เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 325 - หวงหลวน
ตอนที่ 325 – หวงหลวน
” เรื่องนี้จะต้องรายงานต่อท่านผู้นำตระกูล ด้วยนายน้อยและสมาชิกของตระกูลตู่กูกลายเป็นสหายกัน ทำให้สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับตระกูลของเรา หากเราสามารถใช้มิตรภาพที่ค้นพบใหม่นี้กับตระกูลตู่กูแล้ว ตระกูลของเราจะก้าวหน้ากว่าคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน” ฉินเจว๋คิดกับตัวเอง แม้ว่าเขาจะเป็นคนเงียบ ๆ ที่ไม่ค่อยพูด แต่เขาก็ไม่ได้โง่เลย
ฉินจี๋เดินไปที่เจี้ยนเฉินด้วยรอยยิ้ม “น้องเจี้ยนเฉิน เมื่อเจ้ามีเวลาเจ้าควรมาที่อาณาจักรฉินหวงของเรา อาณาจักรฉินหวงของเราอยู่ห่างไปทางเหนือของเมืองทหารรับจ้างเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตร เมื่อเจ้ามาถึงอาณาจักรของเราให้มาที่พระราชวังและบอกชื่อของข้า ป้ายหยกนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ของเจ้า ตราบใดที่เจ้าสามารถนำสิ่งนี้ออกมา จะไม่มีใครสงสัยเจ้า” ฉินจี๋เอาป้ายหยกขนาดเล็กเท่ากำปั้นของเขาออกมาจากเข็มขัดมิติของเขา บนป้ายมีการออกแบบที่ซับซ้อนพร้อมคำว่า “ฉิน” เขียนไว้บนนั้น
“ข้าจะไปเมื่อข้ามีเวลา ข้าจะไปหาพี่ฉินจี๋ที่อาณาจักรของท่าน” เจี้ยนเฉินยิ้มขณะที่เขารับป้ายหยกมาจากฉินจี๋ ในความคิดของเจี้ยนเฉิน เขาเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง ฉินจี๋เป็นองค์ชายแห่งอาณาจักรฉินหวง ใช่หรือไม่ ?
ฉินจี๋และเจี้ยนเฉินพูดกันอีกสองสามคำก่อนที่จะแยกจากกันในที่สุด
“น้องชาย ข้าต้องไปแล้ว อย่าลืมว่าเจ้ายังเป็นหนี้ข้าอยู่ ” เทียนมู่หลิงพูดขณะที่นางเดินมาหาเจี้ยนเฉินและพูดกับเขาอย่างอ่อนโยนด้วยเสน่ห์ที่เป็นผู้ใหญ่ของนาง
เจี้ยนเฉินยิ้มอย่างอาย ๆ ขณะที่เขาพูดว่า” พี่เทียนมู่หลิงชอบพูดล้อเล่นกับข้า ท่านให้ของมีค่ากับข้า ในอนาคตเมื่อข้ามีโอกาส ข้าจะทดแทนพระคุณสิบหรือแม้แต่ร้อยเท่ากลับไปอย่างแน่นอน”
หลังจากนั้นเทียนมู่หลิงได้ตามฉินจี๋ไป ทุกอย่างในถ้ำนั้นไม่สามารถกู้คืนได้อีกต่อไป เนื่องจากมันทรุดตัวลง กลุ่มคนจำนวนมากเริ่มที่จะออกจากถ้ำไปกลุ่มละสองสามคน แต่บางคนยังคงอยู่ข้างหลัง
เจี้ยนเฉินและกลุ่มของเขาไม่มีแผนการที่จะอยู่ข้างหลังเช่นกัน หลังจากเรียกทุกคน พวกเขาทั้งหมดก็ออกจากถ้ำ แต่ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว กลุ่มของพวกเขามีคนใหม่เพิ่มมา 2 คน ตู่กูเฟิงและหมิงตง
พวกเขาสนทนากันบนถนนขณะที่เดินผ่านป่า เจี้ยนเฉินแนะนำหมิงตงกับศิษย์พี่อันและหยุนเจิ้ง มันเหลือแค่เพียงหญิงสาวที่สวมชุดเหลืองที่เจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับนางเลย ก่อนหน้านี้เป็นเพราะชิเซียงกรานบังคับให้พวกเขาเดินทางด้วยกัน แต่แม้หลังจากเดินทางด้วยกันมาร่วมเดือน เจี้ยนเฉินก็ยังไม่รู้ชื่อของหญิงสาว เขาต้องการที่จะรู้ แต่เนื่องจากอารมณ์ของนางและเนื่องจากอุบัติเหตุที่เขาได้เห็นร่างเปลือยของนาง เจี้ยนเฉินกลัวว่านางจะไม่ไว้หน้าเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ปรารถนาที่จะเป็นคนที่โดนหนามแทง
