เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2736: ดินแดนทำลายวิญญาณ
ตอนที่ 2736: ดินแดนทำลายวิญญาณ
หัวหน้าศาลา องค์กรในเมืองร้อยเซียนมีสถานะที่ยิ่งใหญ่มากในภายนอก ทรัพยากรที่มีค่าส่วนใหญ่ที่เผ่าของเราต้องการอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรเหล่านี้ เราได้แสดงพลังของเรา แล้วโดยการยึดเมืองร้อยเซียน แต่ถ้าเราประหารนักโทษเหล่านั้นทั้งหมด เราจะทำให้คนในองค์กรใหญ่เหล่านี้ไม่พอใจ หากพวกเขาหยุดจัดหาทรัพยากรให้กับเผ่าของเรา เราจะได้รับผลกระท ทบมากทีเดียว” ขั้นอสงไขยชั้นสวรรค์ที่ 4 พูด
เขาชื่อว่าอันเล่ยและเขาก็เป็นรองหัวหน้าศาลาเจ็ด
รองศาลาที่อยู่ชั้นสวรรค์ที่ 3 ก็กล่าวขึ้นมาเช่นกัน “อันเล่ยพูดถูก ท้ายที่สุดจักรพรรดิได้อนุญาตให้คนนอกเหล่านี้อยู่ได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง หัวหน้าศาลา ท่านไม่ควรทำ…”
“พอได้แล้ว ! ” อย่างไรก็ตามก่อนที่คาซอลพูดจบ เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยหัวหน้าศาลาเจ็ด เขาพูดอย่างเคือง ๆ ว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีก สั่งให้คนที่เฝ้าอยู่ใน เมืองร้อยเซียนประหารพวกเขาทันที อย่าให้คนนอกมีชีวิตรอดไปได้ ! ”
อันเล่ยและคาซอลมองไปยังอีกคน พวกเขาสามารถมองเห็นความไร้พลังของตัวของพวกเขาเอง อคติของหัวหน้าศาลาเจ็ดที่มีต่อคนนอกนั้นลึกล้ำมาก เขาต้องการใช้พิธีใหญ่เป็นข้ออ้างใน การฆ่าคนนอกทั้งหมดในเมืองร้อยเซียน
ทั้งสองคนสงสัยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะจักรพรรดิได้อนุญาตให้คนนอกเหล่านี้อยู่ได้ด้วยตัวของท่านเอง หัวหน้าศาลาเจ็ดอาจไม่ให้คนนอกจากเมืองร้อยเซียนอยู่ได้และอาจกำจัดคนนอกทั้ง งหมดจากโลกดาวทมิฬ
“โอ้..ใช่แล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวเกี่ยวกับคุนเทียนบ้างหรือไม่ ? ” หัวหน้าศาลาเจ็ดพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อเขาเอ่ยชื่อคุนเทียน สายตาของเขาก็แหลมคมเล็กน้อย
“หัวหน้าศาลาห้าไม่ได้ปรากฏตัวตั้งแต่ที่เขาเข้าไปยังแดนทำลายวิญญาณเมื่อสามปีก่อน เขายังคงบ่มเพาะอย่างสันโดษภายในแดนทำลายวิญญาณ เพื่อหาทางทะลวงขั้น” คาซอลกล่าว
หัวหน้าศาลาเจ็ดพยักหน้าเยาะเย้ยทันที “หลังจากที่เข้าขอบเขตตั้งต้นแล้ว ทุกก้าวของเราเผ่าดาวทมิฬจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก และหากเจ้าต้องการที่จะทะลวง เจ้าต้องผ่านการทดสอบนับไ ไม่ถ้วน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวหน้าได้ นับประสาอะไรกับการทะลวงขั้นจากชั้นสวรรค์ที่ 5 ไปยังชั้นสวรรค์ที่ 6 คุนเทียนต้องการที่จะทะลวงไปชั้นสวรรค์ที่ 6 เพื่อที่จะท้า าทายข้า แต่มันจะง่ายแบบนั้นหรือ ? ”
