เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 809 เกาะสามเซียน
ตอนที่ 809 เกาะสามเซียน
ในท้องฟ้าเหนือมหาสมุทรทางใต้ เจี้ยนเฉินและนูบิสได้กลมกลืนไปกับพื้นที่โดยรอบ พวกเขาใช้พลังมิติสำรวจบนท้องฟ้าเหนือมหาสมุทร พวกเขากลายเป็นภาพพร่ามัวแล้วพุ่งข้ามผ่านท้องฟ้า
ด้วยความเร็วของเรา อีกไม่นานเราควรจะไปถึงเกาะที่ผู้อาวุโสเทียนเจี้ยนบอก ในขณะที่เขาบินอยู่ เจี้ยนเฉินพึมพำกับตัวเอง แต่เสียงนั้นนูบิสได้ยินอย่างชัดเจน ทั้งสองคนยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่คฤหาสน์เจียงหยาง
ดวงตาของนูบิสวูบวาบด้วยประกายแห่งความตื่นเต้น มันกล่าวว่า แม้ว่าความทรงจำที่สืบทอดมาในหัวของข้าจักมีข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ทะเลอยู่บ้าง หลายปีมานี้เผ่าพันธุ์ทะเลได้เปลี่ยนแปลงไปอยู่เรื่อย ๆ ดังนั้นข้อมูลในความทรงจำของข้าอาจไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด ในตอนนี้เผ่าพันธุ์ทะเลไม่รู้เป็นอย่างไร ข้าต้องการหาสถานที่ที่ข้าจะสามารถซึมซับแกนพลังลับของเผ่าพันธุ์ของข้าได้โดยเร็ว ถ้าหากข้าดูดซับแกนพลังของเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 4 ได้ ความแข็งแกร่งของข้าจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างแน่นอน มันจะช่วยเพิ่มความสามารถของข้าในการปกป้องตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
พักผ่อนสักครู่ก่อน ถ้าหากเราสามารถหาทางไปถึงเกาะได้ เจ้าจักมีเวลาในการดูดซับแกนพลังได้ เจี้ยนเฉินยิ้ม ตอนนี้นูบิสเป็นแหล่งความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ของเขา ดังนั้นเป็นธรรมดา ที่มันจะแข็งแกร่งขึ้นก็ยิ่งดีสำหรับเขา
ทั้งสองเดินทางไปอีก 1 ชั่วยามบนท้องฟ้าก่อนที่จะเจอเกาะขนาดใหญ่ ท่าเรือของเกาะมีเรือใบหลายลำหลายขนาดที่แตกต่างกันซึ่งทอดเสมออยู่ มีชาวประมงหลายคนที่กำลังรีบเร่งคอยเคลื่อนย้ายสินค้าอย่างต่อเนื่อง
นี่น่าจะเป็นเกาะที่ผู้อาวุโสบอกน่ะ ไปดูกันเถอะ เจี้ยนเฉินกล่าวก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังเกาะพร้อมกับนูบิส
เกาะนั้นมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเกอซุน อย่างไรก็ตามคนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในนั้นมีเพียงไม่กี่แสนคนและพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะเองก็ยังไม่ได้รับการพัฒนา ที่ดินยังคงรกร้างว่างเปล่า มีก้อนหินสูงใหญ่ขนาดร้อยเมตรถูกฝังอยู่ในพื้นดินที่ท่าเรือและบนก้อนหินนั้นถูกแกะสลักไว้ด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่สามคำคือ เกาะสามเซียน
เจี้ยนเฉินและนูบิสร่อนลงไปในป่าทึบบนเกาะก่อนจะเดินไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ไกลมากนัก เมืองนี้เป็นเมืองเดียวของเกาะและประชากรทั้งหมดของเกาะก็อาศัยอยู่ที่นี่
