เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 67 : ตระกูลไป๋
ตอนที่ 67: ตระกูลไป๋
เจียงหยางป้าต้องการปฏิเสธข้อเสนอของเจี้ยนเฉินที่จะไปคนเดียว แต่เจี้ยนเฉินก็ยืนกรานในการตัดสินใจของเขา ดังนั้นในที่สุดเจียงหยางป้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับ
หลังจากการปรึกษาหารือจบลง ไป๋เต๋ากล่าวว่า “จากสิ่งที่ข้าได้ยินมาในพระราชวัง สำนักหัวหยุนได้รับข่าวและกำลังมุ่งหน้าตรงมาเมืองลอร์ พวกเขาคงจะมาถึงเมืองลอร์ตอนบ่ายแก่ ๆ มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าส่งเจียงหยางเซียงเทียนออกจากเมืองลอร์โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นมันจะสายเกินไปหากเป็นเวลากลางคืน”
ใบหน้าของทุกคนเคร่งขรึมอีกครั้ง จากนั้นเจียงไป่ก็ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ให้นายน้อยสี่ไปเก็บของและข้าจะส่งเขาไปกับอสูรอินทรี”
หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็เริ่มออกจากห้องโถงใหญ่
“เซียงเอ๋อ ตามไปที่ห้องของแม่ มีเรื่องที่เราต้องคุยกัน” ไป๋หยุนเทียนกล่าวขณะที่นางเดินไปที่ห้องของนาง
หลังจากเข้าไปในห้อง ไป๋หยุนเทียนดึงเจี้ยนเฉินให้นั่งลงกับนาง เมื่อถึงจุดนี้ ไป๋หยุนเทียนก็หลั่งน้ำตาลงมาอาบแก้ว นางรู้แก่ใจว่าหลังจากเจี้ยนเฉินออกจากคฤหาสน์เจียงหยางไปแล้ว คงจะอีกนานกว่ามารดาและบุตรชายจะได้พบกันอีก ชีวิตในทวีปเทียนหยวนนั้นซับซ้อน และเจี้ยนเฉินก็ไม่รู้ว่าความยากลำบากอะไรที่เขาจะต้องเผชิญหรือเรื่องโชคร้ายอาจจะเกิดขึ้นกับเขา ดังนั้นนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่มารดาและบุตรชายจะได้พบหน้ากัน
“เซียงเอ๋อ เจ้าไม่ใช่เด็กและอีกไม่นานเจ้าจะจากที่นี่ไป ดังนั้นมีสิ่งที่แม่ควรบอกเจ้าก่อน” น้ำตาของไป๋หยุนเทียนเป็นประกายระยิบระยับขณะที่มันหยดลงมาจากใบหน้าของนาง “เซี่ยงเอ๋อ เจ้าไม่เคยคิดหรือว่าทำไมมันแปลกที่เจ้าไม่มีตาหรือยาย”
เจี้ยนเฉินพยักหน้าโดยไม่ส่งเสียง
ไป๋หยุนเทียนกล่าวต่อไปว่า “เซียงเอ๋อ จริง ๆ แล้วแม่ไม่ได้มาจากอาณาจักรเกอซุน บ้านเกิดของแม่มาจากอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่ง นั่นคือจักรวรรดิคาร์ล ไม่เพียงแค่นั้น,แต่ตระกูลไป๋ของแม่เป็นตระกูลที่ทรงพลังที่ย้อนกลับไปกว่าพันปี เรามีอิทธิพลที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าสำนักหัวหยุนและอาศัยอยู่ในอาณาจักรเฮลไฟร์ ตาของเจ้าเป็นเซียนผู้คุมกฎที่ทรงพลัง ในขณะที่เรามีผู้อาวุโสที่ยอดเยี่ยมอีก 4 คนเป็นเซียนสวรรค์และมีตำแหน่งระดับสูงในตระกูลไป๋ของเรา”
ไป๋หยุนเทียนถอนหายใจ “ช่างน่าเวทนาที่ความรุ่งเรืองไม่ได้อยู่กับเรานาน ในขณะที่แม่ยังเด็ก ตาของเจ้าได้รับจดหมายและไม่เคยกลับมา เขาจากไปโดยไม่มีข้อมูลเลย 20 ปีหลังจากการหายตัวไป ผู้อาวุโส 4 คนของตระกูลจึงได้ส่งผู้อาวุโส 2 คนออกไปตามหาเขา สองวันหลังจากการค้นหาเริ่มขึ้น มีการรายงานข้อมูลที่ตกตะลึง ผู้อาวุโสทั้งสองที่ถูกส่งไปถูกฆ่าตายในชนบท ! ” ใบหน้าของไป๋หยุนเทียนเต็มไปด้วยความเศร้าหลังจากที่พูดอย่างนั้น