“และเขาก็เข้าไปในแดนทำลายวิญญาณ มีข่าวลือว่าแดนทำลายวิญญาณเป็นเขตพิเศษที่สร้างขึ้นจากสมองของสัตว์อสูรที่ตายไป มันเต็มไปด้วยจิตอาฆาตที่ไร้ระเบียบและโหดร้ายอย่างยิ่ง ง ความไม่เป็นระเบียบจะส่งผลต่อจิตวิญญาณอย่างรุนแรง หากเจ้าไม่อาจปัดเป่ามันออกไปได้ แม้แต่การบาดเจ็บทางวิญญาณก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่แย่ที่สุดคืออาจจะเป็ นบ้าหรือไม่อาจประคองสติได้”
“และความอันตรายของแดนทำลายวิญญาณไม่ได้อยู่ที่เจตจำนงที่ไม่เป็นระเบียบเท่านั้น มีสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่านั้นคือเศษเสี้ยวของสติที่ทำลายไม่ได้ของสัตว์อสูรที่ตายไปแล้ว เมื่อ อเจ้าถูกทำลายจากเศษเสี้ยวนั้น แม้แต่เราผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตั้งต้นก็สามารถตายได้หากประมาทเพียงเล็กน้อย”
“มันเป็นเวลา 3 ปีแล้วที่คุนเทียนจากไป นอกเหนือจากจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของเราที่มีพรสวรรค์พิเศษแล้ว ไม่มีใครอยู่ในแดนทำลายวิญญาณได้นานขนาดนี้ คุนเทียน ดูเหมือนว่าเจ้ามีค ความมุ่งมั่นที่จะข้ามจุดที่ไม่มีวันกลับ มาเพื่อประโยชน์ในการก้าวไปสู่ชั้นสวรรค์ที่ 6 ” หัวหน้าศาลาเจ็ดหัวเราะเล็กน้อย
…
สัมผัสวิญญาณของเจี้ยนเฉินยังคงอยู่ในศาลาเจ็ดอยู่พักหนึ่ง แม้ว่าบทสนทนาจะจบลง เขาไม่ได้ยินข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์
สัมผัสของเขาถอยออกจากศาลาเทพที่เจ็ดอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าผู้บ่มเพาะมากมายที่ถูกคุมขังในเมืองร้อยเซียนจะตกอยู่ภายใต้อันตรายถึงชีวิต แต่กลุ่มของจินห หงก็ใกล้ที่จะออกจากภูเขาโลกาแฝดแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตามแดนทำลายวิญญาณที่หัวหน้าศาลาเจ็ดกล่าวทำให้เจี้ยนเฉินสนใจ
“คุนเทียนที่หัวหน้าศาลาเจ็ดพูดนั่นควรจะเป็นหัวหน้าศาลาห้าที่เข้าสู่แดนทำลายวิญญาณ….
“สมองของสัตว์อสูรบนดาวเคราะห์ได้สร้างแดนทำลายวิญญาณขึ้นหลังจากที่มันตายไป มันเต็มไปด้วยเศษเสี้ยวจิตสำนึกที่ทำลายไม่ได้ของสัตว์อสูรซึ่งสามารถคุกคามผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตั้งต ต้น….”
“สัตว์อสูรมิติน่าจะเป็นสัตว์อสูรมิติขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างโดยโลกดาวทมิฬ….”
