เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 735: ทักษะธาตุแสง (3)
ตอนที่ 735: ทักษะธาตุแสง (3)
จากผู้อาวุโสเก้าและสิบสี่ เจี้ยนเฉินได้รับความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการกระจายอำนาจในเมืองแห่งเทพเจ้า
ภายในเมืองแห่งเทพเจ้านั้น ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือตระกูลซาร์ เมืองแห่งเทพเจ้าที่เป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองหลวงของทวีปนั้นถูกควบคุมโดยตระกูลซาร์ ถ้าไม่กล่าวเกินจริงไปล่ะก็ ตระกูลซาร์นั้นก็คือผู้ปกครองของเมืองแห่งเทพเจ้าและยังเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ที่ควบคุมจักรวรรดิอีกด้วย
รองลงมาจากตระกูลซาร์ มีตระกูลอยู่ 8 ตระกูล แปดตระกูลนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งไม่เป็นรองไปจากตระกูลสันโดษเลย บางตระกูลในนั้นเทียบเท่าได้กับตระกูลนักพรตสองสามตระกูลเลยด้วยซ้ำ
ตระกูลเฉิงเป็นหนึ่งในแปดตระกูลนั้น
ตระกูลเล่ยที่มีเรื่องกับเจี้ยนเฉินที่ถนนนั้นเป็นแค่ตระกูลที่รู้จักกันดีในเมืองเฉย ๆ เป็นขุมอำนาจชั้นสอง มีหลายตระกูลที่เป็นแบบนี้ และเกือบทั้งหมดก็เป็นสาขาของตระกูลทั้งแปด
การที่ได้เห็นใบหน้าที่ประหลาดใจของเจี้ยนเฉินนั้นก็ทำให้เฟิงเจี้ยนหมิงแอบดีใจไม่น้อย เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “ท่านหยางยู่เทียนเดาถูกแล้วล่ะ นายท่านเฉิงเป็นคนของตระกูลเฉิงของแปดตระกูลและในตระกูลนั้น นายท่านเฉิงมีตำแหน่งที่สูงมาก”
“ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ข้ากำลังจะไปที่หอคอยพลังเซียนธาตุแสงเพื่อฝึกฝนทักษะธาตุแสงในไม่ช้านี้ ข้าไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น ดังนั้นโปรดช่วยแจ้งข้อความนี้จากข้าไปด้วย ข้ารู้สึกขอบคุณในความตั้งใจนี้ แต่ข้าจะไม่สามารถที่จะไปที่โรงเตี้ยมลอยน้ำในอีกสองวันที่จะถึงได้” เจี้ยนเฉินป้องมือให้เฟิงเจี้ยนหมิงและพูดอย่างใจเย็น
เฟิงเจี้ยนหมิงค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดมาก่อนว่าหลังจากที่เขาประกาศชื่อของตระกูลเฉิงซึ่งเป็นหนึ่งในแปดตระกูลออกไปแล้ว หยางยู่เทียนจะตอบปฏิเสธง่าย ๆ แบบนี้ มันสร้างความประหลาดใจให้เขาจริง ๆ
ถึงแม้ว่าการเชื้อเชิญจะถูกปฏิเสธ เฟิงเจี้ยนหมิงก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกไม่ยินดีแม้แต่น้อย เขาประสานมือไปที่เจี้ยนเฉิน “ถ้าท่านหยางยู่เทียนต้องการที่จะไปที่หอคอยพลังเซียนธาตุแสงเพื่อฝึกฝนทักษะธาตุแสงละก็ เฟิงเจี้ยนหมิงก็ไม่ขอรบกวนท่านแล้ว ภารกิจของเฟิงเจี้ยนหมิงสิ้นสุดแล้วตอนนี้และจะกลับไปรายงานกับนายท่านเฉิง ข้าขออำลา ! ” หลังจกาที่เขาพูดจบ เขาก็หันไปหาเงาด้านหลังเขา ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็นทันที “เจ้าเงา ข้าหวังว่าเจ้ายังจะไม่ลืมกฎที่สมาคมตั้งเอาไว้นะ ถ้าเจ้าไม่รักษากฎ เจ้าจะไม่สามารถหนีการลงโทษได้แม้ว่าตระกูลของเจ้าจะช่วยก็ตาม เจ้าอาจถึงตายได้ ! “
