เทพสงครามพิทักษ์โลก - บทที่ 52
“สวัสดีท่านประธาน”
ในตอนนั้นเอง พนักงานกว่าพันคนของเย่ซื่อกรุ๊ปต่างเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านอบน้อมเช่นกัน
ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่ไม่ได้รับความสำคัญมากที่สุดอย่างเย่ไห่ สุดท้ายจะกลายเป็นประธานเย่ซื่อกรุ๊ปคนใหม่
“หยางเฟิง เรื่องทั้งหมดเป็นความจริงเหรอ”
เย่ไห่ยังตั้งสติไม่ได้ เขามองไปที่หยางเฟิงแล้วถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หยางเฟิงยิ้มพลางกล่าวว่า “พ่อครับ เรื่องนี้เป็นความจริง หลังจากที่หม่าตงไม่ยอมรับเย่ซื่อกรุ๊ปแล้วก็ยกเย่ซื่อกรุ๊ปให้ผม ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพ่อก็เป็นประธานคนใหม่ของเย่ซื่อกรุ๊ปแล้วครับ”
“แต่พ่อจะเป็นได้จริงรึ”
เย่ไห่กล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หยางเฟิงตบไหล่ของเย่ไห่แล้วกล่าวว่า “พ่อครับ เชื่อมั่นในตัวเองหน่อย พ่อต้องทำได้แน่ หรือว่าพ่อจะอยู่แบบไร้ประโยชน์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ”
เย่ไห่สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะกล่าวออกมาว่า “หยางเฟิง ลูกพูดถูก พ่อจะลองดู”
เย่เมิ่งเหยียนถามออกมาด้วยสีหน้าแห่งการคาดหวัง “หยางเฟิง แล้วฉันล่ะคะ”
หยางเฟิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าภรรยาของผมก็ต้องเป็นกรรมการผู้จัดการของเย่ซื่อกรุ๊ปไงล่ะ”
สีหน้าของเย่เมิ่งเหยียนเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเมื่อได้ยินเช่นนี้
“หยางเฟิง แล้วแม่ล่ะ”
หลันซินรีบร้อนถามอย่างตื่นเต้น
หยางเฟิงมองไปที่หลันซินแล้วตอบว่า “แม่ แม่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่บ้าน ผมว่าแม่อย่าหาเรื่องดีกว่าน่า”
“แม่……”
หลันซินเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
หลันซินกัดฟันแล้วกล่าวว่า “หยางเฟิง แกจะเอาอย่างนี้ใช่ไหม แม่จะไม่ยอมแกแน่”
เมื่อเห็นหลันซินโมโห หยางเฟิงกลับยิ้มออกมา “แม่อย่าเพิ่งใจร้อนสิครับ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้มีความรับผิดชอบอะไรที่เย่ซื่อกรุ๊ปแห่งนี้ แต่แม่เป็นผู้จัดการใหญ่ของบ้านเรา ต่อไปพวกเราทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของแม่นะ แม่ว่าดีไหมล่ะ”
“เชอะ!”
หลันซินแค่นเสียงพูดออกมา “ก็พอได้!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เย่เมิ่งเหยียนและคนอื่นๆ ต่างพากันกลั้นขำ
เมื่อหลันซินเห็นแบบนั้น จึงเริ่มรู้สึกตัว
ผู้จัดการบ้านก็ไม่ต่างอะไรกับขันทีนี่นา?
ที่แท้ไอ้เด็กกวนประสาทหยางเฟิงนี่แอบด่าเธอว่าเป็นขันทีอย่างอ้อมๆ นี่เอง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของหลันซินก็เริ่มหมองคล้ำลง
หยางเฟิงหันไปพูดกับเย่ไห่และเย่เมิ่งเหยียนว่า “พ่อครับ ที่รักครับ ผมตั้งใจว่าจะเปลี่ยนชื่อเย่ซื่อกรุ๊ปเป็นเฟิงเมิ่งกรุ๊ป คิดว่าดีไหมครับ”
หยางเฟิง?
เย่เมิ่งเหยียน?
เฟิงเมิ่งกรุ๊ป?
เมื่อสรุปได้ดังนี้ หัวใจของเย่เมิ่งเหยียนจึงเต้นระรัวขึ้นมา
“ที่รัก เฟิงเมิ่งกรุ๊ปหมายความว่ายังไงคะ”
เย่เมิ่งเหยียนกล่าวถามอย่างคาดหวัง
หยางเฟิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าเอาชื่อของพวกเราสองคนมารวมกัน กลายเป็นเฟิงเมิ่งกรุ๊ปไง”
เมื่อได้ยินดังนี้ แววตาของเย่เมิ่งเหยียนก็เริ่มเกิดประกายอ่อนโยนราวสายน้ำ
ราวกับว่าเพียงมองไปที่เธอ ร่างทั้งร่างก็พร้อมที่จะละลายเข้าไปในนั้น
เฮอะ!
เมื่อเห็นกลิ่นอายความรักเช่นนี้ หลันซินก็ได้แต่ถอนใจอย่างไม่สบอารมณ์
เย่ไห่หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ฮ่าๆๆ ชื่อว่าอะไรก็ได้ พ่อไม่ว่าอะไรทั้งนั้น”
“ดีครับ อย่างนั้นพวกเราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่า”
หลังจากนั้น หยางเฟิงและคนอื่นๆ ต่างพากันเดินเข้าไปด้านในเฟิงเมิ่งกรุ๊ป
……
ในเวลาเดียวกันนั้น
บนตึกสูงใหญ่ที่อยู่ห่างจากเฟิงเมิ่งกรุ๊ปไปไม่เกินร้อยกว่าเมตร
“ขอบใจหลานชายมากนะ ไม่อย่างนั้นแล้วตระกูลเย่ของพวกเราไม่มีทางกลับมาอีกครั้งได้แน่”
เย่กวงกล่าวด้วยสีหน้าเอาอกเอาใจ
เมื่อได้เงินสนับสนุนพันล้านจากเย่ลั่ว ทำให้เย่ซื่อกรุ๊ปกลับมาก่อตั้งได้ใหม่อีกครั้ง
เมื่อโดนเย่กวงชมเชยแบบนี้ เย่ลั่วจึงยิ้มออกมาอย่างได้ใจ “นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น รอให้ผมได้โครงการของนิคมอุตสาหกรรมก่อนเถอะ ตอนนั้นผมจะทำให้เย่ซื่อกรุ๊ปกลายเป็นอันดับหนึ่งของตงไห่ให้ได้”
“จริงสิหลานชาย อารับผิดชอบอะไรในเย่ซื่อกรุ๊ปเหรอ”
เย่กวงถามอย่างร้อนใจ
“หึๆ”
เย่ลั่วหัวเราะแล้วตอบว่า คุณอาครับ แน่นอนว่าคุณอาต้องเป็นกรรมการผู้จัดการของเย่ซื่อกรุ๊ปอยู่แล้ว วันหน้าเย่ซื่อกรุ๊ปต้องพึ่งพาคุณอามากอย่างแน่นอน”
“ขอบใจมากหลานชาย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเย่กวงก็เบิกบานขึ้นมา
เย่ซิวกล่าวถามอย่างร้อนใจ “พี่ครับ แล้วผมล่ะ”