…
ในขณะที่เขาครุ่นคิด ดวงตาของเจี้ยนเฉินก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น
ถ้าเขาต้องการช่วยจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ต้องเข้าร่วมกับเผ่าดาวทมิฬเพื่อเผชิญหน้ากันอย่างเปิดเผย การปะทะกับพวกเขาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หากเขาสามารถทำให้เผ่าดาวทมิฬสูญเสียขอบเขตตั้งต้นก่อนที่จะต่อสู้ มันจะลดความกดดันให้กับเขาลงไปไม่น้อย
“แดนทำลายวิญญาณ….” แผนที่ปรากฏขึ้นในหัวของเจี้ยนเฉินทันที แผนที่แสดงรายละเอียดขอบเขตระหว่างภูเขาโลกาแฝดและโลกดาวทมิฬอย่างชัดเจน เทือกเขาสองโลกนั้นพร่ามัวบนแผนที่เป็ นพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่มีคำอธิบายโดยละเอียด
อย่างไรก็ตามภูมิศาสตร์ของโลกดาวทมิฬนั้นชัดเจนกว่ามาก เมืองใหญ่ทั้ง 36 เมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ ล้วนมีชื่อกำกับที่นั่น
เจี้ยนเฉินได้พบแผนที่ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับโลกดาวทมิฬทั้งหมดในแหวนมิติของไป่จิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้อะไรจากแหวนมิติ แต่เขาก็จำแผนที่ได้
เขาค้นพบที่ตั้งของแดนทำลายวิญญาณอย่างรวดเร็วก่อนที่จะออกจากเมืองหลวงของเผ่าดาวทมิฬโดยไม่ลังเล
เมืองหลวงแห่งนี้ถูกจับตาดูโดยจักรพรรดิดาวทมิฬ ไม่เพียงแต่การเคลื่อนไหวของเขาจะถูกจำกัด หากเขายังคงอยู่ที่นั่น ผลประโยชน์ใด ๆ ที่เขาจะได้รับก็ไม่มีความสำคัญ เขาไม่สามารถห หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป ด้วยเหตุนี้เขาอาจไปที่แดนทำลายวิญญาณเพื่อค้นหาหัวหน้าศาลาห้า อย่างน้อยเขาก็จะสามารถทำอะไรตามที่เขาต้องการ บางทีเขาอาจจะสามารถบังคั บเอาข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์จากหัวหน้าศาลาห้า
แดนทำลายวิญญาณเป็นเขตอันตรายอย่างแท้จริงในเผ่าดาวทมิฬ ไม่ค่อยมีใครไปที่นั่น มีเพียงคนจากเผ่าดาวทิมฬที่ต้องการทะลวงการบ่มเพาะอย่างเร่งด่วนเท่านั้นที่จะได้รับความเสี่ยง นี้เพื่อพยายามที่จะได้รับผลประโยชน์จากเจตจำนงอมตะ แม้แต่คนเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาได้ แต่จิตวิญญาณของพวกเขาจะเสียหายและจิตใจของพวกเขายุ่งเหยิงและ มีบาดแผลเรื้อรังที่แตกต่างกันไป
มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับประโยชน์จากแดนทำลายวิญญาณ มันสามารถอธิบายได้ว่ามันจะปรากฏขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบพันปี
หลายชั่วยามต่อมา เจี้ยนเฉินก็ยืนอยู่ด้านนอกแดนทำลายวิญญาณแล้ว เมื่อมองไปที่แดนทำลายวิญญาณ ดูเหมือนมันจะเต็มไปด้วยหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยภูเขา สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยภูเขาขนา าดใหญ่สูงเสียดเมฆล้อมกันเป็นวงกลมรอบ ๆ แดนทำลายวิญญาณ เส้นทางที่กว้างหลายพันเมตรตรงหน้าเขาเป็นเพียงแค่ทางเข้าสู่แดนทำลายวิญญาณเท่านั้น
แดนทำลายวิญญาณเต็มไปด้วยความหนาวเย็น คลื่นที่หนาวเย็นกระแทกกับหินภูเขาจนสร้างเสียงหวีดหวิวและกลายเป็นเสียงกรีดร้องแปลก ๆ เมื่อรวมกับเมฆดำต่ำที่หมุนวนบนท้องฟ้า ดูเหมือ อนว่าจะเป็นสถานที่ที่ปีศาจกำลังบวงสรวง
“มันเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง” ยืนอยู่ที่ทางเข้าแดนทำลายวิญญาณที่รกร้าง เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วและเคร่งเครียด
แม้ว่าจะไม่ได้เข้าสู่แดนทำลายวิญญาณ เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงเจตจำนงที่ทรงพลังที่คุกคามเขาอยู่แล้ว และยิ่งเขาเข้าไปด้านในมากเท่าไร ความรู้สึกของภัยคุกคามก็ยิ่งแข็งแกร่ง ขึ้น