เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 5 : ทวีปเทียนหยวน
Chaotic Sword God ตอนที่ 5 ทวีปเทียนหยวน
“พี่หงฮัว พี่ตงเหมย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ” พร้อมกับมองไปยังเด็กสาว เจี้ยนเฉินขอบคุณทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ
สาวใช้ทั้งสองคนเป็นสาวใช้ของตระกูลเจียงหยาง พวกนางมีหน้าที่ตอบสนองทุกความต้องการของเจี้ยนเฉิน ตั้งแต่เจี้ยนเฉินหมกตัวอยู่แต่ในห้องของเขา มารดาเขาไป๋หยุนเทียนก็ได้จ้างวานสาวใช้ทั้งสองคนมาคอยรับใช้เขา
เมื่อได้ยินในสิ่งที่เจี้ยนเฉินพูด เด็กสาวทั้งสองก็หัวเราะคิกคักออกมา จากนั้นก็พูดว่า “นายน้อยสี่ แน่นอน ท่านอย่าได้สุภาพนัก พวกเราแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น”
“ใช่แล้ว นายน้อยสี่ ได้โปรดละเว้นการใช้คำสุภาพด้วย หากท่านผู้อาวุโสได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านปฏิบัติต่อพวกเรา จากนั้นพวกเราอาจถูกลงโทษก็ได้” สาวใช้อีกคนพูดออกมา
เจี้ยนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่าได้กังวลไป ข้าจะไม่พูดเช่นนี้หากมีคนอยู่” เจี้ยนเฉินนั้นมีความฉลาดที่ไม่ธรรมดา คฤหาสน์เจียงหยางมีกฎเกี่ยวกับสถานะที่เข้มงวด หากพวกเขาได้ยินนายน้อยสี่ใช้คำพูดเช่นนั้น แน่นอนว่าเด็กสาวทั้งสองต้องถูกลงโทษสถานหนัก
หลังจากที่ล้างหน้าของเขาเสร็จ เจี้ยนเฉินออกมาจากห้องของเขาเดินไปยังห้องของมารดาเขาเช่นเคย ระยะห่างระหว่างห้องทั้งสองนั้นไม่มากนัก ห่างกับห้องของเขาเพียงแค่ 20 เมตรเท่านั้น
ไม่นานหลังจากที่เขาได้เข้ามาในห้อง เจี้ยนเฉินได้เห็นมารดาเขานั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งกำลังแต่งหน้าทาชาด โดยมีสาวใช้ทั้งสองคนให้ความช่วยเหลืออยู่
“เซียงเอ๋อ วันนี้เจ้ามาที่นี่เร็วกว่าปกตินะ”พร้อมกับชำเลืองมองไปยังเจี้ยนเฉิน รอยยิ้มที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรัก หัวใจของเจี้ยนเฉินก็อ่อนโยนขึ้น ในโลกที่แล้วของเขา เจี้ยนเฉินสูญเสียครอบครัวตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ทำให้เขาไม่เคยรู้หรือได้สัมผัสถึงความรักของมารดามาก่อน แต่เมื่อเขาได้มายังโลกใบนี้ มันชัดเจนว่าเขารู้สึกถึงความรักของมารดา และด้วยเหตุนี้เองที่เขาเริ่มเก็บรักษาความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักเหมือนสมบัติล้ำค่าของเขาอย่างช้า ๆ
เจี้ยนเฉินเดินไปข้างมารดาของเขาพร้อมกับลูบท้องของเขา จากนั้นก็พูดด้วยท่าทีเขินอายว่า “ลูกหิวแล้ว ! ” หลังจากที่ได้ฝึกอย่างหนักเมื่อคืนก่อน เขารู้สึกหิวจนแสบท้อง
ไป๋หยุนเทียนลูบหัวของเจี้ยนเฉินอย่างอ่อนโยน และหัวเราะขึ้นมา “ถ้าเป็นเช่นนั้น แม่จะพาเจ้าไปยังห้องอาหารเพื่อที่จะกินอาหาร”
“เย้ ! ” เจี้ยนเฉินผงกหัวของเขา ใบหน้าของเขาดูพึงพอใจ ภายในใจเขา เขาได้ค่อย ๆ เก็บความสุขที่มารดาของเขาได้แสดงความรัก ความใส่ใจต่อเขา
ไม่กี่วินาทีต่อมา เจี้ยนเฉินก็เปิดปากของเขาอีกครั้ง “ท่านแม่!”
