เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 425: ช่วยชีวิต.
ตอนที่ 425: ช่วยชีวิต.
เจ้าของโรงเตี๊ยมที่เศร้าโศกไม่ทันสังเกตความผิดปกติในคำพูดของเจี้ยนเฉินและพูดต่อไปว่า “นายท่าน ข้าขอร้อง ได้โปรดช่วยลูกชายคนเดียวของข้าด้วย ! หากมีอะไรเกิดขึ้นกับลูกของข้า ข้าก็ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ! ” เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นคนธรรมดา ไม่มีกลุ่มสนับสนุนที่แข็งแกร่ง หมายความว่านิกายหยางจิจึงไม่กังวลในการทำร้ายนาง ตอนนี้นางทำได้เพียงหวังว่าเจี้ยนเฉินจะช่วยนาง นางรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวพวกเขา หมายความว่าเขาอาจมีพลังหรือภลุ่มหนุนหลัง
เจี้ยนเฉินจับไหล่ของเจ้าของโรงเตี๊ยมและจ้องนางอย่างระมัดระวัง “ท่านเพิ่งพูดว่าอะไร เคนดัลรึ ? ท่านกำลังพูดถึงเคนดัลทหารรับจ้างหรือไม่ ? ท่านเป็นคนในครอบครัวของเขาหรือ ? ” เจี้ยนเฉินเริ่มตัวสั่นด้วยความโศกเศร้า ครอบครัวของเคนดัลเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดและรู้สึกหนักใจมากเสมอมา ในหลาย ๆ จุด ความเสียใจนี้ได้หายไปจากใจของเจี้ยนเฉิน แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ข่าวเกี่ยวกับครอบครัวของเคนดัล เจี้ยนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข
เมื่อนางไตร่ตรองประโยคสุดท้ายของเจี้ยนเฉิน ในที่สุดนางก็เช็ดน้ำตาและพูดกับเขาด้วยความสงสัยว่า ” นายท่าน ท่านรู้จักเคนดัลหรือไม่ ? เขาเป็นสามีของข้าและเป็นพ่อของซาน”
เจี้ยนเฉินสูดอากาศก่อนที่จะพยายามทำใจให้สงบ เขาหลับตาลงช้า ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงลุงเคนดัล เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นจากไหล่ของเจ้าของโรงเตี๊ยม
ทันใดนั้นพลังงานของโลกเริ่มพุ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยมก่อนที่จะก่อให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้ารอบมือของเจี้ยนเฉิน ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งโรงเตี๊ยมก็เต็มไปด้วยพลังงานนี้
เจ้าของโรงเตี๊ยมมองดูแสงวิเศษที่เจี้ยนเฉินกำลังทำอยู่ นางไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน นางทำได้เพียงจ้องมองการกระทำของเจี้ยนเฉินด้วยตาที่เบิกกว้างเหมือนถูกมนตร์สะกด
หลังจากนั้น นางก็สามารถมองเห็นใบหน้าของชายคนหนึ่งในแสง โดยใช้การควบคุมพลังงานของโลก,เจี้ยนเฉินสามารถใช้พลังงานของโลกเพื่อสร้างภาพใบหน้าของเคนดัล
เจี้ยนเฉินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองไปที่เจ้าของโรงเตี๊ยม ขณะที่เขากำลังจะพูด เจ้าของโรงเตี๊ยมก็ร้องออกมาด้วยความตกใจว่า “เคนดัล นั่นคือเคนดัลของข้า ! ท่านเคยเห็นเคนดัลของข้าหรือ ? ” เจ้าของโรงเตี๊ยมตื่นเต้นด้วยความดีใจ นางไม่ได้เห็นเคนดัลมาหลายปีแล้วและตอนนี้นางก็กังวลอย่างมากเกี่ยวกับเขา
เมื่อเห็นเจ้าของโรงเตี๊ยมรู้จักเคนดัล ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็ยืนยันตัวตนของเขาได้ เขาพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ เขาพูดเพื่อยืนยันอีกครั้งว่า “ท่านป้า โปรดมองให้ดีอีกครั้ง นี่คือสามีของท่านจริง ๆ หรือไม่ ? “