ในขณะนั้นเอง เสียงกีบเท้าม้าซึ่งได้ยินราง ๆ จากระยะไกล เป็นกลุ่มคนประมาณ 100 คนบนหลังม้าพันธุ์ธรรมดาได้ห้อตะบึงมาอย่างช้า ๆ พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่าย พวกเขาแลดูสงบและไม่มีเจตนาฆ่าฟันแม้แต่น้อย ซึ่งแตกต่างจากนักสู้ในทวีปเทียนหยวน
อาเหลียง คราวนี้แหละ เมื่อเรามุ่งหน้าออกทะเลเป็นเวลา 1 เดือน เราต้องจับปลาตัวใหญ่ ๆ และออกไปไกลสุดสายตาผู้คนให้ได้ ชายวัยกลางคนที่กำลังควบขี่อยู่ข้างหน้าหัวเราะดัง ๆ น้ำเสียงของเขาฮึกเหิมมาก
พี่เว่ย ท่านพูดถูก เราจักต้องจับปลาให้ตัวใหญ่กว่านี้ เพื่อแสดงความสามารถของเราว่าอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มทหาร ชายหนุ่มอายุยี่สิบปลาย ๆ กล่าวจากด้านข้าง ๆ ชายวัยกลางคน เสียงของเขาเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา กลุ่มทหารได้จับปลาที่มีขนาดยาวกว่า 30 เมตรและทำให้เกิดการครั่นคร้ามกันในเกาะสามเซียนของเรา กลุ่มชาวประมงจำนวนมากต่างแต่ชื่นชมพวกเขา คราวนี้แหละเมื่อเราออกทะเลเป็นเวลา 1 เดือน ทุกคนต้องทำงานให้หนัก เราต้องนำปลาตัวที่ใหญ่ยิ่งกว่ากลับมาให้กลุ่มทหารเห็นและแสดงให้เห็นว่ากลุ่มธงสีฟ้าของเราเองก็มีความสามารถมากเพียงใด
…
กลุ่มหนึ่งร้อยคนส่งเสียงพูดขณะที่พวกเขาควบขี่ม้าพันธุ์ธรรมดาของพวกเขาก่อนที่จะเจอเจี้ยนเฉินและนูบิสอย่างรวดเร็ว ชุดแต่งกายแปลกประหลาดของพวกเจี้ยนเฉินจู่ ๆ ก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของกลุ่มคนทันที ทุกคนต่างมองดูพวกเขาด้วยความประหลาดใจ
กลุ่มคนหยุดห่าง 10 เมตรก่อนที่จะจ้องมองเจี้ยนเฉิน หัวหน้าชายวัยกลางคนที่ท่าทางบึกบึนกล่าวกับทั้งสองว่า โอ้ พี่น้อง มองดูสิ่งที่เจ้ากำลังสวมใส่อยู่สิ ดูท่าเจ้าคงไม่ใช่คนจากเกาะสามเซียนกระมัง ?
เจี้ยนเฉินและนูบิสทั้งสองหยุดและกราดมองกลุ่มคนทั้งหนึ่งร้อยคน นอกเหนือจากชายวัยกลางคนที่เดินนำซึ่งเป็นเซียนระดับปฐพีแล้ว ยังจะมีเซียนผู้เชี่ยวชาญและเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
เจี้ยนเฉินป้องมือไปที่ชายคนนั้นแล้วกล่าวว่า ท่านช่างมองได้ถ่องแท้นัก พวกเราสองคนไม่ใช่คนจากเกาะนี้จริง ๆ เนื่องจากท่านเพียงชำเลืองมองก็รู้แล้วว่าเราสองคนไม่ใช่คนของเกาะนี้ บางทีคงมีบุคคลภายนอกแวะมาเยือนเกาะแห่งนี้บ่อย ๆ กระมัง ?
ชายคนนั้นไม่อาจวิเคราะห์เจตนารมณ์ของเจี้ยนเฉินได้ เขาจึงกล่าวอย่างกล้าหาญว่า ข้าคือโจวเว่ย อายุมากที่สุดในกลุ่มชาวประมงธงสีฟ้า ดังนั้นทุกคนในกลุ่มจักเรียกข้าว่าพี่เว่ย เกาะสามเซียนนั้นมีคนนอกเข้ามาบ้าง แต่มีน้อยมาก ถ้าหากข้าจำได้ไม่ผิด ครั้งสุดท้ายที่มีคนมาเยือนเกาะสามเซียนของเราดูเหมือนจะเป็น 10 ปีมาก่อน โอ้ ใช่ ข้าสงสัยว่าน้องชายสองคนมีนามว่ากระไร ?