“ข้อมูลชิ้นนี้เหมือนสายฟ้าที่ฟาดมาจากท้องฟ้าแจ่มใส ในขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสองเป็นเซียนสวรรค์ พวกเขายังถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเทียนหยวน ดังนั้นจึงคิดไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะถูกฆ่าได้ ผู้อาวุโสที่ตายหนีไม่ทันด้วยซ้ำและจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นปริศนาในตระกูลของเรา เราไม่รู้ว่าศัตรูที่แข็งแกร่งพอที่สร้างความบาดหมางให้กับตระกูลไป๋คือใคร ตาของเจ้าก็อาจเจอชะตากรรมเช่นเดียวกัน”
“น่าเสียดายที่ศัตรูลึกลับของเราไม่ได้ให้เวลาเราหายใจ ในคืนเดียวกันที่เกิดเหตุฆาตกรรม กลุ่มชายลึกลับกลุ่มหนึ่งได้บุกเข้ายึดตระกูลไป๋ของเรา พวกเขาแข็งแกร่งมากและผู้อาวุโสสองคนที่เหลือไม่สามารถขับไล่พวกเขาได้ ในที่สุดผู้อาวุโสทั้งสองก็ถูกฆ่าตาย เมื่อไม่มีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งจึงไม่มีใครจะปกป้องเรา ในขณะนั้น สมาชิกที่ภักดีของตระกูลพยายามช่วยพวกเรากลุ่มหนึ่งให้หนีรอดจากการสังหารหมู่ แต่ในที่สุดมีเพียงแม่และลุงของเจ้าที่รอดมาได้หลังจากที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านของครอบครัวหนึ่ง เราจึงสามารถหลบหนีจากการฆ่าล้างตระกูลที่โหดเหี้ยม”
“หลังจากซ่อนตัวอยู่สองชั่วยาม เราก็รีบออกมาพร้อมกับคาราวานทหารรับจ้างและมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเกอซุนทันที”
น้ำตายังคงไหลออกมาจากใบหน้าของไป๋หยุนเทียนขณะที่นางร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก “เซียงเอ๋อ ในช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่นั้นเรามีสมาชิกกว่าพันคนในตระกูล แต่จนถึงทุกวันนี้สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือลุงและพวกเราสองคน เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าไม่ได้มีเลือดของตระกูลเจียงหยางในตัว เจ้ายังมีเลือดของตระกูลไป๋ด้วยเช่นกัน เจ้าต้องสืบทอดตระกูลไป๋ รักษาตัวด้วย เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่จิตใจของเขาปั่นป่วน เขาใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ เนื่องจากยังติดใจข่าวที่มารดาบอก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจี้ยนเฉินก็สงบลงและพูดว่า “ท่านแม่ เรายังไม่สามารถระบุตัวตนของศัตรูลึกลับของเราว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหนหรือ ? “
ไป๋หยุนเทียนส่ายหน้า “แม่เองก็ไม่รู้ แม่กับลุงยังเด็กอยู่ เราจึงไม่เข้าใจมากนัก เราจึงไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นใคร คนที่รู้คงจะมีแต่ผู้อาวุโสที่เสียชีวิตไปแล้ว”
หลังจากนั้นไป๋หยุนเทียนก็หยิบถุงผ้าสีแดงที่มีลวดลายออกมาแล้วมองดูราวกับว่ามันนำความทรงจำเก่า ๆ กลับคืนมา “เซียงเอ๋อ ก่อนที่ตาของเจ้าจะหายไป เขามอบถุงผ้าสีแดงนี้ให้แม่และบอกว่ามันเป็นมรดกตกทอดของตระกูลที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จนถึงตอนนี้มันมีอายุกว่าพันปี จงรักษามันให้ดี คนลึกลับเหล่านั้นน่าทำลายตระกูลไป๋ของเราเพื่อหาสมบัตินี้”
ดวงตาของเจี้ยนเฉินมองไปที่ถุงผ้าสีแดงที่มีลวดลายแล้วพูดว่า “ท่านแม่ แล้วในนี้มีอะไรกันแน่?”
