงของหยู่เฉินดูเหมือนจะผ่านทะลุโถงศักดิ์สิทธิ์และดังเข้าไปในหัวของซวนจ้าน
ซวนจ้านปรากฏตัวด้านหน้าหยู่เฉิน เขาไม่ได้โค้งคำนับและเดินเข้ามาด้วยความสงบ เขาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ? ”
“ข้าเพิ่งจะได้รับข่าวว่าตงหลินหยานเซว่ได้รับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในตระกูลตงหลินและพาเขาไปที่ลานบ้านของนางตรง ๆ ซวนจ้าน เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ? ” หยู่เฉินกล่าวอย่างใจเย็น
“ชายแปลกหน้า ? ” ซวนจ้านก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาเข้าใจอย่างคร่าว ๆ เกี่ยวกับตงหลินหยวนเซว่ แล้วทำไมนางถึงพาผู้ชายที่ไม่รู้จักกลับมาที่บ้านของนาง ? ”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซวนจ้านก็พูดช้า ๆ “ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเจี้ยนเฉิน” หลังจากนั้นเขาก็จ้องไปที่หยู่เฉินด้วยดวงตาและพูดว่า “วิถีของเซียนจอมปราชญ์นั้นอยู่ที่เจี้ยนเฉิน ตอนนี้เขามาถึงที่ราบรกร้างแล้ว เราควรจะจัดการและนำมันกลับมาหรือไม่ ? ”
“กงซุนอี้ให้ความสำคัญกับวิถีของเซียนจอมปราชญ์ยิ่งกว่าข้า หลังจากนั้นเขาก็ได้รับส่วนอื่น ๆ ของมรดกของจอมปราชญ์แล้ว สิ่งที่เขาขาดคือวิถีการบ่มเพาะ หากเขาได้รับวิถีของเซียนจอมปราชญ์ กงซุนอี้ก็จะได้รับมรดกที่สมบูรณ์” หยู่เฉินกล่าว
ในโลกเซียน ตอนนี้ไม่มีใครนอกจากเจี้ยนเฉินที่รู้ว่าวิถีของเซียนจอมปราชญ์จากหอคอยธาตุแสงนั้นเป็นวิถีการบ่มเพาะของเชื้อสายนักรบวิญญาณ แม้ว่าจะมีคนอื่นครอบครองมัน แต่พวกเขาก็ไม่อาจฝึกฝนมันได้ เว้นแต่พวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อสายนักรบวิญญาณ
ซวนจ้านขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม “กงซุนอี้หยิ่งผยองมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเริ่มจับจ้องไปที่ตำแหน่งของหัวหน้าโถงเซียนธาตุแสง ด้วยบุคลิกและตัวตนของเขาในฐานะทายาทของจอมปราชญ์ เขาจะได้เอาตำแหน่งของเจ้าไม่ช้าก็เร็ว หากเอาวิถีของเซียนจอมปราชญ์กลับมา และต้องตกไปอยู่ในมือของกงซุนอี้ ข้าคิดว่าเราควรจะปล่อยให้มันอยู่กับเจี้ยนเฉินจะดีกว่า เราไม่อาจปล่อยให้วิถีของเซียนจอมปราชญ์อยู่ในมือของกงซุนอี้ได้”
เมื่อเขาไปถึงที่นั่น ซวนจ้านก็ถอนหายใจ เขาเต็มไปด้วยการทำอะไรไม่ถูกและความขมขื่น “ยิ่งไปกว่านั้นเชื้อสายนักรบวิญญาณเป็นตระกูลราชวงศ์ของเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงและเจ้านายของหอคอยธาตุแสงก็เป็นเชื้อสายนักรบวิญญาณ ถ้าจิตวิญญาณวัตถุของหอคอยธาตุแสงรู้ว่าเรากำลังกลับไปเข้ากับตระกูลราชวงศ์ เขาจะตอบสนองอย่างไร”
“เฮ้อ” หยู่เฉินก็ถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเยว่ฉามาที่ราบรกร้างเพื่อตรวจสอบ ทั้งเขาและซวนจ้านก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำตัวต่อเชื้อสายนักรบวิญญาณอย่างไร
พวกเขาได้ปกปิดความลับที่ว่าเชื้อสายนักรบวิญญาณว่าเป็นตระกูลราชวงศ์ พวกเขาไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้ นอกเหนือจากจิตวิญญาณวัตถุของหอคอยประกายแสงแล้ว ก็มีพวกเขาทั้งสองเท่านั้นที่รู้