ข้ามีนามว่าเจี้ยนเฉินและคนที่อยู่ข้าง ๆ ข้าคือนูบิส เจี้ยนเฉินกล่าวง่าย ๆ เขาไม่ได้มองเหยียดหยันเซียนระดับปฐพี ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเซียนผู้คุมกฎก็ตาม
นูบิสผู้ยิ่งใหญ่ นูบิสมองตรงไปทันทีก่อนที่จะมองโจวเว่ยอย่างชั่วร้าย ร่องรอยการดูถูกเล็กปรากฏบนใบหน้าของมันและมันก็กล่าวว่า แม้แต่เจ้าเด็กน้อยเองก็ยังต้องเรียกข้าว่านูบิสผู้ยิ่งใหญ่ ? ฮึ่ม เจ้าต้องการที่จะรนหาที่ตายงั้นหรือ ? ข้าอยู่มาเกือบพันปี นั่นเกินพอที่ข้าจะเป็นปู่ของเจ้าแล้ว
นูบิส เงียบซะ อารมณ์ของเจ้ามีแต่จะทำให้สร้างปัญหา เจี้ยนเฉินหน้าบึ้งเล็กน้อยและพูดอย่างทุกข์ใจ
ฮึ่ม ข้าจะปล่อยพวกมันไปก่อน นูบิสยิ้มอย่างนุ่มนวลและกลับไปหยิ่งยโสอีกครั้ง มันจะไม่ยอมให้คนอ่อนแอขานเรียกหามันด้วยชื่อของมันโดยตรง
เจี้ยนเฉินป้องมือกับผู้คนโดยรอบเป็นเชิงขอโทษ ขอโทษด้วย อารมณ์ของพี่ชายข้าค่อนข้างแย่ ถ้าหากท่านไม่พอใจโปรดยกโทษให้ข้าด้วย
ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา มันเป็นข้าเองที่หยาบคาย ข้าลืมไปว่าเหล่าเซียนสวรรค์ต่างก็ทรงพลังมาก เจ้าคงมารับคำชี้แนะของนายหญิงแห่งเกาะสามเซียนเพื่อหวังจะสามารถไปถึงเซียนผู้คุมกฎงั้นสิ โจวเหว่ยดูเหมือนจะเข้าใจเจตนาของบุคคลภายนอกอย่างดี ขณะที่เขาพูดเขาเองชี้ไปข้างหลังแล้วกล่าวว่า เจ้าเห็นภูเขาขนาดใหญ่นั่นหรือไม่ ? นั่นคือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเกาะมันถูกเรียกว่าภูเขาสามเซียน ที่นั่นคือที่ซึ่งสามเซียนอาศัยอยู่
เจี้ยนเฉินมองไปที่ภูเขาแล้วประสานกำปั้นไปยังโจวเหว่ย เขากล่าวว่า ขอบคุณมากสำหรับข้อมูลของท่าน เรายังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่อีก ดังนั้นเราคงต้องขอการอำลาก่อน ด้วยเหตุประการฉะนี้ เจี้ยนเฉินและนูบิสจึงบินไปที่ภูเขาอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ทั้งสองเดินทางมาถึงยอดเขา พวกเขาไม่ได้ปิดบังตัวตนแต่อย่างใด ดังนั้นตราบใดที่เป็นเซียนผู้คุมกฎ ก็จะสามารถรับรู้ถึงการมาถึงของพวกเขาได้
ข้าล่ะสงสัยว่าใครกันที่มาเยือนเกาะสามเซียนของข้า ? บอกชื่อของเจ้ามา น้ำเสียงอันอ่อนโยนและน่าเริงรมย์ที่ปลายขอบฟ้าเหนือภูเขากล่าวออกมา ตามมาด้วยริ้วแสงสีขาวกระพริบสองครั้ง เป็นหญิงสาว 2 คนที่สวมชุดขาวได้ปรากฏตัวขึ้น ทั้งคู่นั้นต่างก็ถือพิณ
หญิงสาวสองคนนั้นดูอายุราว ๆ 20 ปี การปรากฏตัวของพวกนางนั้นมีความงดงามและน่าหลงใหล ซึ่งเป็นสาวงามที่หาตัวจับได้ยากในโลกใบนี้ พวกนางค่อนข้างจะเป็นคู่แข่งได้กับ โหยวเยว่ หวงหลวน คาราลี่เหว่ย และหญิงสาวที่งดงามคนอื่น ๆ อย่างไรก็ตามทั้งสองสาวข้างหน้าพวกเขาที่ประดับด้วยกลิ่นอายของท้องฟ้า แลดูเหมือนนางอัปสรสวรรค์ พวกนางมีความแตกต่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับหญิงสาวงดงามทั่วไป และสิ่งนั้นก็คือสิ่งที่หวงหลวน โหยวเยว่ขาดไป
เซียนผู้คุมกฎ !
