เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2841 : เหตุผลเบื้องหลัง
ตอนที่ 2841 : เหตุผลเบื้องหลัง
“อะไรนะ เขาเป็นหนึ่งในปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมทั้งสอง ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์งั้นหรือ ? ”
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมถึง 2 คน ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์และปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งโลกในเผ่าของเรา…”
“ผู้อาวุโสของเราช่างฉลาดจริง ๆ พวกเขาได้หาทางและวางแผนเพื่อให้ลูกหลานในอนาคเพื่อจะออกจากที่นี่มานานแล้วตั้งแต่ยุคสมัยที่ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหน...”
…
การเปิดเผยตัวตนของปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาในโถงศักดิ์สิทธิ์ดาวทมิฬ ในฐานะยอดฝีมือขอบเขตตั้งต้นที่มารวมตัวกันที่นี่แล้ว พวกเขาต่างก็พากันผงะ ะและตะลึงกับตัวตนปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมทั้งสองคน บางคนถึงกับมองไปที่ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ด้วยความสงสัย
ชัดแล้วว่าพวกเขาเชื่อในตัวตนปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมทั้งสอง แต่พวกเขาพบว่าปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ที่อยู่ตรางหน้าไม่อาจจะเชื่อใจได้ ในอีกความหมายคือพวกเขาไม่ยอมรับอีกฝ่าย ยนัก
เจี้ยนเฉินเพิ่งจะรู้ต้นกำเนิดของปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ ในตอนนั้นเอง ความตะลึงที่เขามีนั้นมากกว่าผู้ใด
“ผู้อาวุโสปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ มันมีบางอย่างที่ข้าสงสัย เมื่อท่านเข้าไปในโลกเซียนมานานแล้ว งั้นท่านก็น่าจะบ่มเพาะในโลกเซียนมานานนับเวลาไม่ได้ ด้วยทรัพยากรมากมา ายในโลกเซียนรวมถึงทรัพยากรที่เผ่าให้กับท่านไปแล้ว ท่านก็น่าจะขึ้นไปถึงระดับที่สูงจนเราไม่อาจจะคิดถึงได้ แต่ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าพลังของท่านตอนนี้ไม่ใกล้เคียงระดับที่ข ข้าคิดเอาไว้ ? ” หัวหน้าศาลาที่ 7 เก็ตตี้ ได้ถามขึ้นมา
“นั่นเป็นคำถามที่ดี แต่ข้าควรจะแบ่งคำถามนี้ออกเป็น 2 ข้อ ส่วนแรกเกี่ยวกับเรื่องเวลา” ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ยิ้มออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับท่าทีสงสัยของทุกคน เขาอธิบาย ยออกมาอย่างใจเย็น “แม้ว่าจะผ่านมานานจนข้าไม่อาจจะอธิบายได้ตั้งแต่ที่ข้าถูกส่งออกไปจากโลกดาวทมิฬ แต่ข้าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตที่นั่นนานนัก”
“นั่นเพราะคนของเผ่าเรานั้นต้องสูญเสียของจำนวนมากเพื่อส่งข้าออกไปในอดีต การจากไปของข้าไม่ใช่การเดินทางที่ราบรื่น กลับกันแล้วมันอันตราย ข้าอาจจะตายได้หากประมาทแม้เพียงเล ล็กน้อย “
“ยังไงซะข้าก็ต้องทำลายผนึกของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้เพื่อจะออกไป แม้ว่าพลังนั้นจะอ่อนแอลงเพราะพลังของบรรพชน แต่มันก็ไม่ได้หายไปทั้งหมด ผลก็คือตอนที่เราสองคนออ อกจากโลกนี้ไป พลังที่เหลือของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ก็เกือบจะฆ่าเราได้ แม้ว่าเราจะได้รับพรจากบรรพชนและมีทรัพยากรจำนวนมากอยู่กับตัว แต่เราก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงพลัง นั่นได้ทั้งหมด …”
“ผลก็คือตอนที่เราสองคนไปถึงโลกเซียน เราก็ถือว่าตายไปแล้ว โชคดีในตอนที่วิญญาณเรากำลังจะถูกทำลาย จิตวิญญาณส่วนหนึ่งของเรานั้นหนีไปได้ บางทีนี่อาจจะเพราะการปกป้องจากบรรพช ชน หลังจากนั้นเราก็ได้หนีไปได้และได้ทำการเกิดใหม่ …”
“การหนีจากพลังจอมปราชญ์สูงสุดนั้นง่ายแบบนั้นเลยรึ ? แม้ว่าจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้จะตายไปแล้ว แต่จิตของเขาก็ยังคงอยู่ กฎในโลกนี้ที่เขาตั้งขึ้นมาก็ยังคงทำงานอ อยู่ ผลก็คือหลังจากที่เกิดใหม่ พลังที่เหลือของจอมปราชญ์จิตวิญญาณไม้ก็ได้เข้ากดดันเราต่อไปซึ่งทำให้การเกิดใหม่ของเรามีชีวิตที่สั้นกว่าเดิมทุกครั้ง”
“โชคดีที่เราอยู่ภายใต้การปกป้องจากพลังของบรรพชน เรามีทรัพยากรของเผ่าซึ่งทำให้เราเกิดใหม่ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการต่อสู้กับพลังของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งวิญญาณไม้…”
“สุดท้ายแม้ว่าเราจะเกิดใหม่มาไม่รู้กี่ครั้งจนเกินกว่าเราจะนับได้ แต่การเกิดใหม่ทุกครั้งนั้นเราก็ได้เห็นโลกใหม่ ทุก ๆ การเกิดใหม่นั้นเราจะอยู่ที่ต่างออกไปในโลกเซียน ใคร จะไปรู้ว่าเวลามันผ่านมานานแค่ไหนกัน…”
“สุดท้ายหลังจากที่เกิดใหม่มานับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายเราก็มาอยู่ในชีวิตนี้ที่ซึ่งเราหลุดจากวงจรการทรมานจากพลังของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ซึ่งทำให้เราบ่มเพาะต่อไปได ด้” เมื่อพูดถึงจุดนี้ ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ก็เงียบไปสักพักและพูดด้วยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูซับซ้อน “ผลก็คือแม้ว่าเราสองคนจะออกจากโลกดาวทมิฬได้มานานแล้ว แต่เราก็ ต้องใช้เวลาไปจำนวนมากในการสู้กับพลังของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ภายใต้การเกิดใหม่มานับครั้งไม่ถ้วน เวลาที่เราใช้ในการบ่มเพาะจริง ๆ นั้นไม่ได้มากมายแบบที่พวกเจ้าคิดไ ไว้เลย….”
