เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 945: ร่างบรรพกาลขั้นที่ 3 (1)
ตอนที่ 945: ร่างบรรพกาลขั้นที่ 3 (1)
ท่าทีของเจียงหยาง ซู หยุนคงมืดมน เขาหันไปมองที่เมืองแห่งแรกที่ถูกสร้างมาจากทังสเตนทั้งหมดและมีสมาชิกมากกว่าแสนคน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เขาสามารถตัดผ่านไปเป็นเซียนผู้คุมกฎและกลับมาที่ทวีปได้เพราะหลานของเขาได้ทิ้งความปลอดภัยของตัวเองและเสี่ยงชีวิตของเขาเพื่อเอาหญ้าน้ำลายมังกรจากมหาสมุทรดวงดาวมา ถ้าไม่ใช่เพราะหญ้าน้ำลายมังกร เขาจะกลับมาที่ทวีปจากเกาะสามเซียนได้อย่างไร ? เขาก็คงได้แต่รอคอยอย่างเงียบ ๆ ให้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต และไม่สามารถที่จะตัดผ่านได้
ดังนั้น เจียงหยาง ซู หยุนคงจึงรู้สึกติดหนี้บุญคุณอย่างมากต่อหลานของเขา แต่ในตอนนี้ เมืองอัคนีของหลานเขากำลังจะถูกยึดไปจากบางคน ในขณะสิ่งที่เขาทำได้ทั้งหมดมีเพียงดูอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้เจียงหยาง ซู หยุนคงไปด้วยความเจ็บปวดและความเสียใจ
เมืองนี้ไม่ใช่เมืองเก่าเก่าแต่เป็นเมืองที่สร้างมาจากทังสเตนทั้งหมด ซึ่งมันมีค่ามากกว่าเหรียญม่วงเป็นสิบเท่า มันเทียบเคียงได้กับเมืองหลวงทั้งเจ็ดของทวีปทีเดียว
“คงเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ พวกเราไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของที่นี่ได้เลย” เจียงหยาง ซู อวี้หยวนพูดเบาเบา นางเต็มไปด้วยอารมณ์ เห็นได้ชัดว่านางเข้าใจความเจ็บปวดของลูกชายนาง นางก็รู้สำนึกในบุญคุณของเจี้ยนเฉินเพราะเขาทำให้ครอบครัวของนางเองได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างในตอนนี้เหนือกว่าที่พวกเขาจะช่วยอะไรได้
โหยวเยว่และไป๋เหลียนที่ยืนอยู่ข้างข้างเจียงหยาง ซู หยุนคงก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ในขณะที่น้ำตาใสใสก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ลงไปที่แก้มของพวกนาง พวกนางทั้งสองรู้ดีว่า การที่เมืองอัคนีจะถูกเอาไปนั้นเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากทุกอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
เมืองนี้เป็นสมบัติของเจี้ยนเฉิน มันเป็นงานที่เจี้ยนเฉินส่งต่อให้พวกนางทั้งสอง พวกนางได้ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาเป็นเวลาหลายปีกับเมืองนี้ และใช้ทรัพยากรที่เจี้ยนเฉินทิ้งไว้ไปเกือบทั้งหมด มันใช้คนเป็นแสนในการสร้างมันขึ้นมา แต่ทันทีที่มันเสร็จสมบูรณ์ โศกนาฏกรรมแบบนี้ก็ได้เกิดขึ้น มันทำให้ทั้งสองเจ็บปวดเป็นที่สุดและไม่อยากที่แม้แต่จะยืนอยู่
พวกนางทุ่มเทอย่างมากแต่มันก็ถูกยึดไปในท้ายที่สุด พวกนางยากที่จะทนยอมรับเรื่องนี้ได้
“เจี้ยนเฉิน ขอโทษ ข้าพลาดในเรื่องที่เจ้าคาดหวังเอาไว้ ข้าไม่สามารถรักษาเมืองอัคนีเอาไว้ได้” โหยวเยว่สะอื้นเบา ๆ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความช่วยไม่ได้และรู้สึกผิด
หวังยี่เฟิง เจ้าอ้วนน้อย ตู่กูเฟิง หยุนเจิ้ง ศิษย์พี่อัน และจอมยุทธคนอื่น ๆ ของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนี ทั้งหมดมองไปที่หญิงทั้งสอง แต่ละคนเครียดและสลดใจและไม่มีแรงที่จะสู้อีกต่อไป
เห็นได้ชัดว่า พวกเขารู้ชะตากรรมของเมืองดี
