เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 746: อัจฉริยะที่โดดเด่น
ตอนที่ 746: อัจฉริยะที่โดดเด่น
ในเมืองแห่งเทพเจ้า เจี้ยนเฉินถูกท่านประธานพาไปที่ห้องเงียบ ๆ ในสำนักงานใหญ่ของสมาคมเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสง ท่านประธานพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลว่า “หยางยู่เทียน เจ้าควรพักผ่อนที่นี่ เมื่อเจ้าฟื้นตัวดีแล้ว ให้มาหาอาจารย์ อาจารย์มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะพูดคุยกับเจ้า”
“ขอรับ! ท่านอาจารย์” เจี้ยนเฉินตอบกลับอย่างนอบน้อมก่อนที่จะเข้าไปในห้อง เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะในห้องและหลับตาลงอย่างช้า ๆ
ท่านประธานมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยรอยยิ้ม ในตอนนี้เอง ความประทับใจของเขาในตัวลูกศิษย์ได้พุ่งสูงมากขึ้น การต่อสู้ของเจี้ยนเฉินในคืนนี้ทำให้ประธานชื่นชอบเขามากขึ้น
ในตระกูลฮัวของแปดตระกูล หัวหน้าฮัวขังตัวเองเอาไว้ในห้องและไม่ต้องการที่จะพบใคร หลังจากที่เขาถูกพากลับมาด้วยบรรพชนของเขา
ในห้องที่หรูหรานั้น หัวหน้าฮัวนั่งครุ่นคิดอยู่บนเตียงของเขา สายตาของเขาเป็นประกายในขณะที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมา
คืนนี้บนเรือนั้น พลังที่เจี้ยนเฉินแสดงออกมานั้นได้ทำให้หัวหน้าฮัวตกตะลึงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพพลังของเทพจุติที่ทำให้พวกนักฆ่ากลายเป็นฝุ่นผงไปอย่างช้า ๆ มันตราตรึงลึกไปในจิตใจของเขาจนยากที่จะลบออกไปได้
เขาคงจะไม่ลืมสิ่งที่เขาเห็นในคืนนี้ ไม่ลืมพลังที่แข็งแกร่งของเทพจุติและไม่ลืมคนที่ร่ายมัน เจ้าหยางยู่เทียนที่อายุ 24 ปี !
“หยางยู่เทียน” หัวหน้าฮัวพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่นุ่มนวล ตาของเขาจ้องถลึง เขาพูดด้วยเสียงนุ่มนวลอีกครั้ง “หยางยู่เทียน ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะสามารถใช้กระบี่แห่งการพิพากษาหนึ่งในทักษะต้องห้ามได้เท่านั้น แต่เจ้ายังรู้ถึงทักษะต้องห้ามที่ทรงพลังที่สุด เทพจุติ และเจ้าก็ร่ายมันอย่างเสร็จสมบูรณ์ บางทีในบรรดาเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 เจ้าคงจะอยู่ในขั้นสูงสุดด้วยความแข็งแกร่งขนาดนั้น”
“แย่จริงที่เจ้าไม่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมกับตระกูลทั้งแปด เราจะกลายเป็นศัตรูกันในไม่ช้า ในการแข่งขันที่จะมีขึ้นในอีก 1 เดือนนี้ เราจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันไม่ได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เจ้าคงจะรู้ตัวในไม่ช้าว่ามันถูกบงการโดยตระกูลทั้งแปด พวกเราต้องการที่จะทดสอบเจ้า แย่ไปหน่อยที่พวกเราทั้งหมดไม่คิดว่าเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ซึ่งมันทำให้แผนการของพวกเราอยู่นอกเหนือการควบคุมไป”
“อะไรก็ช่าง ในเมื่อพวกเราเป็นศัตรูกันแล้ว ข้าก็จะทุ่มหมดตัว หยางยู่เทียน ต้องโทษตัวเจ้าเองที่เจ้าปรากฏตัวออกมาผิดเวลา” จิตสังหารเป็นประกายอยู่ในแววตาของหัวหน้าฮัว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มองไปที่ประตูและร้องเรียกด้วยเสียงทุ้ม “องครักษ์ทองคำ!”
ประตูเปิดออกและคนที่แต่งกายอยู่ในชุดเกราะสีทองก็เดินเข้ามา เขาประสานมือคำนับ “ท่านหัวหน้าฮัวต้องการสิ่งใด!”
“องครักษ์ทองคำ ไปติดต่อ 7 ตระกูลใหญ่ที่เหลือ มันมีบางอย่างที่สำคัญที่ข้าต้องการจะหารือกับพวกเขา” หัวหน้าฮัวกล่าว
“ขอรับหัวหน้าฮัว ! ” องครักษ์ในชุดเกราะทองก็ได้จากไป
..