ไป๋หยุนเทียนมองเจี้ยนเฉินอย่างอบอุ่น แล้วพูดว่า “เซียงเอ๋อ ถ้าเจ้ามีอะไรบางอย่างจะพูดก็พูดออกมาเถอะ ! “
เจี้ยนเฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะรวบรวมความคิดของเขา เขาจ้องมองไปยังมารดาของเขาอีกครั้ง จากนั้นพูดว่า “ท่านแม่ ท่านได้โปรดเล่าให้ลูกฟัง เกี่ยวกับโลกภายนอกหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”
หลังจากได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉิน ปี้หยุนเทียนแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด กับคำถามของเขา นางจึงเปิดปาก แล้วถามออกมาว่า “เซียงเอ๋อ เจ้าสนใจโลกภายนอกเช่นนั้นรึ?”
“ลูกเพียงแต่อยากรู้เท่านั้น ! ” เขาตอบกลับมา
จากนั้นไป๋หยุนเทียนก็หัวเราะออกมา “เซียงเอ๋อ โลกภายนอกนั้นกว้างใหญ่ยิ่งนัก นอกจากนี้มันยังเต็มไปด้วยความซับซ้อน เรื่องราวเกี่ยวกับโลกภายนอกไม่อาจทำความเข้าใจได้จากคำพูดเพียงอย่างเดียว หากเจ้าต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับมัน ทางที่ดีที่สุด เจ้าควรไปหอหนังสือและอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือเหล่านั้น”ในขณะที่นางเปล่งเสียงตอบ ใบหน้าของไป๋หยุนเทียนก็ดูเหมือนจะจนปัญญา “แต่ว่าเซียงเอ๋อ ตัวเจ้ายังไม่รู้วิธีอ่านหนังสือ แม้เจ้าจะไปหอหนังสือ เจ้าก็อ่านอะไรไม่ออกอยู่ดี”
“ท่านแม่ เช่นนั้นทำไมท่านถึงไม่นำใครสักคนมาสอนข้าอ่านหนังสือล่ะ?”น้ำเสียงของเจี้ยนเฉินมีร่องรอยของความไม่พอใจ
ไป๋หยุนเทียนหัวเราะจากนั้นก็พูดว่า “เซียงเอ๋อ เจ้าอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น แม่ของเจ้าไม่เคยได้ยินหรือเห็นว่าจะมีเด็กคนไหนเรียนรู้วิธีการอ่านมาก่อนเลย แม้แต่ในทวีปเทียนหยวนก็ตาม สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยทั่วไปแล้ว เด็กที่เริ่มอ่านเร็วที่สุดเมื่อตอนที่พวกเขาอายุราวสัก 4-5 ขวบ”
เจี้ยนเฉินเข้าใจในทันที “ท่านแม่ ข้าอยากเรียนรู้ด้านการอ่าน ได้โปรดหาใครบางคนที่จะพยายามสอนข้า”
ไป๋หยุนเทียนถึงกับพูดไม่ออก แต่รอยยิ้มแห่งความสุขค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “เซียงเอ๋อ การเรียนรู้ที่จะอ่านเป็นเรื่องที่ยากและมันน่าเบื่อเป็นอย่างมาก เจ้าต้องเข้าใจคำต่าง ๆ ในทวีปเทียนหยวน ที่มันไม่ใช่จะเรียนรู้กันได้รวดเร็ว เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าต้องการที่จะเริ่มต้นเรียนรู้ตอนนี้”
เจี้ยนเฉินผงกหัวของเขาเพื่อยืนยัน “ข้าต้องการ ! “
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของเจี้ยนเฉิน รอยยิ้มของไป๋หยุนเทียนก็ยิ่งงดงามยิ่งขึ้นด้วยเสียงหัวเราะที่มีความสุข จากนั้นนางก็พูดว่า “ถ้าหากเป็นความต้องการเซียงเอ๋อ แม่ของเจ้าจะสนับสนุนเจ้าเอง ! ” นางหันกลับไป แล้วเรียก “เสี่ยวหลิว! ในเวลานี้ จงไปที่เมืองลอร์ว่าจ้างอาจารย์ที่ดีที่สุด พาเขากลับมาที่คฤหาสน์ จากนั้นให้เขาสอนเซี่ยงเอ๋อเกี่ยวกับวิธีการอ่าน!”
“รับทราบเจ้าค่ะ ฮูหยิน” สาวใช้ซึ่งกำลังสางผมให้ไป๋หยุนเทียน นางเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ
“เซียงเอ๋อ ถึงเวลาแล้ว ไปห้องอาหารกันเถอะก่อนที่เราทั้งคู่จะไปสาย”
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันต่อมาอาจารย์ที่ไป๋หยุนเทียนได้ว่าจ้างก็ได้เดินทางมาถึงที่คฤหาสน์ และเริ่มสอนเขาอ่านหนังสือ
ตั้งแต่นั้นมาเจี้ยนเฉินได้ใช้เวลาตลอดทั้งวันในการเรียนรู้การอ่านหนังสือ เนื่องจากเขามีความอดทนและมีความรู้จากความทรงจำในอดีต การเรียนรู้ภาษาของโลกใบใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเรียนรู้ ประกอบกับอาจารย์ได้ใส่ใจและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณในการสอนที่ดี รวมทั้งความสามารถในการจดจำที่น่าทึ่งของเจี้ยนเฉิน ทำให้การเรียนรู้การอ่านเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายยิ่ง เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ 3 เดือน เขาก็เชี่ยวชาญคำพื้นฐานต่าง ๆ ของทวีปนี้ได้แล้ว
ความเร็วในการเรียนรู้ของเจี้ยนเฉินได้ทำให้อาจารย์ต้องร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ ทันทีที่ไป๋หยุนเทียนทราบว่าเจี้ยนเฉินได้เรียนภาษาเขียนส่วนใหญ่ ภายในระยะเวลา 3 เดือน นางไม่อาจเชื่อได้ จนนางจึงได้ทดสอบเจี้ยนเฉินก่อน นางจึงสามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้ ถ้าใครต้องการอ่านและเขียนคำส่วนใหญ่ในทวีปให้ได้เช่นเดียวกับเจี้ยนเฉิน มันต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี แต่เจี้ยนเฉินกลับสามารถทำมันสำเร็จในเวลา 3 เดือน แม้แต่อัจฉริยะก็ยังไม่มีคนไหนสามารถทำได้เสียด้วยซ้ำ
ความสำเร็จนี้ได้ไปถึงหูบิดาของเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว เจียงหยางป้าจึงได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนเขาเป็นการส่วนตัว
“เซียงเอ๋อ เพียงเวลาอันสั้น เจ้าอดทนได้ดีมาก ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าพักผ่อนแล้ว พ่อจะมอบรางวัลให้แก่เจ้า เป็นรางวัลสำหรับความพากเพียรในการเรียนรู้การอ่านของเจ้าในเวลาไม่กี่เดือน ข้าไม่รู้จะมอบอะไรให้แก่เจ้า เซียงเอ๋อ” ใบหน้าของเจียงหยางป้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขามองไปเจี้ยนเฉินแล้วพูดออกมา การมีลูกชายที่เป็นอัจฉริยะเช่นเจี้ยนเฉินเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เขาห่วงใยเจี้ยนเฉินยิ่งกว่าเด็กคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเจี้ยนเฉินก็ทอประกาย เขาคิดเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะตอบกลับมาว่า “ท่านพ่อ ได้โปรดอนุญาตให้ลูกชายของท่านเข้าไปยังหอหนังสือและอ่านหนังสือบางอย่างที่นั่น ข้าต้องการเพิ่มพูนประสบการณ์และการเรียนรู้มากกว่านี้”