“หืม เฟิงเจี้ยนหมิง นั่นมันไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เสียงแหบแห้งออกมาจากหมอกดำนั้นและเต็มไปด้วยจิตสังหารที่เยือกเย็น
มุมปากของเฟิงเจี้ยนหมิงบิดเบี้ยวไปด้วยความเย้ยหยัน “ท่านหยางยู่เทียนที่เคารพเป็นแขกของนายท่านเฉิง และยังถือเป็นแขกที่น่าเคารพของตระกูลเฉิงด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านหยางยู่เทียน เจ้าน่าจะรู้ว่าผลมันจะเป็นยังไง เจ้าเงา” จากนั้นเฟิงเจี้ยนหมิงก็หันหลังและจากไป
“เฟิง.. เจี้ยน.. หมิง !” เสียงออกมาจากหมอกดำพร้อมกับเสียงกัดฟัน คนที่ถูกปกคลุมอยู่ในหมอกมืดนั้นกลัวชายหัวล้านตัวใหญ่นั้นมาก
เจี้ยนเฉินมองไปที่หมอกดำที่โกรธจัดและพูดอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าช่วยออกไปจากห้องด้วย ข้าจำเป็นที่จะต้องพักผ่อน” ด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกของเจี้ยนเฉิน จิตสังหารที่ตรวจจับไม่ได้ก็สั่นไหวขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ว่าเขาต้องปกปิดตัวตนในฐานะนักสู้เอาไว้ในเมืองแห่งเทพเจ้านี้ เขาคงไม่ปล่อยให้เซียนสวรรค์ผู้อ่อนด้อยเช่นนี้มาทำท่าทางกำเริบเสิบสานกับเขา
“หืม ! ” คนที่ถูกปกคลุมอยู่ในหมอกดำแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่จะจากไปอย่างไม่เต็มใจ ตอนแรกเขาคิดหวังว่าถ้าเจี้ยนเฉินไม่ต้องการที่จะไปกับเขา เขาก็จะบังคับและพาไป อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ต่อปากต่อคำกับเฟิงเจี้ยนหมิงแล้ว เขาก็ไม่กล้าที่จะทำแบบนั้น
ในคืนนั้นเอง เจี้ยนเฉินก็พลาดโอกาสที่จะได้พักผ่อนอย่างสงบ หลังจากที่ชายหัวล้านเฟิงเจี้ยนหมิงและเจ้าเงานั้นจากไปแล้ว ยังมีคนอีกจำนวนมากมาที่โรงเตี้ยมและมาหาเจี้ยนเฉินที่กำลังพักผ่อนอยู่ ความตั้งใจของพวกเขานั้นเหมือนกันทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น นั้นคือการมาเป็นตัวแทนให้หัวหน้าของพวกเขาในการเชิญชวนเจี้ยนเฉินไปที่ตระกูลของพวกเขาในฐานะแขก อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินก็ตีตัวออกห่างจากพวกเขา และปฏิเสธทุก ๆ คน
ในพริบตาเดียว สามวันได้ผ่านไป ในสามวันที่ผ่านมา เจี้ยนเฉินได้ไปที่ร้านที่โด่งดังในเมืองด้วยการนำของหลินไป่ แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างน่าผิดหวัง เขาหาวัตถุดิบที่จะมาทำกระบี่ม่วงฟ้าไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว
ในช่วงเวลานั้นเอง คนจากตระกูลทั้งแปดก็ได้มาหาเจี้ยนเฉินเพื่อที่จะเข้ามาเริ่มเชิญเจี้ยนเฉินไปเข้าพวก และพวกเขายังเชิญเจี้ยนเฉินไปที่ตระกูลในฐานะแขก อย่างไรก็ตาม ยังมีสองสามคนที่หยิ่งยโสจากตระกูลทั้งแปดที่ดูถูกเจี้ยนเฉินและพูดจากับเขาอย่างดื้อดึง อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่พวกเขาจะพลาดในสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขายังโดนเมินอีกต่างหาก
ถึงแม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นคนนอกที่ไม่มีพลังอำนาจอะไรในเมืองแห่งเทพเจ้า แต่ตราบใดที่เขาใช้ตัวตนในฐานะที่เป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวแม้แต่กับตระกูลทั้งแปด
นอกเหนือจากตระกูลทั้งแปดแล้ว ยังมีตระกูลชั้นสองอีกสองสามตระกูลที่มาแสดงความปรารถนาดีกับเจี้ยนเฉิน ตระกูลชั้นสองไม่ได้มาแบบดื้อดึง แต่ปฏิบัติต่อเจี้ยนเฉินด้วยความเคารพและอ่อนน้อมมาก
สามวันต่อมานั้นยังเป็นวันที่เจี้ยนเฉินต้องไปที่สมาคมเพื่อเข้าร่วมพิธีฉลองการกลายเป็นสมาชิกหลักอีกด้วยก่อนที่จะไปที่หอคอยพลังเซียนธาตุแสงเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะธาตุแสง ในวันนั้นเอง เขาร่ำลากับหลินไป่ในช่วงเช้ามาก ก่อนที่จะเรียกรถม้าที่หรูหราเพื่อที่จะไปยังสมาคม
เจี้ยนเฉินนั่งอยู่บนรถม้าที่กระตุกขึ้นลงในขณะที่เขากำลังป้อนสมบัติสวรรค์อายุหลายพันปีให้กับเสือขาว ตอนนี้ เขารู้สึกได้ว่าเสือขาวนั้นได้มาถึงขั้นสูงสุดของระดับ 5 แล้ว เทียบเท่าได้กับมนุษย์ที่เป็นเซียนปฐพีวัฎจักรที่ 6
ด้วยพลังที่เพิ่มมากขึ้น ความเร็วในการดูดซึมทรัพยากรสวรรค์ก็เพิ่มขึ้นด้วย ตอนนี้มันสามารถกินสมบัติสวรรค์อายุหลายพันปีได้ที่ละสิบกว่าชิ้น และไม่ต้องนอนเพื่อดูดซับผลที่เกิดขึ้นเพราะยาแล้ว
“เสี่ยวไป๋ ดูเหมือนจะอีกไม่นานแล้วที่เจ้าจะผ่านระดับ 5 ไปและกลายเป็นสัตว์อสูรระดับ 6” เจี้ยนเฉินพึมพำกับเสือขาวด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“กรร…” เสือขาวที่กำลังเขมือบทรัพยากรสวรรค์ดูเหมือนจะเข้าใจที่เจี้ยนเฉินกำลังพูด และส่งเสียงร้องออกมาสองสามครั้งด้วยสายตาที่พึงพอใจ
เมื่อได้เห็นดังนั้น เจี้ยนเฉินก็ยิ้ม เสือตัวนี้คือพยัคฆ์ปีกเทวะ และความฉลาดที่มันมีนั้นหาได้ยากยิ่งในบรรดาสัตว์อสูรทั้งหลาย มันมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง ในตอนนี้ มันฉลาดเหมือนเด็กที่มีอายุประมาณ 11 ขวบแม้ว่ามันจะเพิ่งอยู่ในระดับ 5
รถม้าพุ่งผ่านถนนกว้างและมาถึงอย่างรวดเร็วที่ทางเข้าหลักของสมาคม เมื่อเจี้ยนเฉินออกมาจากรถม้า หญิงในชุดยาวสีขาวก็มาถึงตรงหน้าเจี้ยนเฉิน นางมองไปที่ตราสัญลักษณ์สีน้ำเงินของเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็วแล้วก้มโค้งให้เจี้ยนเฉิน “ท่านเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงที่เคารพ ท่านคืออาจารย์หยางยู่เทียนใช่หรือไม่ ? “