เจียงหยาง ซู หยุนคงลังเลอยู่นานก่อนที่จะถอนหายใจออกมายาว “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ แต่ข้าจะเอาคนที่เกี่ยวข้องกับเจี้ยนเฉินทั้งหมดไปด้วย” ในตอนนั้นเอง เจียงหยาง ซู หยุนคงดูเหมือนจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ไม่มีใครในทวีปเทียนหยวนที่มีพลังพอที่จะก้าวก่ายกับเรื่องนี้ เพราะว่านี่เป็นการตัดสินใจของตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบ
เจียงหยาง ซู หยุนคงโบกแขนเสื้อของเขา และยกตัวโหยวเยว่และคนอื่น ๆ ขึ้นไปในอากาศด้วยความสามารถของเขาที่เป็นเซียนผู้คุมกฎ เขายืนอยู่กับ เจียงหยาง ซู หยวนเซียวในขณะที่เขามองลงไป “ไป๋ไฮ เจียเต๋อไท พวกเรากลับไปที่ตระกูลเจียงหยางกันก่อนเถอะ”
ไป๋ไฮและเจียเต๋อไท่ลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะบินออกไปเช่นกัน พวกเขาวางแผนที่จะออกไปกับเจียงหยาง ซู
หยุนคงเพราะว่าพวกเขาเดาได้กลายกลายว่าพันธมิตรพิชิตอัคนีคงไม่ปล่อยพวกเขาเอาไว้แน่ถ้าพวกเขายังอยู่ต่อ
ไป่เจี้ยนทำท่าไม่พอใจออกมาทันทีในขณะที่เขาเห็นว่าทุกคนที่สำคัญกับเจี้ยนเฉินกำลังจะถูกพาไป เขาคำรามออกมา “รอก่อน ในฐานะที่เจ้า เจียงหยาง ซู หยุนคง เป็นสมาชิกของตระกูลเจียงหยาง เจ้าสามารถไปได้ แต่พวกเจ้าที่ไม่ใช่คนของตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบ ดังนั้นพวกเขาจะไปไม่ได้” ไป่เจี้ยนได้ทอดสายตามองไปยังคนที่เกี่ยวข้องกับเจี้ยนเฉิน และไม่ต้องการที่จะให้ใครไปไหนได้ เขาจะปล่อยให้คนพวกนี้จากไปง่าย ๆ ได้อย่างไร ?
มีเพียงเรื่องนี้อย่างเดียวเท่านั้นที่เขาจะปลดปล่อยความโกรธที่เขามีให้เจี้ยนเฉินได้
ใบหน้าของเจียงหยาง ซู หยุนคงมืดครึ้มในขณะที่แววตาของเขาเป็นประกายเย็นชา ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมา เสียงของเจียงหยาง ซู หยวนเซียวก็ดังออกมา “เมื่อไรกันที่เจ้ามีสิทธิ์ที่จะบอกว่าใครที่ตระกูลเจียงหยางจะเอาไปได้หรือไม่ได้ ? ถ้าเจ้ายังพูดมากกว่านี้ ข้าจะไม่อ่อนข้อให้เจ้าแล้วแม้ว่ามันจะเป็นการรังแกเจ้า” เจียงหยาง ซู หยวนเซียวจ้องออกไป เสียงของเขาเคร่งเครียดมากและมีความโกรธเคืองที่ยากจะปิดบังเอาไว้ได้
แม้ว่าเจียงหยาง ซู หยุนเซียวจะอยู่ที่เมืองลอร์ แต่เขาก็เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลผู้พิทักษ์เจียงหยาง ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องนี้ดี เขารู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะไป่เจี้ยนและพ่อของเขา ดังนั้นความเกลียดที่มีให้ทั้งสองคนนี้ของเขาจึงยิ่งหนักมากขึ้น
ไป่เจี้ยนหยุดพูดทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับเสียงดังของเจียงหยาง ซู หยวนเซียว และไม่ต้องการที่จะพูดมากกว่านี้ แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่ามีพ่อของเขาที่เป็นเซียนราชาสนับสนุนอยู่ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุเกียรติของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลผู้พิทักษ์
ไป่เจี้ยนเงียบ เขากำมือและแบมือหลายครั้ง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความไม่ยอม เขาไม่สามารถที่จะล้างแค้นต่อเจี้ยนเฉินได้ในตอนนี้เมื่อทุกคนถูกพาไปแบบนี้
โหยวเยว่จ้องไปที่เมืองด้านล่างทั้งน้ำตา “เมื่อเจ้าต้องการเมืองนี้ก็เอาไปเถอะ พวกเรากลุ่มทหารรับจ้างอัคนียอมแพ้”
