เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2848: จิตวิญญาณวัตถุของเมืองร้อยเซียน
ตอนที่ 2848: จิตวิญญาณวัตถุของเมืองร้อยเซียน
ขั้นตอนต่อมาของพิธีเป็นไปตามที่เจี้ยนเฉินคาดไว้ ในที่สุดหยดแก่นเลือดที่เป็นของจอมปราชญ์สูงสุดก็ค่อย ๆ ลอยไปสู่จักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การควบคุมของปราชญ์ผู้เที่ยงธร รรมแห่งสวรรค์ แก่นเลือดนี้เป็นสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นสมบัติขั้นสูงสุดแม้กระทั่งในโลกเซียนที่เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ
แก่นเลือดของจอมราชญ์สูงสุดผสานเข้ากับร่างกายของจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามการรวมกันของแก่นเลือดเป็นการทดสอบที่อยู่ระหว่างชีวิตและความตายของจักรพรรดิพยัคฆ์ดิ์ศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นความทรมานที่น่ากลัว
เนื้อที่แข็งแกร่งขึ้นจากการผสานกับเลือดจำนวนมากมายก่อนหน้านี้ฉีกขาดอีกครั้ง
พลังของแก่นเลือดของจอมปราชญ์สูงสุดนั้นยิ่งใหญ่เกินไป แม้ว่าความแข็งแกร่งของร่างกายของจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสายเลือดของ เผ่าดาวทมิฬแล้วก็ตามซึ่งช่วยลดการปฏิเสธของแก่นเลือดของจอมปราชญ์สูงสุดได้อย่างมาก แต่ความตายก็ยังคงคืบคลานมาแน่นอนหากเขาต้องการดูดซับแก่นเลือดของจอมปราชญ์สูงสุดในขณะที่ กำลังอ่อนแอ พลังของแก่นเลือดจะทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณของเขา
และในครั้งนี้ความรุนแรงของบาดแผลของจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์เห็นได้ชัดว่าแย่กว่าในตอนที่เขารวมเข้ากับเลือดมหาศาลหลายสิบเท่า
เนื้อของเขาไม่เพียงแต่จะฉีกขาดอย่างต่อเนื่อง แต่ชิ้นส่วนใหญ่ปะทุออกมาในเวลาเดียวกัน ชิ้นเนื้อและเลือดของเขาทั้งหมดหายไป ลดลงเหลือเพียงอณูที่เล็กที่สุด
แม้แต่วิญญาณของเขาก็ต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างรุนแรง เนื่องจากแก่นเลือดมีพลังมหาศาลและพลังของสายเลือด และยังเต็มไปด้วยพลังที่สำคัญ 3 อย่างคือ แก่น, ปราณและวิญญาณ
แม้ว่าพลังงานที่สำคัญเหล่านี้จะอ่อนแอมาก แต่มันก็ยังคงเป็นพลังที่จอมปราชญ์สูงสุดทิ้งไว้เบื้องหลัง มันไปถึงระดับที่น่ากลัวอย่างยิ่งในแง่ของคุณภาพ
จอมปราชญ์สูงสุดหรือที่เรียกว่าวิถีสวรรค์เป็นรูปลักษณ์ของ“ วิถี” พวกเขาสามารถกำหนดกฎของตัวเองได้ ดังนั้นทุกสิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้จะอยู่ในระดับที่สูงมาก
เป็นผลให้วิญญาณของจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ต้องเผชิญกับการโจมตีจากพลังของ “จิตวิญญาณ” จำนวนเล็กน้อยในแก่นเลือด วิญญาณของเขาใกล้จะล่มสลาย
จักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์เริ่มสั่นอย่างรุนแรง ปัจจุบันทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาต้องทนกับความเสียหายที่ไม่อาจจินตนาการได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ชะตากรรมเดียวที่รอเขาอยู่ คือการทำลายทั้งวิญญาณและร่างกายของเขา
ปราชญ์ผู้เที่ยงธรรมแห่งสวรรค์คาดการณ์ทั้งหมดนี้ไว้อย่างชัดเจน ในขณะนี้ ในที่สุดพลังและพลังงานต่าง ๆ ที่เผ่าดาวทมิฬได้ดูดซับจากบุคคลภายนอกมากมายก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์
พลังแห่งสายเลือด, พลังงานสำคัญ, พลังแห่งวิญญาณ, และพลังแห่งการบ่มเพาะได้รวมตัวกันเป็นมหาสมุทรแห่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่เหนือเมืองหลวง
ตอนนี้ทะเลแห่งพลังงานที่เปล่งประกายด้วยสีต่าง ๆ ได้โหมกระหน่ำเข้าสู่ร่างกายของจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ราวกับน้ำท่วมที่ทำลายเขื่อน มันรุนแรงมากจนไม่อาจอธิบายได้