“มีขนชิ้นเล็ก ๆ ที่เล็กกว่าขนาดของฝ่ามือด้านใน แม่ไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร” วางถุงผ้าสีแดงไว้ในมือของเจี้ยนเฉินและกล่าวว่า เซียงเอ๋อ แม้ว่าถุงผ้าใบนี้จะมีเพียงขนอยู่ข้างใน แต่มันก็ยังคงเป็นมรดกตกทอดของตระกูล ขนดังกล่าวก็คงไม่ใช่ของธรรมดา ตอนนี้เจ้าเป็นความหวังเดียวของตระกูลไป๋ แม่จึงควรมอบมรดกสืบทอดของตระกูลให้แก่เจ้า แม่หวังว่าเจ้าจะดูแลตัวเองได้ แต่มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าจะซ่อนถุงผ้าใบนี้ไว้อย่างปลอดภัย แม้ว่าเจ้าไม่น่าจะเจอคนที่รู้ค่าของมัน เจ้าก็ควรระวังไว้จะดีกว่า”
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เขาหยิบถุงผ้าสีแดงขึ้นมา
” ตึก, ตึก, ตึก !”
ในขณะนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นและมีเสียงเรียกจากข้างนอก ไป๋หยุนเทียนเช็ดคราบน้ำตาและถามว่า “นั่นใครกัน ? “
ไม่มีเสียงนอกประตูสักพักหนึ่ง ในที่สุดเสียงพูดว่า “ข้าเอง”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยคนที่เพิ่งได้ยินมา เจี้ยนเฉินก็จ้องมองที่หน้าประตู มันคือเสียงของผู้ชายจากพระราชวัง: ไป๋เต๋า
ไป๋หยุนเทียนดีใจที่ได้ยินเสียงนี้นางพูดว่า “เข้ามาสิ”
ประตูถูกเปิดออกในขณะที่ชายเสื้อคลุมสีดำเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เขาคือไป๋เต๋า
ไป๋หยุนเทียนค่อย ๆ ยืนขึ้นจากเก้าอี้ขณะที่นางมองเขาด้วยความเจ็บปวด ” พี่ชาย มันผ่านมา 20 ปีแล้วตั้งแต่ท่านเจอข้าครั้งสุดท้าย ข้าคิดว่าท่านลืมข้าไปแล้ว”
เจี้ยนเฉินจ้องเขม็ง จากความจริงที่ว่ามารดาของเขาเรียกเขาว่าพี่ชาย เขาสามารถบอกได้ว่าชายวัยกลางคนข้างหน้าเขาคือลุงของเขา.
“อืม..” ไป๋เต๋าถอนหายใจ ” น้องสาว ข้าขอโทษ ข้าผิดเองที่ไม่ได้มาเยี่ยมเจ้าเลยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อันที่จริงข้าไม่เคยลืมเจ้า แต่เป็นเพราะหน้าที่ของข้ามันหนักเกินไป การล้างแค้นให้กับตระกูลไป๋ของเราต้องเกิดขึ้นแน่นอน น้องสาว ! ข้าจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อการแก้แค้น .. “
ไป๋หยุนเทียนถอนหายใจเช่นกันก่อนที่จะหันไปมองเจี้ยนเฉิน “เซียงเอ๋อ นี่คือลุงของเจ้า – —ไป๋เต๋า”
ท่านลุง ! เจี้ยนเฉินพูด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคำนั้นและเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นไป๋เต๋า
ไป๋เต๋ามองเจี้ยนเฉินและยิ้มให้ “เซียงเทียน ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้า ความสำเร็จของเจ้าดังก้องผ่านเมืองหลวงและยังเป็นที่โจษขานในพระราชวัง เจ้าคู่ควรกับสายเลือดของตระกูลไป๋ของเราจริง ๆ ข้าคาดหวังอยากจะเห็นวันที่เจ้าเติบโตแข็งแกร่งและมีเกียรติ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
หลังจากสนทนากันแล้ว ไป๋เต๋าก็เคร่งขรึมอีกครั้งเมื่อเขาเผชิญหน้ากับไป๋หยุนเทียน “น้องสาว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากเห็นเซียงเทียนจากไป แต่มันไม่มีวิธีอื่น สถานการณ์ตอนนี้ตระกูลเจียงหยางไม่สามารถรับมือสำนักหัวหยุนได้ แต่ถ้าเซียงเทียนจากไป สถานการณ์จะดีขึ้นอย่างมากสำหรับตระกูลและเซียงเทียน การปล่อยให้เซียงเทียนอยู่ในคฤหาสน์จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ มันอาจทำให้ตระกูลเจียงหยางต้องจบลงเหมือนตระกูลไป๋ของเรา ตอนนี้เราเพียงแค่ต้องลักลอบนำตัวเซียงเทียนออกไปก่อนค่ำ มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถจากไปได้แม้ว่าเจ้าจะยอมปล่อยเขาไป”
ไป๋หยุนเทียนพยักหน้าช้า ๆ เนื่องจากจักรพรรดิไม่เต็มใจที่จะช่วยเหลือพวกเขาอย่างเปิดเผยตอนนี้ นางจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ได้อย่างไร ?