“อา เจี้ยนเฉิน ผู้หญิงคนนั้นคือใคร คนที่มีธนูคันยาวอยู่ข้างหลังเรา ? นางสวยจริง ๆ ข้า หมิงตงไม่เคยเห็นผู้หญิงที่งดงามเช่นนี้มาก่อน ข้าคิดว่ามีเพียงน้องรองที่ข้าไม่รู้จักจากตระกูลเทียนฉินเท่านั้นที่จะเปรียบเทียบกับนางได้” หมิงตงถามเจี้ยนเฉินเบา ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เจี้ยนเฉินก็ฝืนยิ้มขึ้นบนใบหน้าของเขา “เจ้าลืมได้เลยที่จะหาคำตอบเกี่ยวกับนางจากข้า ข้าไม่รู้จักชื่อของนางด้วยซ้ำ นางกับข้ามีความเข้าใจผิดเล็กน้อยในอดีตและเนื่องจากชิเซียงกรานและยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎของเขา เราจึงถูกบังคับให้รวมกลุ่มกันเพื่อต่อสู้กับเขา ด้วยวิธีนี้เราจึงจะสามารถป้องกันตัวเองจากเขาได้”
“ชิเซียงกราน ? นั่นเป็นหนึ่งในห้าจอมยุทธมิใช่หรือ? ข้าคิดว่าแปลกมากที่ได้ยินว่าเจ้าสามารถฆ่าผู้ใช้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ 2 คนได้ คนประเภทนี้ไม่ควรเป็นภัยคุกคามต่อเจ้าเลย เจ้ารู้สึกยังไงกับการเดินทางไปกับนาง ? เป็นไปได้ไหมที่ชิเซียงกรานจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ? ” หมิงตงถามด้วยความสับสน
“นั่นไม่เชิงเสียทีเดียว” เจี้ยนเฉินพูด ” ชิเซียงกรานมีม่านพลังแปลก ๆ ที่ทำให้การโจมตีของข้าไม่สามารถทำอันตรายกับเขาได้ ด้วยยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎอันเหลือเชื่อของเขามันสามารถโจมตีเราจากระยะไกลและยากที่จะหลบหลีก ถึงแม้ว่าข้าจะมีพลังลับ ข้าก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นภัยคุกคามต่อชิเซียงกราน ในกรณีที่ดีที่สุด ข้าได้ตัดสินใจที่จะเดินทางไปกับนาง มันเป็นเพียงวันนี้ในถ้ำที่ข้าถูกบังคับให้อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ข้าต้องลองใช้วิธีสุดท้ายของข้ากับม่านพลังของชิเซียงกราน ข้าไม่คิดว่ามันจะเพียงพอที่จะทะลวงผ่านด่าน! ด้วยเหตุนี้ม่านพลังของชิเซียงกรานและเจียเต๋อหวูคังจึงไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป และข้าก็สามารถฆ่าพวกมันได้”
เมื่อได้ยินดังนี้ หมิงตงก็มองด้วยความตกใจ” เจี้ยนเฉิน เจ้าสามารถทำลายม่านพลังของพวกเขาได้จริงหรือ ? “
“ข้าสามารถหยิบยืมความช่วยเหลือจากภายนอกได้” ด้วยสิ่งนี้ เจี้ยนเฉินได้เปิดเผยปราณกระบี่สีม่วง-ฟ้าด้วยนิ้วของเขา แสงทั้งสองส่องแสงสลัว ๆ ; ในขณะที่พวกเขาสว่างและแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนเพียงเล็กน้อย ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่แผดจ้า แสงนี้ไม่มีอะไรเลย
เมื่อปราณกระบี่ทั้งสองส่องประกายขึ้น วัตถุที่ไม่มีรูปร่างได้ลอยอยู่เต็มในอากาศ ทำให้ทุกคนรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นอย่างฉับพลันจนทำให้หัวใจสั่นสะท้านด้วยความกลัว