“ไม่ต้องสงสัยเลย ไม่ต้องสงสัยเลย ! เขาคือเคนดัลของข้า ! ท่านเคยเห็นเคนดัลของข้าหรือ ? ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ? ทำไมเขาไม่กลับมาบ้านหลายปี เขาทิ้งเมียและลูกของเขาให้ดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวของพวกเขาเอง ? ” เจ้าของโรงเตี๊ยมปล่อยโฮอีกครั้ง
ท่าทีของเจี้ยนเฉินต่อเจ้าของโรงเตี๊ยมเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาพยุงนางให้นั่งลงและพูดด้วยความกังวลว่า “ท่านป้าโปรดนั่งก่อน ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ? พวกเขาทำอะไรท่านหรือไม่ ? ” น้ำเสียงของเจี้ยนเฉินอบอุ่นขึ้น และเมื่อเขาเห็นรอยเท้าบนเสื้อผ้าของนาง เขาจึงรู้สึกโกรธแค้นและร้อนรุ่มไปทั่วทั้งร่างกาย ตอนนี้ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาคือครอบครัวของเคนดัล ครอบครัวที่เขาตามหาอย่างขมขื่นมานาน เจี้ยนเฉินจะไม่ทนต่อความทารุณที่เกิดขึ้นกับพวกเขา
“นายท่าน ท่านรู้หรือไม่ว่าเคนดัลของข้าอยู่ที่ไหน ? ทำไมเขาไม่กลับบ้านล่ะ ? ” เจ้าของโรงเตี๊ยมคิดถึงเคนดัลอย่างสุดซึ้งและยังคงถามถึงที่อยู่ของเขาต่อไป
“คือว่า..” เจี้ยนเฉินก้มหน้าลง เขาเริ่มพูดตะกุกตะกักและไม่รู้จะพูดอะไร เขาจะพูดได้อย่างไรว่าเคนดัลสละชีวิตช่วยเขาตอนที่ราชาพยัคฆ์ขนทองได้ไล่ล่าพวกเขาผ่านเทือกเขาสัตว์อสูร หรือแม้แต่เรื่องที่โครงกระดูกของเคนดัลที่ไม่สามารถพบได้อีก ? เขาไม่กล้าเอ่ยออกมาเลยแม้แต่เรื่องเดียว
หลังจากลังเลอยู่สักครู่ เจี้ยนเฉินเปลี่ยนหัวข้อทันที “ท่านป้า เราควรคุยกันเรื่องนี้ภายหลัง ให้ข้าช่วยลูกของท่านก่อน”
“ใช่ ใช่แล้ว โปรดช่วยซานด้วย เขาเป็นลูกชายคนเดียวของข้า เขาต้องไม่ตาย ! นายท่าน ข้าขอร้องท่าน โปรดช่วยเขาด้วย ! ” แม่อ้อนวอนอีกครั้ง นางหวังอย่างยิ่งว่าเจี้ยนเฉินจะช่วยนาง
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินเริ่มจริงจังขึ้นเมื่อเขาถามว่า “ท่านป้า นิกายหยางจิพาซานไปไหน ? ข้าจะไปพาเขากลับมา”
“นิกายหยางจิพาเขาไปที่ไหนสักแห่ง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าที่ไหน” เจ้าของโรงเตี๊ยมร่ำไห้
เมื่อคิดสักครู่เจี้ยนเฉินก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องไปตามคนของนิกายหยางจิมาให้ได้สักคน ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ พวกเขาคงยังไม่ออกจากเมือง” เจี้ยนเฉินรีบพานางออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
นางดีใจมากเมื่อเห็นว่าเจี้ยนเฉินเต็มใจช่วยเหลือนางมากเพียงใด เมื่อนางเห็นว่าเจี้ยนเฉินตัวคนเดียว นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย “นายท่าน นิกายหยางจิเป็นหนึ่งในนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรฉินกาน พวกเขามีหลายคน ดังนั้นเราควรไปหาคนมาช่วยเราก่อน
เจี้ยนเฉินยิ้ม “ท่านป้า ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะนำซานกลับมาอย่างแน่นอน ดังนั้นมากับข้าเถอะ” เจี้ยนเฉินดึงนางให้ติดตาม
“รอสักครู่ ข้าต้องใส่กุญแจโรงเตี๊ยมก่อน..”