หลังจากนั้นไป๋หยุนเทียนที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาก็ช่วยเจี้ยนเฉินรวบรวมเสื้อผ้าและสิ่งของบางอย่างก่อนที่จะพาเขาออกไป
เมื่อทั้งสองมาถึงที่ลานด้านหลัง พวกเขาเห็นป้าของเจี้ยนเฉิน, บิดาของเขาและเจียงไป่รออยู่ที่นั่น ข้างหลังพวกเขามีอสูรอินทรีที่ใหญ่โตและสง่างาม
เจียงหยางหู่คว้าแขนของเจี้ยนเฉินไว้ เขามีสีหน้าเศร้าหมองในขณะที่เขาพูดด้วยความกังวลว่า “น้องสี่ เจ้าควรจะระมัดระวังตัวให้มากในโลกภายนอกเข้าใจหรือไม่ ? “
เจี้ยนเฉินพยักหน้าก่อนที่จะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อย่ากังวลพี่ใหญ่ ข้าจะระวังตัวให้มาก แต่หลังจากที่ข้าไป ท่านต้องไม่โศกเศร้า ท่านต้องฝึกวรยุทธ์ต่อไป .. “
เจียงหยางหู่พยักหน้าอย่างจริงจังและพูดว่า “ได้เลยน้องสี่ เป็นเพราะข้าอ่อนแอจึงทำให้เจ้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จากนี้ไปข้าจะพยายามให้หนักขึ้นเพื่อฝึกฝนเพื่อที่จะได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง”
เจียงหยางหมิงเย่ว พี่รองของเจี้ยนเฉินเดินไปหาเขาและมอบถุงเครื่องรางให้แก่เขา “น้องสี่ พี่ทำเครื่องรางนำโชคมาให้เจ้าและหวังว่าเจ้าจะเดินทางอย่างปลอดภัย เจ้าควรเก็บมันไว้ติดตัวตลอดเวลา”
ตอนนี้เจียงหยางหมิงเย่วอายุ 18 ปี นางกลายเป็นหญิงสาวร่างสูงผอมเพรียวที่สามารถทำให้ชายหนุ่มทั้งเมืองต่อสู้แย่งชิง
เจี้ยนเฉินนำเครื่องรางนำโชคมาจากนาง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเครื่องรางนั้นไม่ได้ให้การป้องกันอะไรมากมาย แต่ก็ยังเป็นของขวัญจากพี่สาวที่เป็นห่วงเขา
” ขอบคุณพี่รอง ข้าจะเก็บเครื่องรางนี้ไว้กับตัว” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
เจียงหยางป้าเดินไปข้างหน้าพร้อมกับแหวนแล้วพูดว่า เซียงเอ๋อ นี่คือแหวนมิติที่พ่อเตรียมไว้ให้เจ้า นี่คือของขวัญที่พ่อตั้งใจจะมอบให้เจ้าตอนที่เจ้าสำเร็จการศึกษาจากสำนักคากัต พ่อไม่คิดว่าเจ้าจะได้รับมันในตอนนี้ พ่อขอมอบแหวนมิตินี้ให้เจ้า มีบางสิ่งที่พ่อเตรียมไว้ข้างใน”
” ขอบคุณมาก ท่านพ่อ ! ” เจี้ยนเฉินหยิบแหวนมิติขึ้นมาด้วยความซาบซึ้ง
“เซียงเอ๋อ แหวนมิติเป็นของมีค่าในทวีปเทียนหยวน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น อย่าเปิดเผยแหวนมิติให้ใครต่อใครเห็น แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด” เจียงหยางป้าเตือน
เจี้ยนเฉินพยักหน้า “ท่านพ่อ เซียงเอ๋อเข้าใจแล้ว”