เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 721: ความเป็นมาของนิกายดาบโลหิต
ตอนที่ 721: ความเป็นมาของนิกายดาบโลหิต
เจี้ยนเฉินจ้องมองอย่างเงียบเงียบไปยังทิศทางที่ชายชุดแดงทั้งสี่หายไปเป็นเวลานาน สายตาของเขาสั่นไหวไปด้วยความไม่แน่นอน
“นายน้อยสี่ เราควรจะหยุดเศร้าโศกเสียใจได้แล้ว ท่านหัวหน้าตระกูลและฮูหยินสี่ได้จากไปแล้ว เราควรที่จะจัดงานศพโดยเร็ว” ในตอนนี้ ชายชราได้มายืนที่ข้างข้างเจี้ยนเฉินและพูดกับเขาเบา ๆ ชายชรานี้คือผู้อาวุโสของตระกูลเจียงหยางที่เป็นเซียนปฐพี
เจี้ยนเฉินหยุดคิดและส่ายหัวอย่างสุภาพ เขาพูด “ไม่จำเป็นต้องมีงานศพหรอก ท่านแม่และท่านพ่อยังไม่ตาย ข้าจะชุบชีวิตพวกท่านเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชราก็ถอนหายใจ เขาคิดว่าเจี้ยนเฉินยังจมอยู่ในความทุกข์และมันทำให้เขาสับสนเล็กน้อย
“ท่านผู้อาวุโส สี่คนนั้นที่เพิ่งจากไปเป็นใครกันหรือ ? ” เจี้ยนเฉินถามอย่างสุภาพ น้ำเสียงของเขาไร้อารมณ์และเฉยเมย
ชายชราคิดอยู่ซักครู่ก่อนพูดออกมา “นายน้อยสี่ ข้าก็ไม่มั่นใจว่าทั้งสี่คนนี้คือใคร ข้าคิดว่าข้าได้ยินมาว่าพวกเขามาจากนิกายดาบโลหิต”
“นิกายดาบโลหิต ! ” เจี้ยนเฉินพูดทวนคำเสียงต่ำ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่คุ้นกับชื่อของนิกายนี้มาก่อน
หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เจี้ยนเฉินก็จากไปจากที่ที่เขาอยู่เพื่อไปที่สวนของคฤหาสน์เจียงหยาง เขาเห็นไป๋ไฮกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาคนเดียว และกำลังจมอยู่กับความเศร้าโศก
เจี้ยนเฉินจ้องมองไป๋ไฮด้วยท่าทีที่สับสน เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ของเขาทำให้ไป๋ไฮเจ็บปวด ตระกูลไป๋ในตอนนี้ไม่เหมือนดั่งอดีตอีกแล้ว ลูกหลานทุกทุกคนของตระกูลไป๋คือแก้วตาดวงใจของไป๋ไฮ
“ท่านตา ! ” เจี้ยนเฉินมาถึงที่ศาลาและนั่งลงตรงข้างไป๋ไฮ
ไป๋ไฮวางแก้วไวน์ลงและเงยหน้าขึ้นมองที่เจี้ยนเฉิน จากสีหน้าที่ดูสงบของเจี้ยนเฉิน เขาก็บอกได้เลยว่าเจี้ยนเฉินได้ก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดมาได้แล้วตั้งแต่ 2-3 วันก่อน ไป๋ไฮถอนหายใจเบา ๆ และพูด “หลาน เก็บรักษาร่างของพ่อแม่เจ้าไว้ให้ดี เจ้าเป็นถึงเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 แล้ว เมื่อเจ้าไปถึงระดับ 7 เมื่อใด เจ้าก็จะมีพลังที่จะฟื้นคืนชีพพ่อแม่เจ้าได้” เมื่อไป๋ไฮพูดจบ เขาก็รินสุราเต็มจอกใหม่และวางทุกสิ่งทุกอย่างลง
เจี้ยนเฉินพยักหน้าและพูด “ท่านตา หลานมีเรื่องที่อยากจะถาม ท่านตารู้เรื่องเกี่ยวกับนิกายดาบโลหิตหรือไม่ ? “
หลังจากที่ได้ยินคำสองคำนั้น ตาของไป๋ไฮก็เป็นประกาย เขาจ้องไปที่เจี้ยนเฉินด้วยดวงตาที่สดใสและพูด “หลาน เจ้าไปได้ยินเรื่องของนิกายดาบโลหิตมาจากที่ไหน ? “
“ชายวัยกลางคน 4 คนนั้นที่ข้าพบก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นคนของนิกายดาบโลหิต” เจี้ยนเฉินตอบกลับ
“อะไรนะ ? พวกเขามาจากนิกายดาบโลหิตงั้นหรือ ? ” ไป๋ไฮประหลาดใจเล็กน้อยสักครู่ เขาพึมพำ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงได้มีพลังหยินชั่วร้ายที่หนาแน่นขนาดนั้น พวกเขาน่าจะฆ่าคนมาจำนวนนับไม่ถ้วนและใช้วิธีการที่พิเศษ ดังนั้นพวกเขาก็น่าจะมาจากนิกายดาบโลหิตนั่นเอง”
ความทรงจำเก่า ๆ จากอดีตของไป๋ไฮภายในจิตใจของเขาเริ่มก่อตัวเป็นภาพ แล้วเขาก็ดื่มสุราในจอกจนหมดและพูดอย่างช้า ๆ “ข้ารู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับนิกายดาบโลหิต แต่ข้ารู้น้อยมาก”
“นิกายดาบโลหิตนั้นเป็นหนึ่งในสามองค์กรลอบสังหารของทวีปเทียนหยวน พวกเขาเป็นอันดับที่ 2 จากทั้งหมด 3 องค์กร ไม่แค่ว่าพวกเขาลึกลับเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขายังยอดเยี่ยมเหนือกว่าตระกูลสันโดษและอยู่ในระดับเดียวกับตระกูลโบราณ อย่างไรก็ตามเมื่อพันปีที่แล้ว ได้มีสงครามครั้งใหญ่ระหว่างองค์กรลอบสังหารทั้งสามองค์กร และด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากสงครามครั้งนั้น นิกายดาบโลหิตก็ได้หายไปจากทวีปเทียนหยวน หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยออกมาปรากฏตัวอีกเลย ข้าเลยไม่คิดว่าคนทั้งสี่นั้นจะมาจากนิกายดาบโลหิตจริง ๆ “
“ท่านตา ถ้างั้นท่านรู้หรือไม่ว่าหัวหน้าของนิกายดาบโลหิตคือใคร?” เจี้ยนเฉินถาม เพราะว่าผู้ยอดยุทธทั้งสี่ถูกส่งมาด้วยคำสั่งของผู้นำนิกายดาบโลหิต ดังนั้นผู้นำนิกายน่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเจี้ยนเฉิน ไม่เช่นนั้นแล้วทำไมนิกายนี้ถึงปรากฏขึ้นมาทั้ง ๆ ที่หายไปแล้วเป็นพันปี แล้วทำไมพวกเขาถึงได้มาช่วยเขาและปกป้องหายนะที่เกิดขึ้นกับตระกูลเจียงหยาง ?