พลังชีวิตจำนวนมหาศาลสามารถรักษาบาดแผลของจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ในขณะที่พลังของสายเลือดทำให้สายเลือดของจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งยังทำให้สายเลือด ดของจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์สามารถดูดซับพลังของแก่นเลือดได้ทีละเส้น
พลังของวิญญาณซ่อมแซมวิญญาณของเขาที่กำลังจะล่มสลายอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน พลังของการบ่มเพาะทำให้การบ่มเพาะของเขามั่นคงในขณะที่เศษเสี้ยวของมันผสานเข้ากับร่างกายของเขาท ทำให้มันเย็นลงและหล่อเลี้ยงมัน
แก่นเลือดของจออมปราชญ์สูงสุดไม่สามารถดูดซึมได้อย่างง่ายดาย สาเหตุที่จักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไม่ใช่เพียงเพราะพลังและพลังงานต่าง ๆ ที่ระบายออ อกมาจากบุคคลภายนอก เตาเผามิติขนาดใหญ่ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน
ดูเหมือนว่าเตาเผาจะรวบรวมพลังของเผ่าดาวทมิฬทั้งหมด รวมทั้งพลังแห่งวิถีและกฎของโลกดาวทมิฬพื่อหลอมจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งกระตุ้นให้เขาดูดซับพลังงานต่าง ๆ
ร่างกายของจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายอย่างรวดเร็วด้วยแก่นเลือด แต่มันก็ฟื้นตัวได้ทันทีเนื่องจากพลังชีวิตมหาศาลที่รวบรวมมาจากผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วน ในขณะที่เขาผ่าน วงจรแห่งการทำลายล้างและการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ร่างกาย, สายเลือดและวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นในอัตราที่มองเห็นได้ชัดเจน
ในการทำลายล้างและการฟื้นตัวแต่ละรอบ พลังงานภายในแก่นเลือดของจอมปราชญ์สูงสุดจะถูกดูดซับทีละเส้น
เมื่อพลังงานในแก่นเลือดถูกดูดซับไปเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่ามันถดถอยและอ่อนแอลง ในขณะที่ความเสียหายที่จักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ประสบอยู่ก็ลดน้อยลงเช่นกัน เนื่องจากทุกส่วนของเ เขากำลังทะยานและเพิ่มขึ้นสูงในเชิงคุณภาพ
ความแตกต่างที่มีอยู่ระหว่างเขากับแก่นเลือดถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว
บนแท่นบูชา พลังแห่งการมีอยู่ของปราชญ์ผู้ที่ยงธรรมแห่งสวรรค์ดูเหมือนจะผสานเข้ากับโลกของเผ่าดาวทมิฬอย่างสมบูรณ์ เขายืนตัวตรงอยู่ด้านล่างรูปปั้นของจอมปราชญ์สูงสุดขณะจ้องม มองจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยสายตาที่ดูเหมือนซ่อนอยู่หลังหมอก ริมฝีปากของเขาค่อย ๆ โค้งเป็นรอยยิ้มลึกลับขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน “มันใกล ล้ถึงเวลาแล้ว เมืองร้อยเซียน ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องแสดงบทบาทที่แท้จริง”
หลังจากนั้นผนึกอำพรางภายในเมืองร้อยเซียนที่ไม่มีใครเคยค้นพบตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้หายไปอย่างเงียบ ๆ
ด้วยการหายตัวไปของผนึก เมืองทั้งเมืองเปลี่ยนไปเล็กน้อยในช่วงเวลานั้น เมืองทั้งเมืองดูเหมือนจะเปลี่ยนจากเมืองที่ตายแล้วในอดีตไปเป็นเมืองพิเศษที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง
ภายในเมืองร้อยเซียน ทุกคนจากห้าสิบสององค์กรที่เหลือล้วนหน้าซีดเผือดขณะที่พวกเขานอนเรียงอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว
เช่นเดียวกับความโกรธที่พลุ่งพล่าน
ค่ายกลส่งตัวทางไกลได้ถูกทำลายไปแล้ว และพลังของพวกเขาถูกทำลายไปมากถึงเจ็ดในสิบส่วน อัจฉริยะทั้งหมดที่นั่นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ปัจจุบันเมืองใหญ่ ๆ ทั้งหมดของโลกดาวทมิฬถูกปิดตาย หากไม่มีค่ายกลส่งตัวทางไกลของเมืองร้อยเซียน พวกเขาก็ไม่สามารถออกจากโลกดาวทมิฬได้อีกต่อไป
สำหรับการออกจากเมือง แม้ว่าพวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงกองทัพทั้งสิบของเผ่าดาวทมิฬที่ประจำการอยู่ข้างนอกเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาออกไปได้ สิ่งที่ทำไปก็ไร้ประโยชน์
พวกเขาควรจะข้ามภูเขาโลกาแฝดอีกครั้งหรือ ?