นิกายหยางจิเป็นที่รู้จักกันดีในอาณาจักรฉินกาน แทบทุกคนในอาณาจักรรู้จักพวกเขา ถึงตอนนี้ยังไม่ถึง 2 ชั่วยามตั้งแต่ที่กลุ่มนิกายหยางจิเข้ามา ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงสามารถถามผู้คนบนท้องถนนได้อย่างง่ายดายว่าพวกเขามุ่งหน้าไปทางไหน
เจี้ยนเฉินพาเจ้าของโรงเตี๊ยมไปยังที่พักชั่วคราวของนิกายหยางจิในช่วงเวลาอันสั้น พวกเขาพบกับโรงเตี๊ยมที่มีขนาดใหญ่และหรูหรา
“ท่านลูกค้า ท่านต้องการห้องพักค้างคืนหรือท่านมารับประทานอาหาร ? ” ขณะที่พวกเขาเข้ามา เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมก็ทักทายพวกเขาด้วยท่าทางที่อยากรู้อยากเห็นทันทีที่เขาเห็นรอยเท้าบนเสื้อผ้าของเจ้าของโรงเตี๊ยม เมื่อเห็นว่านางดูสกปรกเลอะเทอะ เขาก็ไม่รู้ว่าจะขับไล่นางออกไปดีหรือเปล่า เพราะนางไม่ได้ดูเหมือนแขกร่ำรวยที่สามารถซื้ออาหารได้ที่นี่
เจี้ยนเฉินไม่สนใจเสี่ยวเอ้อ เขากวาดสายตาไปทั่วทั้งโรงเตี๊ยม ในพริบตา เขาค้นพบกลุ่มของผู้คนจากนิกายหยางจิ เขาจึงพาเจ้าของโรงเตี๊ยมเดินไป
” ท่านลูกค้า พวกท่านมาพบใครกันหรือ ? ” เสี่ยวเอ้อพูดขณะที่เขาเดินตามทั้งสองคนไป
เจี้ยนเฉินโยนเหรียญทองให้เสี่ยวเอ้อ “ไม่มีอะไร กลับไปทำงานของเจ้าเถอะ”
นิกายหยางจิพักอยู่ในลานพักผ่อนพิเศษ เจี้ยนเฉินเดินไปตามทางเพื่อไปยังสนามแห่งนี้ จู่ ๆ ชายวัยกลางคน 2 คนที่ประตูหยุดเขาไว้
“ท่าน นี่คืออาณาเขตของนิกายหยางจิ หากไม่ได้รับอนุญาต ท่านจะไม่สามารถเข้าไปได้” ชายคนหนึ่งพูด
“ข้ากำลังตามหานิกายหยางจิอยู่พอดี” ดวงตาของเจี้ยนเฉินเปล่งประกายอย่างสดใสขณะที่พลังงานของโลกรวมตัวกันอยู่ในมือของเขา เขากระแทกมือของเขากับทรวงอกของชายทั้งสองด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
ชายสองคนนั้นเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญซึ่งหมายความว่าพวกเขาเป็นมดในสายตาของเซียนสวรรค์อย่างเจี้ยนเฉิน พวกเขาไม่มีพลังพอ พวกเขากระเด็นออกไป 10 เมตรโดยมีเลือดไหลออกมาทางปาก
“ท่านป้า เราไปกันเถอะ” เจี้ยนเฉินพูดในขณะที่เขาเดินเข้าไปข้างใน
เจ้าของโรงเตี๊ยมตัวสั่นด้วยความกลัวขณะที่นางเดินตามหลังเจี้ยนเฉินเข้าไป ตอนนี้นางมองเจี้ยนเฉินในมุมมองใหม่ นางไม่ได้คิดว่าเด็กคนนี้ซึ่งอายุไม่แตกต่างกันมากนักกับลูกชายของนางจะแข็งแกร่งพอที่จะส่งคนตัวใหญ่ 2 คนลอยออกไปติดผนังได้โดยไม่มีปัญหา
“ช่างไร้มารยาท ผู้ใดที่กล้าสร้างปัญหาที่นี่ ?”
ทันทีที่เจี้ยนเฉินเข้ามาในสนาม เขาก็ได้ยินเสียงตะโกน ชายในเครื่องแบบ 10 คนพุ่งไปข้างหน้าเพื่อล้อมเจี้ยนเฉินและเจ้าของโรงเตี๊ยม
ดวงตาของเจี้ยนเฉินกวาดไปทั่วทั้งกลุ่มพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา อย่างไรก็ตามผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังเขาไม่ได้สงบและใจเย็นเหมือนที่เขาเป็น นางรีบก้มหน้าลงต่ำด้วยท่าทางที่หวาดกลัวราวกับว่านางทนไม่ได้ที่จะมองพวกเขา
“เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นใคร ? ทำไมเจ้าถึงเข้ามาในอาณาเขตของนิกายหยางจิของเรา ? ” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เจี้ยนเฉินกอดอก ทำให้ลูกเสือกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเขา ลูกเสือเริ่มมองไปรอบ ๆ บริเวณนั้น
“ให้เจ้านายของเจ้าออกมาซิ” เจี้ยนเฉินพูดอย่างหงุดหงิดและไม่พอใจ
ชายวัยกลางคนโมโห “อวดดี ! เจ้าหนู เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงพูดกับเราเช่นนี้ เจ้าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยหรือ ? จงจับกุมเขาและรอคำสั่งของนายท่านสาม”
ขอรับ ! กลุ่มชายประมาณ 20 คนนำอาวุธเซียนของพวกเขาออกมาทีละคนเพื่อควบคุมเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินมองดูต้นไม้ใกล้ ๆ และพ่นลมทางจมูก ใบไม้ยี่สิบใบจากต้นไม้ผละออกไปและยิงเข้าหาชายกลุ่มนั้นด้วยความเร็วที่ไม่สามารถมองเห็นได้
ในขณะนั้น ใบไม้ที่อ่อนแอก่อนหน้านี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นเหมือนชิ้นส่วนของเหล็กแหลมคมทันที มันแทงเข้าไปในคอของชายทั้งยี่สิบคน
ชาย 20 คนจากนิกายหยางจิยังไม่ทันขยับตัวได้ถึงสองสามก้าว พวกเขาล้มลงกับพื้นในสภาพที่หมดลมหายใจ