ปราณกระบี่สีม่วง-ฟ้าเป็นไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจี้ยนเฉิน แต่เขาได้เปิดเผยมันมาหลายต่อหลายครั้งแล้วและมีผู้คนเห็นมากมาย ดังนั้นปราณกระบี่สีม่วง-ฟ้าจึงไม่ถือว่าเป็นความลับได้อีกต่อไป มันไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป มันเป็นสิ่งจำเป็นเท่านั้นที่จะซ่อนความลับที่มีอยู่ไว้ข้างหลังมัน
หลังจากการแข่งขันเพื่อเอาชีวิตรอดจบลง พวกเขาจะเข้าร่วมการแข่งขันต่อสู้แบบตัวต่อตัวซึ่งจะเกิดขึ้นบนแท่นเวทีที่ยกระดับกับบุคคลอื่น ๆ ที่แข็งแกร่ง หากเจี้ยนเฉินต้องการเป็นอันดับหนึ่ง จากนี้เขาจะต้องใช้ปราณกระบี่สีม่วง-ฟ้าของเขา ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นในการซ่อนปราณกระบี่อีกต่อไป
เจี้ยนเฉินไม่ได้พูดเกี่ยวกับปราณกระบี่สีม่วง-ฟ้ามากเกินไป นอกเหนือจากการแสดงความแข็งแกร่งและชื่อของพวกมัน เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมันอีก แม้ว่าจะมีปราณกระบี่สีม่วง-ฟ้าอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ยังต้องการที่จะซ่อนปัจจัยบางอย่างเอาไว้ดังนั้นเมื่อถึงเวลามันจะยังคงเป็นภัยคุกคามที่ลึกลับ
“เจี้ยนเฉิน ปราณกระบี่สีม่วง-ฟ้าที่เจ้ามี ได้มาจากสมบัติล้ำค่าที่เจ้าซื้อจากศาลาสมบัติ ? ” ตาของฉินเซียวเต็มไปด้วยความเข้าใจ ในขณะที่เขาถามคำถามของเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเซียว เจี้ยนเฉินก็ตกตะลึง เขาไม่คิดว่าฉินเซียวจะเชื่อมต่อระหว่างหินหลากสีในร่างกายของเขากับปราณกระบี่สีฟ้าและสีม่วง สิ่งนี้ทำให้เขายิ้มได้ ตอนนี้เขามีคำอธิบาย นี่เป็นเพราะคำพูดของฉินเซียวมีความหมายบางอย่างกับพวกมัน ปราณกระบี่สีฟ้าและสีม่วงที่ใช้พลังจากสมบัติที่ล้ำค่าเป็นคำอธิบายที่เหมาะสม
ด้วยความเห็นของเจี้ยนเฉินทำให้ทุกคนคิดว่าปราณกระบี่สีฟ้าและสีม่วงเกิดขึ้นเพราะสมบัติล้ำค่า แม้ว่าศิษย์พี่อันและหยุนเจิ้งจะไม่รู้ว่าสมบัติสูงสุดคืออะไร พวกเขาทั้งสองรู้จากชื่อของมันว่ามันเป็นสมบัติที่ไม่รู้จักและมองดูเจี้ยนเฉินด้วยความอิจฉา
หญิงสาวในชุดเหลืองเดินไปหาเจี้ยนเฉินและพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า ” ข้ามีเรื่องพูดกับเจ้า”
เจี้ยนเฉินมีข้อสงสัยบางอย่างขณะที่เขามองนางก่อนที่จะเดินออกจากกลุ่มไปยังจุดที่ว่างห่างออกไป 100 เมตรซึ่งหญิงสาวติดตามเขาไป
หมิงตงและคนอื่น ๆ หยุดการเดินทาง ขณะที่พวกเขาดูอย่างสงสัย ด้วยความอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นต้องการพูดอะไรกับเจี้ยนเฉิน จากนั้นหมิงตงก็มีรอยยิ้มที่แปลก ๆ บนใบหน้าของเขาขณะที่เขาหัวเราะ” ผู้หญิงคนนั้นต้องชอบเจี้ยนเฉิน นางต้องเดินไปไกลมากเพื่อที่เราจะไม่ได้ยินพวกเขา”
ศิษย์พี่อันพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน” ข้าเห็นได้ว่าเป็นไปได้ เจี้ยนเฉินเป็นคนหล่อและแข็งแกร่งมาก เขาก็ไม่ได้แย่อะไร ไม่มีผู้หญิงภายใต้สวรรค์ที่จะไม่โดนเสน่ห์จากเขา อย่างไรก็ตามอารมณ์ของหญิงสาวคนนั้นแย่มากจริง ๆ หรือว่านางเป็นบุตรสาวที่นิสัยเสียของตระกูลที่ร่ำรวยบางตระกูล ? นางค่อนข้างหยิ่งผยอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์พี่อัน หยุนเจิ้งและฉินเซียวทั้งสองก็พยักหน้าเห็นด้วย มีเพียงฉินเจว๋และตู่กูเฟิงเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเงียบ
อีกด้านหนึ่ง เจี้ยนเฉินมองไปที่หญิงสาวในชุดสีเหลือง “เจ้าต้องการพูดอะไร”
หญิงสาวมองเจี้ยนเฉินอย่างลังเลและสับสน ก่อนที่จะพูดว่า “ไม่เพียงแต่เจ้าจะฆ่าชิเซียงกรานและเจียเต๋อหวูคังเท่านั้น แต่เจ้ายังได้ครอบครองยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎของพวกเขาด้วย ทั้งสองตระกูลจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เจ้าควรระวังให้มากขึ้นในอนาคต” หญิงสาวพูดด้วยความกังวลที่หาได้ยาก แม้ว่านางจะยังคงเก็บงำความรู้สึกโกรธจากที่เจี้ยนเฉินได้เห็นร่างกายของนาง แต่หลังจากร่วมมือกับเขาบางครั้ง นางได้มาทำความเข้าใจเขามากขึ้น จากความโกรธของนางที่ทำให้นางรู้สึกแบบใหม่กับเขา
ข้ารู้ เจี้ยนเฉินกล่าว
“นอกจากนี้ ข้าอยากจะขอขอบคุณเจ้าสำหรับการฆ่าชิเซียงกราน ตอนนี้เขาตายไปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเดินทางร่วมกันอีกต่อไป ดังนั้นข้าควรมุ่งหน้าไปตามทางของตัวข้าเอง” เสียงของหญิงสาวนุ่มนวลเป็นพิเศษและในสายตาของนางมีความลังเล แม้ว่านางจะเพิ่งรู้จักเจี้ยนเฉินเพียงเดือนเดียว แต่นางก็รู้สึกสนุก ตอนนี้เมื่อนางเตรียมที่จะออกจากกลุ่มของเจี้ยนเฉิน ความรู้สึกที่ซับซ้อนก็เกิดขึ้นภายในใจของนาง
เจี้ยนเฉินดูเหมือนจะมองไกลออกไปไกล ๆ โดยไม่พูดอะไรซักคำ เพราะลมจากบริเวณนั้นพัดเข้ามาในร่างกายของเขาทำให้เสื้อผ้าของเขาเป็นริ้วและผมสีดำยาวของเขาสยายปลิวไสวในสายลม ภาพนี้ทำให้เขาดูเหมือนเป็นวีรบุรุษในตำนาน
หญิงสาวมองใบหน้าที่หล่อเหลาของเจี้ยนเฉิน ขณะที่นางเริ่มดิ้นรนซักครู่ก่อนที่จะพูดออกมาดัง ๆ ด้วยความกล้าหาญ “เจ้าต้องการที่จะรู้จักชื่อของข้าหรือไม่?”
“เจ้าไม่เคยบอกข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไร ? ” เจี้ยนเฉินพูดอย่างใจเย็น
“เจ้าถามไม่ได้หรือ?” หญิงสาวเริ่มโกรธเล็กน้อยเมื่อมองจ้องเจี้ยนเฉินด้วยใบหน้าที่งดงามของนาง
“ด้วยอารมณ์ของเจ้า ข้ากลัวได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี” เจี้ยนเฉินพูดอย่างช่วยไม่ได้ กับอารมณ์ของนาง เขาได้ลิ้มรสจนเพียงพอ
ในที่สุดนางก็พ่ายแพ้ ด้วยการมองอย่างเจ็บปวด นางพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ ว่า ” ข้าชื่อหวงหลวน จำชื่อข้าไว้ ลาก่อน” จากนั้นนางก็หมุนตัวแล้วเดินไปจากเจี้ยนเฉิน เมื่อลมพัดมาข้างหลังทำให้ชุดสีเหลืองของนางปลิวไปในอากาศ แม้แต่ผมยาวของนางก็เริ่มปลิวสยายเหมือนกับมันเริงระบำในเพลงรักขณะที่ลมพัดผ่านมัน