ทุกคนต่างก็พากันเงียบและคิดตามสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
เกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและสู้กับพลังที่เหลือของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ ก่อนจะตายไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันคือการทรมานแบบไหนกัน ?
อย่างน้อยปัญหาที่พวกเขาเคยผ่านมาและการทรมานที่พวกเขาต้องอดทนรวมถึงการเสียสละของพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝีมือขอบเขตตั้งต้นอย่างพวกเขาที่บ่มเพาะได้อย่างปลอดภัยในหมู่เผ่า าดาวทมิฬก็ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน
ตอนนั้นความสงสัยและแคลงใจในใจหลาย ๆ คนก็ได้หายไปถูกแทนที่ด้วยความสงสารและชื่นชมแทน
นั่นเพราะพวกเขาพบว่าเทียกับทุกอย่างที่ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์เคยเจอมานั้น ทำให้พวกเขาเหมือนกับอยู่ในสรวงสวรรค์ แม้ว่าพวกเขาจะถูกขังไว้ที่นี่ไม่อาจจะออกไปได้ แต่พว วกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลภัยถึงชีวิต
ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์พูดต่อ “ส่วนที่สองนั้นคือระดับของข้าในตอนนี้ เอาตามตรงแล้วผนึกของจอมปราชญ์สูงสุดแห่งจิตวิญญาณไม้ที่อยู่กับเรานั้นไม่ใช่แค่ห้ามให้เผ่าเราออ อกจากที่นี่ แต่ยังกันไม่ให้เราเข้ามาที่นี่ด้วย”
“ผลก็คือเมื่อร่างหลักของข้ามีสายเลือดของเผ่าดาวทมิฬนั้นจึงไม่อาจจะเข้ามาที่นี่ได้ ไม่งั้นแล้วข้าจะต้องตาย”
“ร่างที่พวกเจ้าเห็นตอนนี้เป็นร่างวิญญาณเทียมที่ข้าบ่มเพาะขึ้นมาหลังจากที่ทุ่มเทไประดับหนึ่ง”
“และสิ่งที่เรียกว่าร่างวิญญาณเทียมจริง ๆ แล้วคงไม่ถูกต้องเพราะมันมีวิญญาณของข้าอยู่ แต่มันไม่ได้มีสายเลือดหรือพลังของเผ่าดาวทมิฬ มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะอธิบายได้ด้วยคำพูด ไม่กี่คำ สรุปคือพวกเจ้ามองว่านี่คือวิญญาณที่สองของข้าก็ได้ หรืออาจจะมองว่านี่คือชีวิตที่สองของข้า”
“ผู้อาวุโสปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งโลกอยู่ที่ไหนกัน ? เพื่อเผ่าเราแล้ว ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมทั้งสองได้เสียสละในระดับที่ไม่อ อาจจะคิดได้ การเสียสละของท่านทำให้ชื่นชม ข้าอยากที่จะเคารพปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมทั้งสอง” หัวหน้าศาลาที่ 10 เฟิงสือพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงใจ
“ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งโลกอยู่ในโลกเซียน ไม่อาจจะเข้ามาที่นี่ได้ ตอนนี้มีแค่ข้าที่เข้ามาหาเผ่าดาวทมิฬได้” ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์เงียบไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นมา “สำหร รับเรื่องไม่สำคัญอื่น ๆ อย่างเรื่องเล็กน้อยแล้ว เราจะพูดคุยกันในอนาคต ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ก็เพื่อพูดถึงรายละเอียดของพิธี”
หลังจากนั้นปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ก็พูดถึงหัวข้อหลัก เขาอธิบายถึงขั้นตอนของพิธีและรายละเอียดเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับยอดฝีมือขอบเขตตั้งต้น
ทุกคนในห้องโถงต่างก็ตั้งใจฟังเพราะกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดไป แต่เจี้ยนเฉินนั้นค่อนข้างวอกแวก
นั่นเพราะตอนนี้เขายากที่จะใจเย็นอยู่ได้ เขาคิดไม่ถึงว่าร่างหลักของปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ยังอยู่ในโลกเซียนและได้นำทรัพยากรของเผ่าดาวทมิฬกับตัวด้วย ยังไงซะตลอดห หลายปีของการบ่มเพาะนี้ มันก็ไม่มีใครคิดว่า ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์จะขึ้นไปถึงระดับไหนกัน