พวกเขาขาดความกล้าหาญอย่างแท้จริง
ในขณะนี้อัจฉริยะบางคนที่อ้าปากค้างเพื่อหาสูดอากาศบนพื้นดิน พวกเขาทิ้งชีวิตไว้กับชะตากรรม เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว ความสงสัยปรากฏในดวงตาของพวกเขา
แต่ในช่วงเวลาต่อมาความสงสัยกลับกลายเป็นความประหลาดใจและความยินดีทันที
“พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ ? มันคือจิตวิญญาณวัตถุ มันคือจิตวิญญาณวัตถุของเมืองร้อยเซียน …”
“ในที่สุดจิตวิญญาณวัตถุของเมืองร้อยเซียนก็ได้ถือกำเนิดขึ้น สุดยอด ! เรารอมาหลายปีและพยายามทำสิ่งต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน แต่ในที่สุดมันก็ถือกำเนิดขึ้น…”
“มีข่าวลือว่าเมืองร้อยเซียนไม่ได้มีแค่การป้องกันเท่านั้น แต่ยังมีค่ายกลโจมตีอีกด้วย อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าดาวทมิฬสังเกตเห็นซึ่งจะทำให้พวกเขาออกนอกเส้นทางเพื่อต่อ อสู้กับเรา ค่ายกลโจมตีจึงไม่ได้ถูกสลักไว้ในเมือง แต่มันถูกทิ้งไว้ในจิตวิญญาณวัตถุของเมืองร้อยเซียน …”
“ถ้าจิตวิญญาณวัตถุไม่มีอยู่จริง ค่ายกลโจมตีก็จะไม่มีอยู่ แต่เมื่อจิตวิญญาณวัตถุถือกำเนิดขึ้น เมืองจะมีวิธีการโจมตีเหล่านี้…”
ในช่วงเวลานั้นบันทึกเกี่ยวกับเมืองร้อยเซียนจากกลุ่มของพวกเขาทั้งหมดแว่บผ่านหัวของอัจฉริยะ ดวงตาของพวกเขาทอประกายขึ้นเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน สัมผัสทางวิญญาณจากจิตวิญญาณวัตถุของเมืองร้อยเซียนก็ได้สะท้อนผ่านหัวของเหล่าอัจฉริยะ
“รวบรวมพลังของทุกคนและทำให้พลังงานทั้งหมดที่สะสมอยู่ในพื้นที่สำรองด้านล่างของเมืองร้อยเซียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหมดสิ้นไปในคราวเดียว หลังจากขยายมันด้วยค่ายกลแล้ว ก็จงท ทำการโจมตีให้เทียบเท่ากับขั้นบรรพกาล …” เมื่อได้ยินเสียงของจิตวิญญาณวัตถุ ความหวังก็เอ่อล้นดวงตาของเหล่าอัจฉริยะ
แน่นอนว่าบางคนยังคงกังวลและลังเล
“ไม่ เราทำไม่ได้ เมื่อเราใช้พลังงานสำรองด้านล่างเมืองหมด เราจะไม่สามารถใช้ค่ายกลป้องกันใด ๆ ได้อีกต่อไป เรามีเหรียญผลึกไม่เพียงพอเช่นกัน…”
“มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องระหว่างความเป็นและความตาย เราไม่ต้องกังวลมากอีกต่อไป เร็วเข้า มารวบรวมพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราแล้วส่งไปยังภูเขาโลกาแฝด เพื่อที่เราจะได้เป ปิดเส้นทางที่ปลอดภัยไปยังทางออก…”
“การโจมตีระดับขั้นบรรพกาลน่าจะสามารถแทงทะลุภูเขาโลกาแฝดและพาเราออกไปได้ใช่หรือไม่ ? จะไม่มีสัตว์อสูรกลืนชีวิตตัวใดหยุดเราใช่หรือไม่…”
เหล่าอัจฉริยะล้วนใช้ความคิดและตัดสินใจ หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มส่งพลังเข้ามาในเมือง
พวกเขาไม่เคยคิดที่จะโจมตีเผ่าดาวทมิฬ เนื่องจากเผ่าดาวทมิฬมีจักรพรรดิดาวทมิฬ จักรพรรดิดาวทมิฬเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เท่าเทียมกับขั้นบรรพกาลและเขามีทักษะและสมบัติมากมายนับไม่ถ้ วน การโจมตีของขั้นบรรพกาลอาจไม่เพียงพอที่จะฆ่าจักรพรรดิดาวทมิฬ
สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงคือการหนีออกจากโลกดาวทมิฬ ท้ายที่สุดเมื่อพิจารณาจากขนาดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกดาวทมิฬแล้ว มันจะทำให้ทั้งโลกเซียนสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน หากองค์ กรระดับสูงสุดรวมตัวกันและยื่นคำร้อง พวกเขาอาจสามารถดำเนินการจอมปราชญ์สูงสุดได้อย่างแท้จริง
ในช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ว่าพวกเขาจะรักษาเมืองร้อยเซียนไว้ได้หรือไม่ก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป