เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 34 : ออกล่าแกนอสูรอย่างต่อเนื่อง
Chaotic Sword God ตอนที่ 34 ออกล่าแกนอสูรอย่างต่อเนื่อง
จ้องมองไปยังศีรษะของมันที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ ลำตัวของมันฉีดพ่นเลือดออกมามากมาย ใบหน้าของเถี่ยต้ายังคงระมัดระวัง ตอนนี้พวกเขาได้ฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้ตัวเองรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของพวกเขา อสรพิษมรกตนั้นไม่ได้ทำให้เถี่ยต้าต้องใช้พลังทั้งหมดของเขาออกมา
เจี้ยนเฉินแยกร่างของอสรพิษอย่างช้า ๆ ด้วยแท่งเหล็กและสะบัดเลือดไปบนพื้นหญ้าโดยรอบ ความจริงแล้วเจี้ยนเฉินมีส่วนร่วมอย่างมากทีเดียวในการฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ถ้าเขาไม่ได้โจมตีอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า ตัดผ่านร่างกายของอสรพิษร้าย และกลายเป็นบาดแผลที่ถูกแทงขนาดใหญ่แล้วล่ะก็ ขวานรบของเถี่ยต้าคงไม่อาจตัดผ่านหัวอสรพิษได้อย่างง่ายดายนัก
เถี่ยต้าควงขวานในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่เหยียบหัวของอสรพิษ เจียงหยางเซียงเทียน นี่คือสัตว์อสูรระดับ 1 จริงหรือ ไม่ใช่ว่ามันอ่อนแอเกินไปหรือ !
เจี้ยนเฉินหัวเราะเมื่อเขาได้ยินเถี่ยต้ากล่าวเช่นนั้น มันไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรอ่อนแอ แต่เพราะเมื่อเราทั้งสองคนร่วมมือกันนั้นมันแข็งแกร่งมากเกินไป นอกจากนี้สัตว์อสูรระดับ 1 ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคนที่กำลังจะตัดผ่านไปยังระดับเซียน
เถี่ยต้าหันกลับมายิ้มให้เจี้ยนเฉินและเช็ดขวานที่เต็มไปด้วยเลือดให้แห้ง พาดมันไว้บนไหล่ของเขา เขาหัวเราะและกล่าวว่า ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น คงไม่ได้หมายความว่า พวกเราสามารถที่จะเดินไปรอบ ๆ และฆ่าสัตว์อสูรระดับหนึ่งได้หรือ… ?
ราวกับว่าเจี้ยนเฉินตระหนักได้ถึงจุดนี้ เขาเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้าง ไม่เลว ด้วยความแข็งแกร่งของเราสองคน ต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับ 1 ด้วยตัวพวกเราเอง เราก็สามารถที่จะฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเราจะร่วมกันแล้ว ไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนในเขตแดนชั้น 2 นี่จะสร้างปัญหาให้กับเราได้ สัตว์อสูรที่นี่ไม่ได้แข็งแกร่งนักเพราะต้องการเพียงแค่ให้บรรดาลูกศิษย์ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการต่อสู้เท่านั้น จึงไม่มีสัตว์อสูรใด ๆ ที่แข็งแกร่งที่นี่ ยกเว้น … เขาหายไปในความคิด
เจี้ยนเฉินหยุดพูด ส่งผลให้เถี่ยต้าชะงัก ยกเว้น …
ถ้าหากเราพบกับกลุ่มของสัตว์อสูร แต่อย่างไรก็ตาม เรายังไม่รู้ว่ามันอยู่กับที่หรือไม่ ใบหน้าเจี้ยนเฉินมีท่าทีเคร่งเครียดในขณะที่เขาพูด ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เจี้ยนเฉินย่อมไม่พบปัญหา เขาย่อมผ่านสัตว์อสูรระดับ 1 ไปได้ แต่ถ้าพวกมันมาเป็นกลุ่มแล้วพวกเขาคงไม่อาจจัดการมันได้หมด
เถี่ยต้าย่นคิ้วของเขาเข้าหากันและกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น ข้าอยู่ในป่ามาก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยเจอสัตว์อสูรอยู่ด้วยกัน
มันไม่อาจแน่ใจได้ทั้งหมด ข้าเคยอ่านหนังสือในห้องสมุดที่เกี่ยวข้องกับสัตว์อสูร ซึ่งกล่าวถึงประเภทของสัตว์อสูรที่อยู่รวมกัน ความแข็งแกร่งของพวกมันมากนัก และมันยากที่จะออกเดินทางตัวเดียว เจี้ยนเฉินเดินไปที่หัวอสรพิษ และเขาก็ตระหนักว่าอสรพิษยาวเพียง 6-7 เมตร โดยใช้แท่งเหล็กตัดผ่านไปในระยะ 7 เมตร เขาใช้ท่อนเหล็กเขี่ยบางอย่างออกจากร่างกายของอสรพิษ ซึ่งเผยให้เห็นเป็นผลึกสีเลือด
ภายในทวีปเทียนหยวน มีแกนอสูรมากมายหลายชนิด ในขณะที่ไม่ได้มีแกนอสูรอยู่ในจุดเดียวกันทุกตัว บางครั้งสัตว์อสูรก็มีแกนอสูรอยู่บริเวณหัว บ้างก็อยู่ที่บางส่วนของกระเพาะอาหาร บ้างก็อยู่ที่ช่องท้อง เช่น อสรพิษตัวนี้มีแกนอสูรอยู่ที่ส่วนหาง แต่เจี้ยนเฉินก็รับรู้มันมานานแล้ว
ปัง! เถี่ยต้ายกขวานออกจากบ่าเหวี่ยงมันไปที่ต้นไม้ มันจมลงไปในต้นไม้เป็นอย่างง่ายดาย เหมือนเทน้ำในถัง ก่อนที่เขาจะร้องออกมาเสียงดังว่า ถ้ามีสัตว์อสูรที่รวมกันเป็นกลุ่มจริง ๆ ล่ะก็ ข้า เถี่ยต้า แน่นอนจะฆ่าพวกมันทั้งหมด !
เจี้ยนเฉินหยิบแกนอสูรออกมาจากส่วนหางของอสรพิษและลูบมัน เช็ดเลือดกับหญ้าบริเวณใกล้เคียง และโยนมันไปทางเถี่ยต้า เอาล่ะ อย่าได้ตะโกนมาก มีสัตว์อสูรมากมายที่เดินทางเป็นฝูงในทวีปเทียนหยวน แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราจะพบหนึ่งในพวกมัน แต่มันก็ไม่มีอะไรแน่นอน ก็หลังจากที่พวกเราเข้ามาภายในป่าอสูรแห่งนี้
เถี่ยต้าคว้าแกนอสูรที่โยนมา เขาจ้องมองอย่างแปลกประหลาด เจ้าให้กับข้างั้นหรือ ?
เจี้ยนเฉินหัวเราะและกล่าวว่า เจ้าเป็นคนสังหารอสรพิษตัวนี้ ดังนั้นแกนอสูรนี้จึงควรเป็นของเจ้าอย่างแท้จริง เห็นเถี่ยต้าพยายามที่จะหาเหตุผลในเรื่องนี้ เจี้ยนเฉินยังคงกล่าวว่า แกนอสูรนี้เป็นของเจ้า อย่าได้พูดเป็นอย่างอื่น เพียงแค่รับมันไป นอกจากนี้พวกเรายังมีเวลาถึง 3 วัน ด้วยความเร็วของพวกเราในปัจจุบัน แน่นอนว่ามันควรได้รับมากกว่านี้ ดังนั้นข้าไม่ได้สนใจแกนอสูรชิ้นนี้สักเท่าไรนัก
ฮ่า ๆ เข้าใจแล้ว ข้าจะรับเอาแกนอสูรนี้ไป แกนอสูรต่อไปจะเป็นของเจ้าไม่ว่าผู้ใดจะเป็นคนฆ่ามันก็ตาม ถือแกนอสูรสีเลือด โยนมันสูงขึ้นไปในอากาศ เถี่ยต้ามีความสุขมาก แน่นอนเพราะมันเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับมัน หลังจากที่ฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1
หลังจากนั้นทั้งสองก็ยังคงออกเดินอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจี้ยนเฉินมีสัญชาตญาณรับรู้ว่ามีอันตรายหรือไม่ได้อย่างรวดเร็ว เถี่ยต้าจึงทำได้เพียงยกหน้าที่ลาดตระเวนให้กับเจี้ยนเฉิน ในทางกลับกัน เขาเริ่มที่ฟันไปที่หญ้าอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อทำให้ทางเดินโล่งขึ้น แม้ว่าตลอดเวลาเขานั้นได้โบกขวานอันหนักออก แม้หนึ่งรอบจะใช้พลังงานมาก แต่เถี่ยต้าก็ทำมันออกง่ายราวกับทานอาหาร ด้วยความแข็งแกร่งที่พระเจ้ามอบให้ เขาทำงานไปอย่างราบรื่นและดูเหมือนว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งอันมหาศาลนัก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่มันจะหมดในสถานการณ์เช่นนี้
ไม่นานหลังจากที่ทั้งคู่ได้ออกจากบริเวณนั้น หูของเจี้ยนเฉินกระตุกขึ้นและเสียงฝีเท้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เขาเหยียดมือของเขาไปทางเถี่ยต้าที่กำลังตัดวัชพืชเหล่านั้น ชี้ไปด้านหน้าของพวกเขาและทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้หยุด
เถี่ยต้าสังหรณ์ใจและเข้าใจสถานการณ์และการถางวัชพืช เขาจับขวานรบของเขาไว้แน่นทางด้านหน้า เขากลับไปอยู่ข้างเจี้ยนเฉินและยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจี้ยนเฉิน ตาของเถี่ยต้าเป็นประกายชั่ววูบหนึ่ง ในขณะที่เขาตรวจสอบบริเวณโดยรอบของพวกเขาด้วยความระมัดระวัง
หายใจออกอย่างค่อย ๆ ในขณะที่พวกเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคน คือ การที่เถี่ยต้ามองไปรอบ ๆ อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เจี้ยนเฉินกลับหลับตาลง พยายามที่จะสัมผัสทุกสิ่งที่โดยรอบตัวเขา
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะมองเห็นอะไรในดงหญ้า แต่ทว่าจริง ๆ แล้วมีอันตรายที่ไม่รู้จักซุ่มซ่อนอยู่รอบ ๆ และมันน่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นสิ่งที่สามารถใช้ตาเปล่าในการมองเห็น ดังนั้นเถี่ยต้าจึงไม่สามารถค้นพบอะไร แม้จะกวาดสายตาไปทุกทิศด้วยระยะเวลาอันยาวนาน
เจี้ยนเฉินหลับตาลง หูของเขาก็กระตุกเป็นระยะ ๆ ขณะที่พวกเขาพยายามที่จะจับเสียงทั้งหมดที่มาจากบริเวณโดยรอบ ในเวลาเดียวกันที่สัมผัสการรับรู้ของเขาก็ก้าวผ่านไปในระดับที่สูงขึ้น และเขาใช้พลัง “จิตวิญญาณ” ในการเข้าถึงและสัมผัสโลกที่อยู่รอบตัวเขา
ในขณะนั้นเอง ช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินจะรำลึกถึงการต่อสู้ของเขากับต๊กโกวคิ้วป่าย ในที่สุด ขณะที่เขากำลังจะตาย พลังของเขาก็สามารถตัดผ่านและก้าวผ่านถึงระดับขอบเขตพระเจ้า ในขณะที่ จิตวิญญาณ ของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างหาที่เปรียบมิได้และยังสามารถทำให้มันประจักษ์ออกมานอกร่างกายของเขา ไปในอากาศโดยรอบ เมื่อใดก็ตามที่ส่งผ่าน จิตวิญญาณ ของเขาออกไปในพื้นที่นั้นแล้ว ก็จะไม่มีทางที่ใครหรืออะไรที่อยู่ภายในนั้นจะสามารถที่จะหลบหนีการรับรู้ของเขา
แต่สิ่งที่ทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกเสียใจก็คือ หลังจากที่เข้ามาในโลกนี้แม้จิตวิญญาณของเขาจะมีพลังมาก แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะขยายมันออกไปได้อีก มิฉะนั้น ป่าทึบนี้มันจะไม่ยากสำหรับเจี้ยนเฉินเลยในการที่จะค้นหาสัตว์อสูร
จิตวิญญาณของเจี้ยนเฉินรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างทรงพลัง และเขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้รู้สึกถึงสภาพแวดล้อมของเขา วิญญาณของเขาเข้าสู่สถานะที่เป็นเอกลักษณ์อย่างช้า ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ขยายจิตวิญญาณของเขาออกไป แต่จิตวิญญาณของเขาดูเหมือนมีปฏิสัมพันธ์กับพืชต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเขาอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่ลึกลับมาก
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เจี้ยนเฉินเข้ามาในสภาวะนี้ สัมผัสของเขาถูกยกระดับขึ้นไปในอีกระดับ ท้ายที่สุดเสียงหายใจค่อย ๆ เปลี่ยนเมื่อเข้าสู่ช่วงการรับรู้ของเขากลายเป็นลมหายใจจาง ๆ จนแม้แต่คนเดียวที่ยืนข้าง ๆ มันก็คงไม่มีใครฟังได้ยิน ในทันใดนั้นเจี้ยนเฉินก็ลืมตาและกระพริบขึ้นเขาก็หายตัวไปจากที่เดิมแล้วก็บินไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ในขณะที่เคลื่อนไหวเจี้ยนเฉินก็บิดตัวไปมาอย่างต่อเนื่องและปรับเปลี่ยนร่างกายของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงกิ่งไม้ที่กีดขวางทางเดินของเขา
ทันทีทันใดเจี้ยนเฉินได้ข้ามระยะทาง 10 เมตรแล้ว เขารีบผลักแท่งเหล็กไว้ในมือด้วยความเร็วที่รวดเร็วฟ้าผ่า ตัดใบไม้และวัชพืชออกโดยรอบ ปลายเหล็กเล็งไปที่ตัวสีดำซ่อนตัวอยู่ภายในหญ้า
อ๋าว!
เสียงร้องโหยหวนดังออกมา ทันในนั้นเงาสีดำก็กระโดดออกจากพงหญ้าเข้าหาเจี้ยนเฉินอย่างดุร้าย ปากของมันอ้าขึ้น
นี่คือเสือดำยาวประมาณ 2 เมตร หัวของมันมีแผลเปิดที่เลือดสดพวยพุ่งออกมาจากตรงนั้น เลือดไหลลงผ่านขนสีดำบนใบหน้าของมัน ซึ่งมันทวีความรุนแรงมากขึ้น
เจี้ยนเฉินจ้องมองไปยังท่อนเหล็กที่ลักษณะคล้ายกระบี่ ส่งเสียงขึ้นจมูกคราหนึ่ง เขาสะบัดแขนของเขาออกและฟาดออกมาอีกครั้งพร้อมกับแท่งเหล็กในมือของเขา ด้วยความเร็วและมันแทงลึกไปที่บริเวณลำคอของเสือดำ จนกระทั่ง ท้ายที่สุดเสือดำไร้ซึ่งการตอบสนอง จุดคมของแท่งเหล็กกดลงผ่านทะลุคอไปลึกนัก นอกจากนี้เพราะร่างกายเสือดำมันทะยานเข้ามากลางอากาศ ร่างกายอันหนักของมันปะทะเข้ากับแท่งเหล็กและทะลุลึกผ่านคอของมัน มันก็กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่และเป็นจุดจบของมัน
ในเวลานี้เอง เสือดำไม่มีเวลาแม้แต่ที่จะร้องออกมาก่อนที่มันจะตาย มันล้มลงกับพื้นด้วยตาที่เปิดกว้าง กลายเป็นความน่าสลดในสายตาผู้พบเห็น
ในเวลานั้นเอง เถี่ยต้าก็เดินออกมาจากด้านหลัง เมื่อเขามองไปบริเวณนั้น เขาเห็นท่อนเหล็กสึกกร่อนทะลุลำคอของเสือดำ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
เจียงหยางเซียงเทียน นี่… นี่ …เจ้าฆ่ามันงั้นหรือ ? เสียงเถี่ยต้าสั่นเทิ้มไปด้วยความตกใจ แม้เขาจะได้เห็นช่วงเวลาที่อาวุธของเจี้ยนเฉินได้ทะลุลำคอเสือดำ เขาก็ยังคงไม่สามารถเชื่อว่า มันเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลาที่ผ่านไปมันสั้นเกินไป ในตอนที่เจี้ยนเฉินได้พุ่งเข้าหามัน อย่างไรก็ตามในเวลาที่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนคือ สัตว์อสูรระดับ 1 ได้ตายลงด้วยน้ำมือของเจี้ยนเฉิน ระยะเวลาที่ใช้แน่นอนว่ามันไม่ได้นานพอที่จะนับเป็นหนึ่งลมหายใจ หรือไม่พอแม้กระทั่งกับเป็นครึ่งลมหายใจด้วยซ้ำ
ความสามารถในการฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ในครึ่งเวลาลมหายใจเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างไรก็ตามเถี่ยต้ารู้อย่างชัดเจนว่าความสามารถเจี้ยนเฉินยังไม่ถึงระดับเซียน นอกจากนี้อาวุธที่ใช้ออกมาก็เป็นเพียงท่อนเหล็กที่สึกกร่อน
เจี้ยนเฉินวางเท้าของเขาบนหัวของเสือดำและค่อย ๆ ดึงออกแท่งเหล็กออกมา ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขากล่าวว่า นั่นถูกต้อง ข้าฆ่ามัน แต่มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ ความจริงแล้ว มันไม่ควรที่ตายอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่มันกลับพุ่งเข้ามาหาอาวุธนั้นและในที่สุดชีวิตของมันก็ดับลงก่อนที่จะได้ร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง
ได้ยินเช่นนี้แล้ว เถี่ยต้าลูบศีรษะของเขาและเหลือบมองอย่างหวาดระแวงไปที่ใบหน้าที่ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของเจี้ยนเฉิน ในความไม่อาจเชื่อนั้น เขาถามว่า นั่นจริงหรือ? เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่ ?
เจี้ยนเฉินหัวเราะ แน่นอน มันเป็นความจริง ข้าจะโกหกเจ้าเพื่ออะไร ?
เห็นท่าทางการแสดงออกอย่างจริงใจของเจี้ยนเฉิน, เถี่ยต้าก็ยิ่งสับสนขึ้นไปอีก และพึมพำออกมาว่า นี่มันมีสัตว์อสูรที่โง่เช่นนี้จริงหรือ กระโจนเข้าหาอาวุธด้วยตัวของมันเอง?