ที่ตระกูลเสวี่ย ชายวัยกลางคนดูดี เสวี่ยหลางเค่อกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ต่ำที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ด้วยท่าทีที่มืดมน จิตสังหารปรากฏขึ้นในตาของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ในตอนนี้ ชายวัยกลางคนที่ดูร่าเริงซึ่งอยู่ในชุดม่วงได้ก้าวเข้ามาที่ห้องโถง เขาเดินตรงไปที่ขั้นบันไดและไปนั่งที่ที่นั่งตรงกลาง
“หลางเค่อ เกิดอะไรขึ้นกัน ? ทำไมเจ้าทำให้ท่านบรรพชนที่ไม่เคยออกมาจากการเก็บตัวได้ออกมากัน ? ” ชายชุดม่วงจ้องมองอย่างค่อนข้างที่จะเคร่งขรึมไปที่เสวี่ยหลางเค่อด้านล่าง
“ทั้งหมดมันเป็นเพราะหยางยู่เทียน ท่านพ่อ หยางยู่เทียนนั้นแข็งแกร่งมาก เขาได้เรียนรู้เทพจุติ ทักษะธาตุแสงที่มีแต่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 เท่านั้นที่จะร่ายมันได้ เขาจัดการคนที่ตระกูลทั้งแปดส่งไปทดสอบเขาไปจนหมดสิ้น” เสวี่ยหลางเค่อพูดด้วยเสียงนุ่มนวล
ท่าทีของชายชุดม่วงเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเขาก็อุทานออกมาด้วยเสียงทุ้ม “อะไรนะ ? เขาเรียนรู้เทพจุติ ? บางทีเขาอาจจะเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 แล้วกระมัง ? “
“เขาไม่ใช่ระดับ 7 และเทพจุติที่เขาร่ายก็ไม่ใช่เทพจุติที่แท้จริง เขาอาจจะเรียนรู้ทักษะนี้และหาวิธีการที่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 จะสามารถใช้มันได้” เสวี่ยหลางเค่อกล่าว
“ข้านึกได้ว่าเขาเพิ่งได้เข้าไปที่หอคอยพลังเซียนธาตุแสงได้เกือบ 3 เดือน มันเหลือเชื่อจริง ๆ ที่เขาสามารถมาถึงระดับนี้ได้ในเวลา 3 เดือนนี้” ชายชุดม่วงถอนหายใจออกมา
เสวี่ยหลางเค่อจ้องเขม็งไปที่ชายวัยกลางคนและพูด “ท่านพ่อ หยางยู่เทียนต้องถูกกำจัด ไม่เพียงแต่การมีอยู่ของเขาจะเป็นอุปสรรคให้พวกเราติดหนึ่งในสิบอันดับแรกเท่านั้น แต่มันยังไม่ดีกับแผนการของตระกูลซาร์อีกด้วย”
ชายชุดม่วงยังตัดสินใจไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบกลับไปทันที
“เจ้าพูดถูกแล้ว หยางยู่เทียนนี้ต้องถูกกำจัด ! ” ทันใดนั้นเอง เสียงหนักแน่นก็ดังก้องไปทั่วห้องโถง ที่กึ่งกลางของห้องโถง ชายวัยกลางคนในชุดรัดตัวได้ปรากฏขึ้นมาทันทีทันใด
ร่างของชายวัยกลางคนนั้นกำยำมาก เขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและสูงกว่าสองเมตร แขนที่เปลือยเปล่าของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ใหญ่โต ผมของเขายาวหลายนิ้ว ในขณะที่ใบหน้าเปลี่ยนของเขาแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญที่ไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้ บนหน้าผากของเขา มีรอยแผลเป็นใหญ่ ซึ่งมันทำให้เขาดูดุร้ายมากขึ้น
“ข้าขอคารวะท่านบรรพชน ! ” ชายในชุดม่วงและเสวี่ยหลางเค่อโค้งคำนับไปที่ชายร่างใหญ่พร้อมพร้อมกัน พวกเขาเคารพท่านบรรพชนนี้อย่างมาก
คนผู้นี้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดและเป็นบรรพชนที่สูงอายุที่สุดของตระกูลเซียร์ เซียนผู้คุมกฎที่ทรงพลัง !
บรรพชนยืนกอดอกอยู่ “ข้าได้รู้เรื่องเกี่ยวกับหยางยู่เทียนแล้ว เขาเป็นอัจฉริยะที่สุดยอดจริง ๆ ถ้าเขาได้เติบโตต่อไป เขาจะต้องกลายเป็นประธานของสมาคมเป็นแน่ มันน่าเสียดายจริง ๆ ที่การมีอยู่ของเขานั้นขัดกับแผนการของตระกูลซาร์”
“ท่านประธานคนปัจจุบันของสมาคมมีอายุขัยเหลือประมาณอีกร้อยปีก่อนที่เขาจะตายด้วยความแก่ชรา ถ้าปราศจากเขาแล้ว สมาคมจะอ่อนแอลง และเมื่อถึงตอนนั้น มันคงจะง่ายสำหรับตระกูลซาร์ที่จะควบคุมสมาคม แต่ในอีกร้อยปีนี้ หยางยู่เทียนจะไปถึงในระดับเดียวกันกับที่ท่านประธานมีอยู่ด้วยพรสวรรค์ของเขา ดังนั้นพวกเราจึงต้องกำจัดเขา”
“ท่านบรรพชน ตระกูลซาร์มีความคิดที่จะกำจัดหยางยู่เทียนหรือไม่ ? ” ชายในชุดม่วงถามอย่างระมัดระวัง
บรรพชนพยักหน้ารับเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ท่านบรรพชน เราต้องจัดการเรื่องนี้ทันที” ตอนนี้ ชายชุดม่วงไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย
“จำไว้ว่า เจ้าจะต้องไม่ส่งคนของเราไปฆ่าหยางยู่เทียนและเจ้าต้องไม่ทิ้งหลักฐานใดใด ตระกูลซาร์ต้องการที่จะควบคุมทั้งจักรวรรดิและกำลังจะประกาศสงครามกับอีกสองตระกูลใหญ่ ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เจ้าจะต้องไม่ไปโจมตีสมาคมที่เป็นกลางอยู่” บรรพชนพูดด้วยเสียงทุ้ม หลังจากนั้นเขาก็หายไปจากห้องโถง
ในตอนนี้เอง ยามก็รีบวิ่งเข้ามาจากข้างนอก เขาคุกเข่าลงหนึ่งข้างแล้วพูด “รายงานท่านหัวหน้าตระกูล หัวหน้าฮัวจากตระกูลฮัวได้ส่งคำเชิญให้ท่านหัวหน้าตระกูลและนายน้อยให้ไปที่ตระกูลฮัว เขามีเรื่องบางอย่างที่สำคัญที่ต้องการพูดคุย ! “
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปได้แล้ว” ชายชุดม่วงโบกมือและอนุญาตให้ยามออกไปได้
เมื่อยามจากไป สายตาของเสวี่ยหลางเค่อก็เป็นประกาย เขาพูด “หัวหน้าฮัวส่งคำเชิญเพื่อหารือเรื่องสำคัญในตอนนี้ ท่านพ่อ ข้าคิดว่ามันจะต้องเกี่ยวกับหยางยู่เทียนเป็นแน่”
ชายชุดม่วงพยักหน้ารับเล็กน้อย “เมื่อหัวหน้าฮัวส่งคำเชิญมา พวกเราก็ไปที่นั้นผ่านอุโมงลับกันเถอะ”
ในกลางดึกของคืนนี้ เมืองใหญ่นี้ช่างเงียบสงัด ถนนอันกว่างใหญ่นั้นว่างเปล่าและไม่มีผู้คนเลย
ในตอนนี้ บนพื้นที่ใต้พื้นดินลงไปร้อยเมตรข้างล่างตระกูลฮัว มีชั้นใต้ดินขนาดใหญ่ และมีคนสิบกว่าคนนั่งอยู่รอบรอบโต๊ะยาว
“ทุก ๆ คน ข้าเชิญทุกคนมาที่นี่ด้วยเรื่องอย่างหนึ่ง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่คงจะเดามันได้แล้ว ใช่แล้ว เหตุผลที่ข้าเชิญพวกเจ้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อรับมือกับหยางยู่เทียน” จิตสังหารที่รุนแรงฉายอยู่ในแววตาของหัวหน้าฮัว
“บอกตามตรง ก่อนข้าจะมาที่นี่ ข้าได้รับข้อความจากท่านบรรพชนของข้าให้ไปจัดการกับหยางยู่เทียน การคงอยู่ของหยางยู่เทียนนั้นกระทบกับแผนการของตระกูลซาร์” ชายชราในชุดสีแดงเพลิงพูด เขาคือผู้ควบคุมตระกูลเทพเจ้าแห่งไฟ
หัวหน้าฮัวยิ้มเล็กน้อย “ข้าเชื่อว่าคงจะมีพวกเจ้าสองสามคนในนี้ที่ได้รับข้อความคล้าย ๆ กับข้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มาเข้าประเด็นกันเลยและมาหารือกันว่าเราจะจัดการกับหยางยู่เทียนอย่างไรโดยไม่ใช้ไพร่พลของพวกเรา ! “