เจี้ยนเฉินสำรวจหญิงคนนั้น นางอายุประมาณ 20 ปี หน้าตาดีและค่อนข้างน่ารัก บนหน้าอกด้านขวาที่ยื่นนูนออกมาของนาง มีตราสัญลักษณ์สีส้มอยู่ซึ่งชี้ให้เห็นว่า นางเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 2
“ข้าคือหยางยู่เทียน มีอะไรหรือ ? ” เจี้ยนเฉินถามอย่างเฉยเมย
“อาจารย์หยางยู่เทียนที่เคารพ ข้าเป็นผู้ต้อนรับของผู้อาวุโสห้า ข้ามาภายใต้คำสั่งของท่านผู้อาวุโสห้าให้มารอการมาของอาจารย์หยางยู่เทียน ท่านกรุณาตามข้ามา ข้าจะพาท่านไปหาผู้อาวุโสห้า”
เจี้ยนเฉินตามหญิงสาวนั้นเข้าไปในสมาคม ครั้งนี้ เจี้ยนเฉินถูกพาไปโดยตรงยังปราสาทที่มี 3 ชั้น ก่อนที่จะถูกพาไปที่ห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงาม
ห้องนั้นใหญ่มากและเต็มไปด้วยเครื่องตกแต่งที่สิ้นเปลือง ที่กลางห้องมีเบาะที่มีชายชราผิวสีเลือดฝาดนั่งอยู่ ชายชรากำลังนั่งปิดตาและเขาดูเหมือนพระแก่ ๆ ที่หน้าอกของชายชรานั้นมีตราสัญลักษณ์สีม่วงที่ส่องแสงอยู่ซึ่งบ่งบอกว่าเขาเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7
“ท่านผู้อาวุโสห้าที่เคารพ อาจารย์หยางยู่เทียนมาถึงแล้ว” หญิงสาวก้มหัวด้วยความเคารพให้กับชายชรา
“เจ้าไปได้แล้ว ! ” ชายชราพูด
“ค่ะ ท่านผู้อาวุโสห้า ! ” หญิงสาวก้าวออกไปอย่างสุภาพก่อนที่จะปิดประตูด้านหลังนาง
“หยางยู่เทียนขอคารวะผู้อาวุโสห้า ! ” เจี้ยนเฉินป้องมือให้ชายชรา ถึงแม้น้ำเสียงของเขาจะนอบน้อม แต่เขาก็ไม่มีท่าทีที่เคารพเลย
ผู้อาวุโสห้าลืมตาช้า ๆ ในตอนที่ตาคู่นั้นเปิด ลำแสงในห้องก็ดูเหมือนจะสว่างมากขึ้นเหมือนมันมีโลกอีกโลกหนึ่งต่างหากภายในดวงตาของเขา
ในตอนที่เจี้ยนเฉินเห็นตาของท่านผู้อาวุโส เขารู้สึกเหมือนหลงทาง สายตาของผู้อาวุโสห้าเหมือนมีโลกทั้งใบอยู่และยากลึกหยั่งถึงเหมือนท้องฟ้ายามราตรี มันทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกหลงทางอย่างไม่ได้ตั้งใจเพราะมัน
อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินกลับมาได้สติอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ความประหลาดใจก็เกิดขึ้นที่แววตาของเขา และสายตาที่เขามองผู้อาวุโสห้าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะไม่ได้ตกอยู่ในภวังค์นั้นอย่างสมบูรณ์ก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ประหลาดใจอย่างพูดไม่ออกจากความสามารถของผู้อาวุโสห้า แค่สายตาก็ทำให้เกิดผลกระทบขึ้นแล้วเล็กน้อย นี้ทำให้จิตใจที่สงบของเจี้ยนเฉินเหมือนมีพายุเกิดขึ้น รู้กันอยู่แล้วว่าเขาคือเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 และยังเป็นเซียนผู้คุมกฏที่ทรงพลังผู้ที่เข้าใจความลึกลับของโลกด้วยพลังที่แข็งแกร่งโดยธรรมชาติ