ดวงตาของเจียงหยางป้าทอประกายออกมา มองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความปิติ เขาหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “นี่มันยิ่งไม่มีปัญหา เซียงเอ๋อ เจ้ามีใจที่จะพัฒนาตัวเอง พ่อของเจ้าก็ภูมิใจกับสิ่งนี้นัก ข้าอนุญาตตามคำขอของเจ้า เจ้าสามารถใช้หอหนังสือได้ตามที่เจ้าต้องการ”
“ขอบคุณมากท่านพ่อ !” ใบหน้าของเจี้ยนเฉินเอ่อล้นไปด้วยความสุข การที่เขาสามารถเข้าไปยังหอหนังสือได้ประสบความสำเร็จ นั่นทำให้เจี้ยนเฉินมีความสุขอย่างแท้จริง หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจว่าหอหนังสือมิใช่สถานที่ที่ใครสามารถเข้าไปได้อย่างอิสระ คนที่จะเข้าไปได้ต้องมีอายุหกปีหรือมากกว่านั้น ทั้งยังต้องสืบเชื้อสายตรงจากตระกูลเจียงหยางถึงจะสามารถเข้าไปได้ แน่นอน ข้อกำหนดต่าง ๆ สามารถยกเว้นได้หากได้รับการอนุญาตจากผู้นำตระกูล
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงหยางป้าได้พะเน้าพะนอเจี้ยนเฉินอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับไป หลังจากที่เขากลับไปแล้ว เจี้ยนเฉินไม่อาจนั่งอยู่ในห้องของเขาอีกต่อไป เขาออกจากห้องของเขาและมุ่งหน้าไปยังหอหนังสือในทันที หลังจากที่เรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านมากว่าสามเดือน ทั้งหมดก็เพื่อตอนนี้เพื่อที่จะได้เข้าไปยังหอหนังสือ และดูรายละเอียดเกี่ยวกับโลกภายนอก หากในหนังสือมีรายละเอียดเกี่ยวกับโลกภายนอกไม่มากพอ เจี้ยนเฉินก็สามารถสอบถามมารดาของเขาได้ตลอดเวลา แต่หากว่าในหนังสือมีรายละเอียดที่ชัดเจนและครอบคลุมยิ่งกว่าที่มารดาของเขาอธิบายเสียอีก เป็นผลให้เจี้ยนเฉินให้ความสำคัญกับหนังสือมากกว่า
หอหนังสือนั้นสามารถตอบคำถามของเจี้ยนเฉินที่เคยถามเมื่อนานมาแล้ว มันตั้งอยู่ที่สวนด้านหลังของตระกูล อยู่ภายในเจดีย์ขนาดใหญ่ เมื่อเจี้ยนเฉินมาถึงบริเวณสวนด้านหลัง เขารู้สึกได้ในทันทีว่ามียอดฝีมือจำนวนมากในทุกทิศทางคอยจับตาดูเขาราวกับดวงตาของงูพิษ
การที่เขาเป็นคนหัวสูงและถือดี เจี้ยนเฉินจึงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงเหล่ายอดฝีมือ มุ่งหน้าเข้าไปยังหอคอยต่อไป เขาเป็นแค่เด็กอายุ 2 ขวบไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิทยายุทธ์ หากมีใครล่วงรู้ว่าเขาสามารถสัมผัสคนที่กำลังเฝ้ามองเขาได้ จากนั้นก็จะมีปัญหายุ่งยากตามมาเป็นแน่