กลุ่มทหารรับจ้างอัคนียอมแพ้เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไร การต่อต้านใดใดต่อหน้ากองทัพยิ่งใหญ่ของพันธมิตรและเซียนผู้คุมกฎยี่สิบกว่าคนคงจะเป็นการไร้ประโยชน์
“มันจะยอมแพ้กันง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร ? ฆ่า พวกเราพันธมิตร อย่าทิ้งให้ใครมีชีวิตอยู่” ไป่เจี้ยนสั่งออกไปด้วยตาแดงก่ำ เขาดูอำมหิตมาก
ทันใดนั้นเอง เสียงโห่ร้องก็ดังมาอีกครั้งจากพันธมิตรพิชิตอัคนีที่พุ่งเข้าไปที่เมืองอัคนี
“เฮ้อ” เซียนราชาจากอารามจิตพิสุทธิ์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาชี้อย่างนุ่มนวลไปที่และพลังงานธรรมชาติรอบ ๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที แล้วกำแพงที่สูงหลายร้อยเมตรและยาวกว่าสิบกิโลเมตรก็โผล่ขึ้นมา กำแพงได้กันคนของพันธมิตรพิชิตอัคนีเอาไว้ และป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปที่เมืองอัคนี
“กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีได้ยอมแพ้แล้ว ดังนั้นทำไมเจ้าถึงต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมด ? พวกเขาไม่ได้ทำบาปอะไรที่ยกโทษให้ไม่ได้ หยุดซะ” คนผู้นั้นพูดอย่างนุ่มนวลแต่เสียงของเขาก็ได้ยินไปถึงหูทุกคน เสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงบสุข และความรู้สึกใจร้อนและกระหายเลือดก็หายไปจากผู้คนด้านล่างทันที
กองทหารหยุด ก่อนที่จะถอยกลับไปหลังจากลังเลเล็กน้อย พวกเขาทั้งหมดรู้ว่าเมื่อตระกูลผู้พิทักษ์พูดออกมา แม้แต่หัวหน้าของพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง
“บ้าเอ้ย เจ้าบ้า ไม่ใช่ว่าอารามจิตพิสุทธิ์จะไม่มาก้าวก่ายเรื่องภายนอกอย่างนั้นหรือ ? ทำไมพวกเขาถึงได้มาสนใจเรื่องของคนอื่นกัน ? ” ไป่เจี้ยนสบถออกมาอย่างต่อเนื่องแต่เขาก็ไม่กล้าจะพูดออกมาเสียงดัง แม้ว่าเขาจะกล้าหาญกว่านี้อีกร้อยเท่า เขาก็ไม่กล้าที่จะสบถต่อหน้าเซียนราชาตรง ๆ
ในท้ายที่สุด เจียงหยาง ซู หยวนเซียวจากไปทางประตูมิติพร้อมกับกลุ่มคน เขาไม่ได้กลับไปที่ตระกูลผู้พิทักษ์ แต่กลับไปที่ตระกูลเจียงหยางที่เมืองลอร์แทน
ในขณะเดียวกัน สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีก็ออกไปจากเมืองอย่างคอตก คนจำนวนหนึ่งที่ยังอยู่วางแผนที่จะเดินทางไปไกลแสนกิโลเมตรเพื่อที่จะไปที่อาณาจักรเกอซุน ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็ออกจากกลุ่มทหารรับจ้างและหนีไปทุกทิศทุกทาง หลังจากนี้ไป กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีคงจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้ว่าพวกเขายังไม่ได้ยุบกลุ่ม แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ห่างไกลจากแต่ก่อนมาก
เมืองอัคนีถูกยึดไปโดยพันธมิตรพิชิตอัคนีและถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเมืองพิชิตอัคนี มันกลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงซึ่งเทียบเท่ากับเมืองหลวงทั้งเจ็ดของทวีป
แท้ว่าไป่เจี้ยนจะทำให้กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีแตกกระจายไป แต่เขาก็ไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย เพราะเขายังไม่ได้ฆ่าคนสำคัญของเจี้ยนเฉินไปแม้แต่คนเดียว พวกนั้นถูกพาไปโดยผู้อาวุโสสูงสุดของเมืองทหารรับจ้างและผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเจียงหยาง
ในไม่ช้า เรื่องการต่อสู้ที่เมืองอัคนีก็กระจายไปทั่วทั้งทวีปเหมือนพายุ และทำให้ทั่วทั้งทวีปตกอยู่ในความโกลาหลใหญ่ แม้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างอัคนีจะพ่ายแพ้ในตอนสุดท้าย แต่ชื่อเสียงของพวกเขาก็ยิ่งโด่งดังมากขึ้น มากกว่าพันธมิตรพิชิตอัคนีที่ยึดเมืองไป
นี่เป็นเพราะกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีเป็นทหารรับจ้างกลุ่มแรกที่ทำให้ตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบต้องออกมาปรากฏตัว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งทวีป
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชายป่าของเทือกเขาครอส ชายชรานั่งหลับตาอยู่ที่เตียง เขาดูเหมือนพระชรา
เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ และถอนหายใจออกมาเบาเบา “ไม่เป็นไรถ้ามันถูกยึดไป มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องแย่ เจ้าอ้วนน้อยน่าจะเข้าใจถึงความสำคัญของความแข็งแกร่งหลังจากนี้ ถ้าเขาต้องการที่จะปกป้องบ้านเกิดและครอบครัวของเขาบนทวีปเทียนหยวน เขาจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม เขาจำเป็นต้องแข็งแกร่งจนไม่มีใครกล้าที่จะมายั่วยุเขา”
“เจี้ยนเฉินอยู่ในอาณาจักรทะเลในตอนนี้ ข้าอยากรู้ว่าความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้นั้นมีขนาดไหน เขาจำเป็นต้องจัดการกับเรื่องของเมืองอัคนีด้วยตัวเอง ข้าหวังว่าข้าคงจะไม่ต้องรอนานนักจนถึงวันที่เขาได้ความแข็งแกร่งที่เขาจะสามารถสู้กับตระกูลผู้พิทักษ์ได้”
“ผักกวางตุ้งใกล้จะหมดแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องปลูกเพิ่มแล้ว…”
ชายชราพึมพำออกมาในขณะที่เขาเดินออกไปพร้อมทั้งไถที่อยู่บนบ่าของเขา เขาเอามันมาจากมุมของห้อง
..
ในพริบตาเดียว สี่ปีก็ผ่านไป หอคอยสีทองขนาดเท่ากำปั้นลอยอยู่กลางอากาศในโถงศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินทั้งแปดในขณะที่เปล่งประกายไปด้วยแสงสีทองอ่อน ๆ
เจี้ยนเฉินกำลังนั่งอยู่ที่กลางโถงใหญ่ภายในมิติของวัตถุเซียน จิตวิญญาณกระบี่ม่วงฟ้าอยู่เหนือหัวของเขา พวกเขาสกัดแกนอสูรและผลึกศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่สุดอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเจี้ยนเฉินก็ดูดซับมันไป
แกนอสูร เหรียญผลึกชั้นยอด และผลึกศักดิ์สิทธิ์กองเท่าภูเขาได้หายไปรอบ ๆ เขา พวกมันทั้งหมดถูกสกัดไปเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นพลังบรรพกาลที่ทรงพลัง
ปราณบรรพกาลของเจี้ยนเฉินได้โคจรรอบ ๆ ตันเถียนของเขา สายพลังบรรพกาลได้ขดตัวอยู่รอบเม็ดพลังของเขา ในขณะที่เม็ดพลังของเขาได้มีขนาดเท่ากำปั้นของผู้ใหญ่แล้ว
ในตอนที่แกนอสูรอันสุดท้ายถูกสกัดไป เจี้ยนเฉินก็ลืมตาขึ้นช้า ๆ เขาเผยความยินดีออกมาที่เขายากจะปิดบังเอาไว้ได้ในขณะที่เขาพึมพำออกมา “อีกขั้นตอนสุดท้ายขั้นเดียวเท่านั้นแล้วร่างบรรพกาลของข้าก็จะถึงขั้นที่ 3” เขาโบกมือ แล้วผลึกศักดิ์สิทธิ์สูง 10 เมตรก็ออกมาจากแหวนของเขา และหล่นลงอย่างแรงที่โถงว่างเปล่าพร้อมเสียงระเบิด
ผลึกเป็นบัลลังก์ที่เจี้ยนเฉินได้มาจากชั้นแรกของโถง
เจี้ยนเฉินกระโจนอย่างปราดเปรียวไปบนบัลลังก์และนั่งขัดสมาธิลงไป เขาเริ่มที่จะสกัดมัน