นี่เป็นเพราะความบาดหมางระหว่างโถงเซียนธาตุแสงและเชื้อสายนักรบวิญญาณนั้นลึกซึ้งเกินไป มันมาถึงจุดที่เป็นไปไม่ได้ที่จะคืนดีกัน หากข่าวที่ว่าเชื้อสายนักรบวิญญาณเป็นตระกูลราชวงศ์มาก่อน มันจะนำมาสู่ความยุ่งเหยิงแน่นอน โถงเซียนธาตุแสงทั้งหมดอาจจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ทั้งซวนจ้านและหยู่เฉินต่างก็ไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น
หยู่เฉินจ้องมองลึกลงและกล่าวอย่างจริงจัง “มีอีกอย่างหนึ่ง ข้าคิดว่าเจ้ามีข้อสงสัยบางอย่างกับเรื่องนี้เช่นเดียวกับข้า นั่นก็คือไป๋หยูและหานซินเป็นแค่อัจฉริยะ 1 ดาวเท่านั้น นั่นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่งในโถงเซียนธาตุแสงของเราและหานซินก็ดูธรรมดาเช่นกัน ทำไมพวกเขาถึงได้ครอบครองกระบี่ผู้พิทักษ์ ? ”
“จากกระบี่ผู้พิทักษ์ทั้งหก ผู้ถือกระบี่ทั้งหมดนอกจากกงซุนอี้มีจุดที่คล้ายกันหมด พวกเขาทั้งหมดมีความสัมพันธ์กับเจี้ยนเฉิน”
ซวนจ้านยังคงเงียบ เขาไม่ได้พูดอะไร เขาและหยู่เฉินเริ่มมีความสงสัยในเรื่องนี้แล้ว
สามวันต่อมา ไป๋หยู, หานซินและซวนหมิง ภายใต้การนำของตงหลินหยานเซว่ พวกเขาได้มาถึงคฤหาสน์สุดหรูในเมืองที่พลุกพล่านมากในภาคกลาง พวกเขาได้พบเจี้ยนเฉินอย่างลับ ๆ
พวกเขาทั้งหมดปลอมตัวและปกปิดตัวตน พวกเขามาราวกับภูตผีและไม่ได้เป็นที่สนใจของใคร
“ศิษย์พี่รอง ! ” ไป๋หยูรู้สึกตื่นเต้นมากที่สุดในบรรดาสามคน ทันทีที่นางเห็นเจี้ยนเฉินก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ ราวกับว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นศิษย์พี่รองของนางเสมอ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรและไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
หานซินและซวนหมิงสงบอย่างมาก หานซินยิ้มให้กับเจี้ยนเฉินและพยักหน้าเบา ๆ ในขณะที่ซวนหมิงมองอย่างสับสน
“ศิษย์น้อง ท่าน ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากปลอมตัวเมื่อคราวนั้น ข้าทำให้พวกท่านประสบปัญหามาหลายปีแล้ว” เจี้ยนเฉินกล่าวกับหานซินและไป๋หยูด้วยการขอโทษ เขารู้ว่าไป๋หยูและหานซินมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากในโถงเซียนธาตุแสง ก่อนที่พวกเขาจะได้รับกระบี่ผู้พิทักษ์ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกละอายเล็กน้อย
“พี่ซวนหมิง ยกโทษให้ข้าด้วย ! ” หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็มองไปที่ซวนหมิงและป้องมือ
“เห้อ เจี้ยนเฉิน เจ้าซ่อนมันไว้ดีอย่างมาก ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อสายนักรบวิญญาณ” ซวนหมิงมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย มีบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยในการจ้องมองเจี้ยนเฉิน
“บอกข้าหน่อย เจี้ยนเฉิน เจ้าได้เสี่ยงชีวิตเพื่อมาที่ราบรกร้างและเรียกพวกเราที่นี่ อะไรคือเรื่องสำคัญ ? ” ซวนหมิงพูดต่อ แต่น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเย็นชา