คฤหาสน์เจียงหยางมีทายาทสายตรงมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่คนที่มุ่งหน้ามายังหอหนังสือ ดังนั้นคนที่เห็นเจี้ยนเฉินมีเพียงแค่ผู้คุ้มกันเท่านั้น แทบจะไม่มีคนในตระกูลคนอื่นอยู่เลย
เจี้ยนเฉินไปถึงที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปที่ป้ายขนาดใหญ่ ที่แขวนอยู่ข้างบนหน้าประตูหอหนังสือ มีคำว่า “หอหนังสือ” ด้านล่างมีผู้คุ้มกันสองคนยืนอยู่ เมื่อเขาเห็นผู้คุ้มกันทั้งสอง เจี้ยนเฉินสามารถบอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน
รอจนกระทั่งประตูเปิดออก เจี้ยนเฉินได้เดินเข้าไปในทันทีโดยปราศจากการขัดขวางของผู้คุ้มกันทั้งสอง พวกเขาแทบจะเหมือนกับหุ่นไม้แกะสลัก ที่ยืนหลังตรงไม่แสดงท่าทีใด ๆ แม้แต่ตอนที่เจี้ยนเฉินปรากฏตัว พวกเขาทั้งสองไม่แม้แต่จะทักทายเขาเสียด้วยซ้ำ
เจี้ยนเฉินได้เข้าไปข้างในหอหนังสือ สายตาของเขาได้เผชิญกับทางเดินที่ยาวและแคบ ด้านนอกเป็นช่วงเวลากลางวัน แสงที่สาดส่องเข้ามาภายในช่างสวยงามยิ่งนัก บนผนังทางเดินประดับไปด้วยไข่มุกจันทราเม็ดใหญ่ที่คอยให้ความสว่างแก่ห้องโถงนี้ ทางเดินนี้มีความยาวพอสมควรก่อนจะเจอทางแยกสองทาง เจี้ยนเฉินคาดว่าต้องเดินลัดเลาะไปตามหอคอยแต่ละฝั่งก่อนที่บรรจบกันที่จุดหนึ่ง
“นายน้อยสี่ ท่านผู้นำบอกว่าท่านเข้าไปได้เพียงแค่หอหนังสือฝั่งซ้ายเท่านั้น ” เสียงที่มีอายุดังขึ้นมาช้า ๆ จากเงาที่มีรูปร่างสูงใหญ่
หลังจากที่ได้ยินเสียงนี้เจี้ยนเฉินหันหลังกลับไป แม้ว่าแสงสว่างบนหอหนังสือจะเลือนราง แต่เขาสามารถระบุสิ่งที่อยู่กึ่งกลางของเงานั่นได้ เป็นชายชราผมสีขาวที่เต็มไปด้วยริ้วรอย สวมชุดฉางเป่าสีเงินบริสุทธิ์ เขาดูค่อนข้างธรรมดาไปสักนิด ไม่มีผู้ใดสงสัยว่าเขาเป็นอย่างอื่นนอกจากชายแก่ธรรมดา ๆ เท่านั้น
ไม่ว่าเจี้ยนเฉินจะมองชายแก่มากเท่าไรก็ตาม เขาก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากเป็นคนธรรมดาเท่านั้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าดูแคลนชายชราคนนี้ เพราะสัญชาตญาณภายในได้บอกแก่เขาว่าชายชราคนนี้เป็นยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดาเป็นแน่ คนที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เขามาที่โลกใบนี้คือบิดาของเขา เจียงหยางป้า แต่มันดูไม่ดีที่จะเปรียบเทียบบิดาของเขากับ ความรู้สึกอะไรก็ตามที่เจี้ยนเฉินรับรู้มาจากชายชราคนนี้