ไป๋ไฮส่ายหัว “ในยุคนั้น ข้าเป็นเพียงแค่เซียนสวรรค์ ด้วยสถานะของหัวหน้านิกายดาบโลหิตและความลึกลับของนิกาย ข้ามีสิทธิ์อะไรที่จะไปรู้ชื่อหัวหน้านิกาย ? “
“ฮ่าฮ่า มีไม่กี่คนที่รู้ชื่อของผู้นำนิกายดาบโลหิตในทวีปเทียนหยวนนี้ คิดว่าข้าก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ” ในตอนนี้ เสียงชราดังก้องมาจากที่ใกล้ ๆ เจี้ยนเฉินเห็นหญิงชราที่ถูกเรียกว่า’ท่านย่าหวัง’จากเทียนมู่หลิงเข้ามาที่ศาลาพร้อมกับถือไม้เท้ามาด้วย
เจียงเฉินและไป๋ไฮยืนขึ้นทันทีแล้วป้องมือไปที่หญิงชราพร้อมพร้อมกัน “ขอคารวะท่านผู้อาวุโส ! “
หวังหยานหงหัวเราะคิกคัก “ไม่จำเป็นต้องสุภาพ ข้าแอบฟังการสนทนาของพวกเจ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น โปรดอภัยให้ข้าด้วย อย่างไรก็ตาม ข้าก็ทราบบางอย่างเกี่ยวกับนิกายดาบโลหิตที่เจ้าพูดถึงนะ เจี้ยนเฉิน”
เจี้ยนเฉินรีบเชิญหญิงชรามาที่ศาลาอย่างอ่อนน้อม เขาได้รู้มาแล้วว่ากลุ่มทหารรับจ้างอัคนีนั้นเจอปัญหาใหญ่มาจากคำกล่าวของพวกที่มาจากกลุ่มทหารรับจ้างอัคนี แม้แต่นูบิส, ไป๋ไฮ และเจียเต๋อไท่ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส หญิงชราที่อยู่ตรงหน้าเขาได้ยื่นมือเข้าไปช่วยกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีในตอนท้าย เจี้ยนเฉินจึงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อหญิงชราที่อยู่ตรงหน้า
“ท่านผู้อาวุโส กรุณาบอกข้าเกี่ยวกับนิกายดาบโลหิตด้วย” ทันทีที่หญิงชรานั่งลง เจี้ยนเฉินก็ถามอย่างรีบร้อน
หญิงชรายิ้มอย่างเมตตาและพูด “เจี้ยนเฉิน ก่อนที่ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับนิกายดาบโลหิต ข้ามีบางอย่างที่จะต้องปรึกษากับเจ้า ก่อนหน้านี้ที่ข้าช่วยขับไล่พวกศัตรูของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีออกไปและช่วยสหายและญาติของเจ้า อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ได้ช่วยเปล่า ๆ หรอกนะ ที่ข้าช่วยเจ้ามันก็ต้องมีสิ่งตอบแทน เจี้ยนเฉินเจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้ายังติดค้างข้าอยู่”
เจี้ยนเฉินเคร่งเครียดและกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ผู้เยาว์จะไม่ลืมความกรุณาของท่าน น้ำใจเพียง 1 หยดจะถูกตอบแทนกลับไปดั่งน้ำตก ถ้ามีเรื่องที่ผู้อาวุโสต้องการละก็ ผู้เยาว์จะทำทุกอย่างที่ทำได้” เจี้ยนเฉินไม่อยากคิดเลยว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรหากกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีไม่ได้หญิงชรามาช่วยไว้ เมื่อพวกเขาเจอคู่ต่อสู้ที่เป็นเซียนผู้คุมกฎถึง 5 คน ถึงแม้ญาติและสหายของเขาจะไม่ตาย แต่มันก็คงจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากทีเดียว
เมื่อได้ยินเจี้ยนเฉินพูดเช่นนี้ หวังหยานหงก็ยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนิกายดาบโลหิต”
“นิกายดาบโลหิตนั้นเป็นองค์กรลอบสังหารที่ยิ่งใหญ่ในทวีปเทียนหยวน มันมีมาหลายหมื่นปีและมีความแข็งแกร่งเท่าตระกูลโบราณ วิธีการที่เขาใช้ฝึกคือการฆ่าเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเขา ทุก ๆ ครั้งที่พวกเขาฆ่าคน มันก็จะกลายไปเป็นเกลียวแห่งพลังหยินชั่วร้าย ยิ่งพวกเขาฆ่ามากเท่าไร ความหนาแน่นของพลังหยินชั่วร้ายที่เขาจะควบรวมได้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น พลังนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้คู่ต่อสู้หยุดชะงักแล้วเชื่องช้าลงเท่านั้น แต่มันสามารถกำจัดวิญญาณของคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย พวกเขาสามารถสังหารโดยไร้ร่องรอย ซึ่งนั้นสร้างความหวั่นวิตกให้กับคนในทวีปเทียนหยวนมาก”
“อย่างไรก็ตาม พลังหยินชั่วร้ายของนิกายดาบโลหิตนั้นก็มีจุดอ่อนที่ร้ายแรงอยู่ นั้นคือมันสามารถหมดได้ ถ้าพวกเขาใช้มันมากไป พวกเขาจะต้องเติมมันด้วยการสังหารผู้คนเท่านั้น นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมพลังหยินชั่วร้ายถึงมีแต่พวกที่ต่ำกว่าเซียนสวรรค์ใช้ ในขณะที่เซียนผู้คุมกฎไม่ค่อยจะใช้เลยกับคู่ต่อสู้ยกเว้นในช่วงเวลาความเป็นตายเท่านั้น เซียนผู้คุมกฎนั้นถูกควบคุมอยู่ด้วยการลงทัณฑ์แห่งสวรรค์จึงไม่สามารถสังหารคนเป็นจำนวนมากได้ ดังนั้นถ้าใช้พลังหยินชั่วร้ายจนลดลงไปมากละก็ พวกเขาก็จะไม่มีทางที่จะเติมมันได้ อย่างไรก็ตาม เซียนผู้คุมกฎของนิกายดาบโลหิตนั้นกลับใช้พลังหยินชั่วร้าย พวกเขาสามารถที่จะฆ่าเซียนผู้คุมกฎได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ยกเว้นคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งกว่าเป็นอย่างมาก นี่คือยุทธวิธีการเอาตัวรอดของพวกเขา” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ความกลัวก็ปรากฏขึ้นมาในแววตาของหวังหยานหง
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมข้าถึงได้รู้สึกที่พลังหยินชั่วร้ายที่หนาแน่นรอบ ๆ พวกเขา มันคงจะต้องถูกควบรวมก่อนที่พวกเขาจะเป็นเซียนผู้คุมกฎ” เจี้ยนเฉินคิด เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงชายสี่คนในชุดแดง
“แต่เมื่อพันปีที่แล้ว บางอย่างได้เกิดขึ้นกับองค์กรลอบสังหารที่ยิ่งใหญ่ทั้งสาม มันเกิดจากหัวหน้านิกายดาบโลหิตรุ่นนั้น เขามีพรสวรรค์และเป็นเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 9 โดยใช้เวลาแค่ 2-3 พันปีเท่านั้น เขากลายเป็นจอมยุทธที่หาได้ยากที่ใกล้เคียงกับการที่จะได้เป็นเซียนจักรพรรดิของนิกายดาบโลหิต และเพราะเขานั่นเองนิกายดาบโลหิตจึงเรืองอำนาจมาก พวกเขาเหนือกว่าตระกูลโบราณที่สามารถต่อกรกับตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบได้”
“การที่มาถึงระดับความแข็งแกร่งเช่นนั้นได้ หัวหน้านิกายได้กลายเป็นหนึ่งใน 2-3 คนที่เป็นผู้เยี่ยมยุทธที่สุดในทวีปเทียนหยวน ดังนั้นเขาจึงมีความคิดที่จะควบรวมองค์กรลอบสังหารทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่ทำให้องค์กรลอบสังหารที่เหลือทั้งสองทำสัญญากันเพื่อทำสงครามกับนิกายดาบโลหิต”
“อย่างไรก็ตาม หัวหน้านิกายในตอนนั้นยืนอยู่ในจุดสูงสุด แม้แต่ทั้งทวีปเทียนหยวนก็มีแค่เมืองทหารรับจ้าง ตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบ และมารราคะเท่านั้นที่จะต่อกรกับเขาได้ แม้ว่าองค์กรลอบสังหารที่เหลือทั้งสององค์กรจะร่วมมือกัน พวกเขาก็ไม่สามารถจัดการนิกายดาบโลหิตได้ แม้แต่เจ้าสำนักขององค์กรทั้งสองยังได้รับบาดเจ็บจากผู้นำนิกายและทำให้องค์กรณ์เสี่ยงในการล่มสลาย”
“แต่ในตอนนั้นเอง บางอย่างที่โชคร้ายก็เกิดขึ้น อีกสององค์กรที่เหลือวางแผนและล่อฮูหยินของหัวหน้านิกายออกมาและซุ่มฆ่านาง วิญญาณของนางถูกกำจัดและทำลายอย่างหมดสิ้นซึ่งนั้นทำให้เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงที่ทรงพลังไม่สามารถชุบชีวิตนางขึ้นมาได้ เขาเจอฮูหยินคนนี้ก่อนที่จะกลายเป็นเซียนราชา ดังนั้นเธอจึงมีความสำคัญต่อหัวหน้านิกายมาก และก่อนที่นางจะตายนางก็ท้องอีกด้วย”
“การตายของภรรยาของเขานั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับหัวหน้านิกายอย่างมาก ในคืนนั้น ลักษณะภายนอกของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง รูปลักษณ์เดิมของเขาที่เป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปี รูปงาม ซึ่งเขาคงสภาพแบบนั้นมาตลอดก็ได้เปลี่ยนไปกลายเป็นคนแก่ขึ้น แม้แต่ผมที่ดกดำของเขาก็กลายเป็นสีเทา”
“หลังจากนั้น หัวหน้านิกายได้ใช้สมบัติสวรรค์หมื่นปีเพื่อที่จะชุบชีวิตให้กับลูกของเขาที่อยู่ในมดลูกของฮูหยินของเขา เขาไปที่สององค์กรนั้นกับฮูหยินและลูกน้อยของเขาแค่นั้น และต้องการที่จะสังหารพวกนั้นทั้งหมดเพื่อล้างเค้น ในการต่อสู้นั้น หัวหน้านิกายก็ได้สร้างความเสียกายที่ทำให้สององค์กรนั้นต้องจบสิ้นไป สมาชิกที่ทรงพลังขององค์กรได้ตายลงด้วยน้ำมือของหัวหน้านิกาย และมันได้สร้างความอ่อนแอให้กับสององค์กรอย่างมาก”
“หลังจากที่เรื่องนั้นจบ นิกายดาบโลหิตที่เป็นที่รู้จักกันดีในทวีปเทียนหยวนก็ได้หายไปจากทวีป หัวหน้านิกายไม่เคยมาปรากฏตัวที่ทวีปอีกเลยและไร้ร่องรอยใด ๆ เขาเหมือนกับหายไปโดยสิ้นเชิงโดยไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน ในช่วงเวลานั้น มีข่าวลือมากมาย บางคนบอกว่าเขาถูกลงทัณฑ์จากสวรรค์เนื่องจากการสังหารผู้คนมากมายในเหตุการณ์นั้น บางคนก็บอกว่าเขาเศร้าโศกเสียใจจนตายตามฮูหยินของเขาไป และยังมีคนอื่น ๆ ที่พูดว่าเขาถอนตัวจากทวีปไปแล้วและใช้ชีวิตอยู่โดยไม่สนเรื่องทางโลก แต่ไม่ว่าจะมีข่าวลือเช่นไร หัวหน้านิกายก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นที่ทวีปเลยจนถึงตอนนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาถอนตัวหรือตายตามฮูหยินไปกันแน่”
“ผู้อาวุโส ถ้างั้นท่านก็รู้จักชื่อของหัวหน้านิกายหรือไม่ ? ” เจี้ยนเฉินถามด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
หวังหยานหงนึกสักครู่และพูด “ข้ารู้ชื่อของเขามาจากบรรพบุรุษของตระกูลเทียนมู่ ชื่อของเขาคือฮุสตัน ! “