ทันทีที่เจี้ยนเฉินเห็นหญิงสาวทั้งสองคน เขาก็ต้องตกใจเล็กน้อย สาวสองคนข้างหน้าเขาเป็นเซียนผู้คุมกฎที่มีพละกำลังอำนาจมากที่สุดในบรรดาเซียนผู้คุมกฎ
ข้าคือเจี้ยนเฉินจากทวีปเทียนหยวน ข้าต้องการพบนายหญิงแห่งเกาะนี้ มันมีเรื่องที่สำคัญมาก เจี้ยนเฉินกล่าวพร้อมกับประสานมือ แววตาของเขาหยุดชะงักบนพิณที่ถือไว้ที่หน้าอกของพวกนางอยู่ครู่หนึ่งและประกายแสงในดวงตาของเขาวูบวาบขึ้นมา เขากำลังคิดถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่
นายหญิงแห่งเกาะนี้ ในตอนนี้อยู่ในช่วงเก็บตัว นางไม่สามารถมาพบปะกับแขกเหรื่อได้ โปรดกลับมาภายหลังสัก 2-3 วันเถิด หญิงสาวอีกหนึ่งกล่าวเบา ๆ
เจี้ยนเฉินขมวดขนคิ้วขึ้น หลังจากลังเลเล็กน้อยเขาถามว่า แล้วเมื่อไหร่ที่นายหญิงแห่งเกาะออกจากการเก็บตัวหรือ ?
เราทั้งสองมิอาจล่วงรู้ได้เช่นกัน อาจไม่กี่วันหรือไม่กี่ปีหรือแม้แต่ไม่กี่ทศวรรษ หญิงสาวยังคงพูดต่อ
น่าเสียดายมาก ที่ท่านมาสายเกินไป ถ้าหากท่านมาช่วงสามเดือนก่อนหน้านี้ ท่านคงจะสามารถพบกับนายหญิงได้ หญิงสาวอีกคนกล่าว
“อ๊าก ! “
ทันใดนั้นมีเสียงอุทานที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดท่วมท้นจากถ้ำบนยอดเขา โดยตามมาด้วยเสียงก้อนหินที่ดังคะนองนับไม่ถ้วนถูกส่งมาจากถ้ำ ในขณะเดียวกันพลังของโลกที่มองไม่เห็นในสภาพแวดล้อมค่อย ๆ รวมตัวกันไปที่ถ้ำ ขณะที่ตัวตนที่ลึกสุดหยั่งถึงได้โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
มีใครบางคนกำลังตัดผ่านเข้าสู่เซียนระดับผู้คุมกฎ ! ดวงตาของเจี้ยนเฉินหรี่แคบลงทันทีและความตกใจได้ปรากฏในดวงตาที่ลึกสุดหยั่งถึงของเขา และแม้แต่นูบิสเองก็ตกใจเช่นกัน
พวกเขาทั้งสองคนนั้นเคยตัดผ่านบรรลุเซียนผู้คุมกฎมาแล้ว ดังนั้นเป็นธรรมดาที่พวกเขาจักสามารถบอกได้ว่ามีใครบางคนอยู่ในระหว่างการตัดผ่าน
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของหญิงสาวสองคนที่เป็นเซียนผู้คุมกฎก็ได้เปลี่ยนไป พวกนางโห่ร้องออกมาทันที แย่แล้ว เขาจักตื่นขึ้นอีกครั้ง เร็วเข้า ใช้เสียงของพิณ เพื่อสะกดการตื่นของเขาและทำให้เขานอนหลับลงอีกครั้ง เราไม่สามารถปล่อยให้ความลึกลับของโลกกดทับตัวเขาได้