ถ้าเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 หรือเซียนผู้คุมกฎคนอื่น ๆ พวกเขาคงไม่สามารถออกจากภวังค์นี้ได้โดยง่าย
การที่ได้เห็นว่าเจี้ยนเฉินกลับมาคืนสติได้อย่างรวดเร็ว แววประหลาดใจที่ดูไม่ออกก็ปรากฏขึ้นกับผู้อาวุโสห้า ความคิดเห็นที่เขามีให้กับเจี้ยนเฉินก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
“หยางยู่เทียน เจ้าคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนบนทวีปเทียนหยวนจริง ๆ เจ้ามีพลังเหนือกว่าเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเจ้า”
“ขอบคุณที่ชมข้า ! ” เจี้ยนเฉินยังคงสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ในน้ำเสียง
“ไม่เลว ไม่เย่อหยิ่งและใจร้อน เจ้าค่อนข้างที่จะแข็งแกร่งกว่าเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 คนอื่น ๆ ” ผู้อาวุโสห้าพยักหน้าอย่างช้า ๆ และพอใจกับสิ่งที่เจี้ยนเฉินทำในใจของเขา เขาพูดต่อ “หยางยู่เทียน เจ้าต้องรู้ถึงจุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่ในวันนี้ หลังจากวันนี้ไป เจ้าจะเป็นสมาชิกหลักของสมาคมและจะได้เข้าไปที่หอคอยพลังเซียนธาตุแสงเพื่อฝึกฝนทักษะธาตุแสงซึ่งถูกส่งต่อกันมาจากอดีตกาล เฉพาะสมาคมเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงของพวกเราเท่านั้นที่ได้ครอบครองทักษะธาตุแสง มันไม่ใช่อะไรที่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงธรรมดา ๆ จะได้รับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใจของเจี้ยนเฉินก็เต็มไปด้วยการรอคอยอย่างคาดหวัง เขาต้องการที่จะเห็นทักษะธาตุแสงที่มหัศจรรย์มาตั้งนานแล้ว
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสห้ายกมือขึ้นมาอย่างช้า ๆ พลังเซียนธาตุแสงรอบ ๆ ก็มารวมกันที่ฝ่ามือเขาอย่างรวดเร็วทำให้เกิดดาบสีเงินเล่มใหญ่ยาว 3 เมตรในพริบตา เขาพูด;jk “หยางยู่เทียน เจ้าเห็นนี่หรือไม่ ? นี่คือทักษะธาตุแสง มันควบรวมมาจากพลังเซียนธาตุแสงรอบ ๆ โดยการใช้วิธีพิเศษในการทำให้เป็นรูปร่างเพื่อใช้โจมตี”
เจี้ยนเฉินมองไปที่ดาบใหญ่ทันที แม้ว่าดาบนั้นจะเต็มไปด้วยพลังเซียนธาตุแสงที่อ่อนโยน แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานที่มหาศาลและเต็มไปด้วยความรุนแรง
เมื่อเจี้ยนเฉินมองไปที่ดาบ ท่าทีแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นที่ตาของผู้อาวุโสสาม คลื่นพลังที่ไม่สามารถตรวจจับได้ก็ถูกยิงออกมาจากหว่างคิ้วของเขา และตรงเข้าไปที่หว่างคิ้วของเจี้ยนเฉินด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า