“ข้าแนะนำว่า พวกเราควรจะหาองค์กรลอบสังหารเพื่อให้จัดการกับเรื่องนี้ องค์กรลอบสังหารนั้นคุ้นเคยดีกับการลอบสังหารและเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกัน ถ้าพวกเราปล่อยให้พวกเขาจัดการ ไม่เพียงแต่โอกาสสำเร็จจะมากเท่านั้น แต่เราจะยังไม่ถูกเปิดเผยตัวตนอีกด้วย” ชายวัยกลางคนแนะนำ
“นี่เป็นความคิดที่ดี ในสามองค์กรนักฆ่าที่สุดยอดนั้น พลังหยินชั่วร้ายของนิกายดาบโลหิตนั้นแปลกและลึกลับมาก พวกเขาสามารถโน้มน้าวจิตใจของเป้าหมายใช้การไม่ได้ ต่อหน้าพลังหยินชั่วร้าย แม้แต่เซียนผู้คุมกฎก็ยังได้รับผลกระทบ ถ้าเราร้องขอให้นิกายดาบโลหิตเคลื่อนไหว บางทีแค่เซียนสวรรค์ก็อาจจะเพียงพอแล้วที่จะใช้จัดการกับหยางยู่เทียน”
“น่าเสียดายที่หลังจากการต่อสู้ระหว่างทั้งสามองค์กรเมื่อพันปีก่อน นิกายดาบโลหิตได้ถอนตัวออกจากทวีปไปแล้ว มันเหมือนกับว่าองค์กรทั้งองค์กรได้หายไปในทันใด พวกเขานั้นไม่ถูกใครพบเลยไม่ว่าจะตามหาแค่ไหน”
“เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ที่จะหานิกายดาบโลหิต ทำไมเราไม่ร้องขอไปที่องค์กรลอบสังหารที่เหลืออีก 2 องค์กรล่ะ ? หลังจากการต่อสู้เมื่อพันปีก่อน แม้ว่านิกายดาบโลหิต หอยามะและนิกายใต้พิภพจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงและหลบซ่อนตัวอยู่ แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้หอยามะและนิกายใต้พิภพได้รวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาไม่ได้ปรากฎตัวออกมามากเท่าไร และตระกูลฮัวของพวกเราก็รู้จักหลายสถานที่ที่จะติดต่อกับพวกเขาได้ ! “
“ถ้างั้นเราควรติดต่อกับคนของหอยามะและนิกายใต้พิภพไปพร้อม ๆ กันเลย พวกเราตระกูลทั้งแปดไม่ได้ขลาดแคลนทุนทรัพย์อยู่แล้ว ตราบใดที่พวกเขาทำภารกิจสำเร็จ พวกเราก็มั่นใจว่าจะสนับสนุนพวกเขาอย่างดีด้วยกำลังของเราอย่างสุดความสามารถ”
หลังจากการหารือจบแล้ว ผู้คนของตระกูลทั้งแปดก็ทยอยกลับไปทีละคนและกลับไปที่ตระกูลของตนเองผ่านทางอุโมงค์ลับ
ในที่พักหรูหราของตระกูลเจิ้ง ชายวัยกลางคนดูดี เจิ้งเจียนได้ยืนอยู่และเงยหน้าขึ้นมองไปที่ท้องฟ้าสีดำ เขาถอนหายใจลึก สถานะของเจิ้งเจียนในตระกูลเจิ้งนั้นค่อนข้างจะใหญ่โต เขารู้ดีเกี่ยวกับสิ่งที่ตระกูลทั้งแปดจะทำกับเจี้ยนเฉิน ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกหมดหนทาง ในความคิดตอนแรกของเขา เขาต้องการที่จะเป็นสหายกับเจี้ยนเฉิน และแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นสหายกัน เขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับเจี้ยนเฉิน อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ไม่คาดคิดก็มักเกิดขึ้น เขาไม่คิดว่าก่อนเลยว่าสถานการณ์ในตอนท้ายจะเลวร้ายลงถึงขั้นนี้ได้ เจี้ยนเฉินได้ยั่วยุจิตสังหารของตระกูลซาร์
“อัจฉริยะ สิ่งมหัศจรรย์ที่แท้จริง บุคคลที่มีพรสวรรค์อันหาไม่ได้อีกแล้วได้มาปรากฏตัวที่ทวีปอย่างยากเย็น และตอนนี้ชีวิตของเขากำลังจะจบลงด้วยอายุที่ยังน้อยนิด” เจิ้งเจียนถอนหายใจยาวออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย