เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 108 ประหมัดกับชางหลาง
“ผมพูดจริง ผมไม่สนใจไปพบหยางอี้อะไรนั่นหรอก ตอนนี้ผมอยากกลับบ้านไปกินบะหมี่ผัดซอสที่แม่ทำสักจานแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองชางหลาง พูดด้วยท่าทางจริงใจ
“วันนี้นายจะต้องไปกับฉัน เรื่องนี้นายไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ”
ชางหลางย่อมไม่ปล่อยเย่เทียนเฉินไปแน่ หยางอี้ต้องการพบเขา หากชางหลางไม่มีปัญญาพาเย่เทียนเฉินไปพบก็จะมีปัญหา ไม่ใช่เรื่องเสียหน้า แต่จะเป็นปัญหาเรื่องการปฏิบัติตามคำสั่ง
เย่เทียนเฉินคนนี้ช่างน่าตลกจริงๆ หยางอี้เป็นคนระดับไหน? สำหรับทั่วทั้งประเทศแล้ว นับเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ไม่ทราบว่ามีกี่คนที่อยากจะพบแต่ไม่ได้พบ ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นกลับกัน หยางอี้ต้องการพบเขา แต่เขากลับไม่อยากพบ ความเอาแน่เอานอนไม่ได้นี่มันจะมีมากเกินไปรึเปล่า?
“นี่ คุณอย่ามาตื้อเลยน่า ผมไม่เอาด้วยหรอก คุณตอบรับว่าจะช่วยผมเรื่องนั้น ส่วนผมก็ช่วยคุณไปทำภารกิจที่ประเทศMให้สำเร็จ พวกเราสองคนไม่ติดค้างอะไรกันแล้ว ถ้าคุณยังจะจับผมอีกก็อย่ามาหาว่าผมไม่เกรงใจ” เย่เทียนเฉินมองชางหลางแวบหนึ่ง พูดออกมาอย่างไม่พอใจนัก
“ไม่เกรงใจ? ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่านายจะไม่เกรงใจกันขนาดไหน!” ชางหลางยกยิ้มเย็นชา จ้องเขม็งไปยังดวงตาเย่เทียนเฉินพลางเอ่ย
มันคือความกระหายการต่อสู้ เย่เทียนเฉินเห็นได้ถึงความกระหายการต่อสู้ในสายตาของชางหลาง เขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ในที่สุดคุณก็ทนไมไหว อยากจะสู้กับผมแล้วใช่ไหม?”
เย่เทียนเฉินตอบรับชางหลาง หลังจากช่วยเขาคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยไปยังประเทศMเพื่อปฏิบัติภารกิจแลกเปลี่ยนข้อมูลลับจนสำเร็จ และกลับมาถึงประเทศ เขาก็ต้องการให้ชางหลางต่อสู้กับเขาอย่างสุดกำลังสักครั้ง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าชางหลางจะมีความคิดที่จะต่อสู้กับตนเองเร็วขนาดนี้ หนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนเกิดความกระหายการต่อสู้ ช่างทำให้ผู้คนหวาดหวั่นเหลือเกิน มีความน่าเกรงขามที่ไม่อาจดูหมิ่นได้
“ไปพบท่านหยางกับฉันก่อน แล้วฉันจะสู้กับนาย และจะทำให้นายแพ้อย่างราบคาบ!” ชางหลางเอ่ย มองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจัง
เห็นท่าทางเอ้อระเหยลอยชายอย่างเสมอต้นเสมอปลายของเย่เทียนเฉินคนนี้ กระทั่งกล้าไม่ไปพบหยางอี้ ชางหลางก็โกรธเข้าแล้วจริงๆ เขาเป็นลูกน้องของหยางอี้ หากว่าเรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอาหรือ?
สิ่งที่ทำให้ชางหลางไม่พอใจเป็นอย่างมากก็คือ เย่เทียนเฉินเคยเป็นทหารหน่วยรบพิเศษมาก่อน ในตอนนั้นก็ยังได้รับปลดประจำการจากลูกน้องของเขา ถึงอย่างไรตนเองก็นับว่าเป็นผู้บังคัญบัญชาเก่า นี่ถึงกับไม่ไว้หน้าตนเลยสักนิด อดีตทหารหน่วยรบพิเศษคนหนึ่ง ตอนนี้กลับไร้สังกัดไร้กฏเกณฑ์ ทำให้ชางหลางนายทหารเก่าแก่คนนี้ทนมองไม่ได้จริงๆ
“แพ้? ผมเอาหนังสือให้คุณเล่มหนึ่งก่อนดีกว่า…” เย่เทียนเฉินส่งนิตยาสารเล่มหนึ่งให้ชางหลาง เอ่ยด้วยยิ้มยั่วเย้า
ผัวะ!
ชางหลางต่อยไปยังบริเวณศีรษะของเย่เทียนเฉิน คนคนนี้จะทำเป็นเล่นมากไปแล้ว ไม่ให้ความสำคัญต่อการไปพบท่านหยางเลยสักนิด ชางหลางอดกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป รับไม่ได้โดยสิ้นเชิง จึงได้ลงมือเพื่อต้องการสั่งสอนเย่เทียนเฉิน
ตู้ม!
เย่เทียนเฉินไม่ได้เอี้ยวตัวหลบ เขาอยากจะสู้กับชางหลางมานานแล้ว จึงได้ต่อยออกไปปะทะหมัดหนึ่ง ทั้งสองถอยหลังกันไปคนละสามก้าว มองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ
คนหนึ่งคือผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าจากช่วงสิ้นโลกมาเกิดใหม่ ซึ่งขอบเขตพลังพิเศษในตอนนี้ได้ไปถึงระดับจอมราชันแล้ว อีกคนหนึ่งก็เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน หลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครควรค่าแก่การลงมือของเขา ครั้งนี้ชางหลางรับไม่ได้แล้วจริงๆ และอยากจะจับตัวเย่เทียนเฉินไปพบหยางอี้ให้ได้ มิฉะนั้นคงยังไม่ลงมือ ซึ่งสาเหตุที่เขาไม่ลงมือมีอย่างน้อยสองข้อ ข้อแรก ไม่มีคนที่ควรค่าให้เขาลงมือ ไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่คู่ควรในการลงมือ ข้อที่สอง ชางหลางได้เข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหารนานแล้ว หากยังลงมืออีกก็ไม่เหมาะสมกับฐานะของเขา
สิ่งที่ทำให้ชางหลางคิดไม่ถึงก็คือ ตนเองต่อยออกไปหมัดหนึ่ง เย่เทียนเฉินถึงกับไม่หลบแถมยังต่อยหมัดมาปะทะกับหมัดของตนเอง จนทั้งคู่ถูกแรงกระแทกกระเด็นออกไป จากการคาดการณ์ของชางหลาง ตนเองปล่อยหมัดออกไป ต่อให้เย่เทียนเฉินหลบได้ก็คงไม่กล้าปะทะกับตน หรือหากว่ากล้าปะทะ มือของเขาจะต้องหักอย่างแน่นอน
ไม่ใช่ว่าชางหลางจะอวดดี ยอดฝีมือที่มาถึงระดับเช่นเขา โดยปกติย่อมไม่มีทางไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา จะมีท่าทีอยู่เพียงสองอย่างก์คือ ถ้าไม่รับมือคู่ต่อสู้อย่างจริงจัง ก็ดูถูกคู่ต่อสู้อย่างถึงที่สุด เพียงแต่ชางหลางมีฐานะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน ทั้งยังเป็นสามราชันนักรบผู้เลื่องชื่อว่าเป็น “หมัดเหล็ก” ทั่วทั้งจีนมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าปะทะกำปั้นกับเขา
ชางหลางรู้ดีว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แต่เขากลับไม่คาดคิดว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขั้นสามารถปะทะหมัดกับเขาได้ ดูท่าตนเองจะดูเบาเจ้าหนุ่มคนนี้เกินไปจริงๆ
ส่วนเย่เทียนเฉินเองก็มองชางหลางอย่างแปลกใจ เขารู้สึกว่ามือขวาของตนชามาก ชาจนเจ็บ เจ็บยิ่งกว่าตอนสู้กับซิลลี่ผู้มีฉายาว่า “ราชันแห่งความโหดเหี้ยม” ที่เมืองชีคเสียอีก ไม่เสียทีที่ชางหลางเป็นถึงหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน สมคำร่ำลือจริงๆ
สามราชันนักรบแห่งประเทศจีนมีชื่อเสียงโด่งดังมากในระดับนานาชาติ ดังนั้นตอนที่เย่เทียนเฉินก่อเรื่องที่วอชิงตัน ฝ่ายต่างๆ ของประเทศMต่างก็เดาว่า เป็นไปได้ไหมว่าหนึ่งในสามนักรบราชันแห่งประเทศจีนมาถึงแล้ว แม้ว่าในหมู่สามราชันนักรบจะไม่มียอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งอะไรอยู่เลยก็ตาม แต่สำหรับชางหลางและเหยียนหลง พวกเขาเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ กระทั่งได้เป็นถึงระดับปรมาจารย์แห่งยุคไปแล้ว ซึ่งพลังภายในอันแข็งกร้าวก็คือจุดเด่นของชางหลาง ดังนั้นเย่เทียนเฉินสามารถประหมัดกับเขาได้ เขาถึงได้ประหลาดใจเช่นนั้น
“กำปั้นแข็งจริงๆ มาต่อกันสักหลายกระบวนหน่อยเป็นไง?” เลือดนักสู้ในกายเย่เทียนเฉินเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว เขากล่ามถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
แต่ตอนนี้เอง ชางหลางกลับหยุดลง สองมือไขว้ไว้ด้านหลัง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ไปหาท่านหยางกับฉันซะ แล้วรับรองว่าฉันจะอัดนายให้เละเลย”
“ได้ ตกลงตามนั้น!”
คราวนี้ เย่เทียนเฉินรับคำชางหลางด้วยความชื่นมื่นเป็นอย่างยิ่ง ขึ้นไปนั่งบนรถจี๊ปทหารที่ชางหลางขับมา เขาอยากจะสู้กับชางหลางมากจริงๆ อยากทดสอบความสามารถของหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนที่ร่ำลือ จากหมัดเมื่อครู่ เขาพอจะประเมินได้ว่า ฝีมือของชางหลางเหนือกว่าซิลลี่มาก กระทั่งอาจจะพอๆ กับโทมัส หากตนอยากจะเอาชนะชางหลาง คงเป็นเรื่องยาก
ตอนที่สู้กับโทมัสซึ่งเป็นผู้มีพลังพิเศษสายวารีที่แข็งแกร่ง หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาได้ เกรงว่าตอนนี้คงตายไปแล้ว เช่นเดียวกัน หากเย่เทียนเฉินต้องการฆ่าโทมัส ต่อให้ไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก ด้วยขอบเขตพลังพิเศษระดับจอมราชันของเขาในตอนนี้ การที่จะจำกัดโทมัสอย่างสบายๆ นั้นเป็นไปไม่ได้เลย ขอบเขตพลังพิเศษของโทมัสเองก็เป็นไปได้มากว่าจะอยู่ราวๆ ระดับจอมราชัน
เย่เทียนเฉินนั่งอยู่ในรถ ถือโคล่ากระป๋องหนึ่งและขนมปังอีกก้อนหนึ่ง กินดื่มเข้าไปคำใหญ่ ชางหลางที่ขับรถอยู่เห็นดังนั้นก็รู้สึกอับจนคำพูด รถจี๊ปทหารขับร่อนอยู่ภายในเขตเมืองของเมืองปักกิ่ง เย่เทียนเฉินก็ยังสามารถหาความสุขได้ มีชางหลางผู้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนมาขับรถให้เขา แล้วยังกินขนมปังดื่มโคล่าในรถอีก ถ้าไม่ใช่เพราะท่านหยางพูดเองกับปากว่าอยากจะพบเย่เทียนเฉิน ชางหลางจะมารับเจ้าหมอนี่ได้อย่างไรกัน
“ฉันขอเตือนนายไว้ก่อน อีกสักครู่พอพบท่านหยาง ก็ทำตัวดีๆ ให้ฉันสักหน่อย อย่าทำเป็นเล่นไป” ชางหลางพูด มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างจริงจัง
“นี่มันเรื่องของผม ก่อนหน้านี้คุณก็ทำหน้าที่ขับรถของคุณไปดีๆ ส่วนหลังจากนี้ก็แสดงพลังในการต่อสู้ของคุณมาสู้กับผมให้เต็มที่ ให้ผมได้เปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะว่า หนึ่งในสามนักรบราชันแห่งประเทศจีนจะแน่สักแค่ไหน!” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองชางหลางอย่างไม่ใส่ใจนัก
“กลัวก็แต่ว่าไอ้หนูอย่างนายจะเปิดหูเปิดตาไม่ไหว เพิ่งกลับประเทศก็ถูกอัดเละเป็นโจ๊ก กลับไปหาพ่อแม่แบบนี้คงไม่ค่อยดีหรอกมั้ง?” ชางหลางพูดด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม
“กลัวอะไร อย่าพูดเรื่องถูกอัดเละโจ๊กเลย ต่อให้พี่ชายเละเป็นโจ๊ก ก็หล่อกว่าคุณอยู่ดี!” เย่เทียนเฉินกล่าว มองชางหลางอย่างเอือมระอา
ความจริงแล้วชางหลางไม่ใช่คนพูดมาก ตอนที่อยู่ในกองทัพและตอนทำงานจะเคร่งครึมจริงจังเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นตอนที่ใช้ชีวิตตามปกติก็พูดจาน้อยมาก เพียงแต่เย่เทียนเฉินทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ ตอนที่อยู่ในกองทัพ เถี่ยฉุยบอกว่าคนคนนี้แข็งแกร่งมาก หานเจี๋ยก็บอกว่าเย่เทียนเฉินคนเดียวฆ่าล้างสมาชิกระดับหัวกะทิทั้งหมดของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ซึ่งตอนนั้นทำให้ชางหลางรู้สึกเหลือเชื่อมาก
อีกทั้งหลังจากที่พวกหลิ่วหรูเหมยกลับถึงประเทศก็ได้รายงานท่านหยางเกี่ยวกับเรื่องการไปแลกเปลี่ยนข้อมูลลับที่ประเทศMในครั้งนี้ทันที ชางหลางเองก็ทราบแล้ว ตั้งแต่ลงจากเฮลิคอปเตอร์ที่ชานเมืองวอชิงตันจนกระทั่งพวกหลิ่วหรูเหมยทำภารกิจสำเร็จกลับประเทศ เย่เทียนเฉินยังคงก่อเรื่องใหญ่โตที่วอชิงตันต่อไป มุ่งหน้าไปยังทำเนียบขาวเพื่อจะให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าวเขา เรื่องทั้งหมดนี้ หลิ่วหรูเหมยรายงานแก่หยางอี้อย่างละเอียดทั้งหมด
เย่เทียนเฉินทำลายกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตด้วยตัวคนเดียว กระทั่งฆ่าคนของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศMไปเก้าคน ฆ่าซิลลี่ที่เป็นรองหัวหน้า แล้วยังไปก่อเรื่องที่ทำเนียบขาว ไม่ว่าเรื่องใดในนี้ถูกพูดออกไป จะต้องช็อคโลกแน่นอน ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงพลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาของเย่เทียนเฉินอีกด้วย นี่ทำให้ชางหลางอยากจะทดสอบดูสักหน่อยว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าทางหลวงของเมืองหลวงรถติดมาก หนึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉินเกือบจะหลับอยู่แล้ว เพิ่งจะถึงสถานที่ทำงานของหยางอี้ เย่เทียนเฉินลงรถ มองไปยังอาคารสามชั้นเบื้องหน้า มันไม่ได้เป็นตึกที่หรูหรามากนัก ด้านหน้าสุดมีทหารถือปืนยืนอยู่สี่คน รอบๆ อาคารมีทหารสวมชุดลายพรางอยู่ สิ่งแรกที่เย่เทียนเฉินตัดสินทหารเหล่านี้ก็คือ ยอดฝีมือ ทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง
“เดินสิ มัวมองอะไรอยู่? กลัวรึไง?” ชางหลางเห็นว่าเย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“เปล่า ผมแค่กำลังคิดว่า การป้องกันหละหลวมขนาดนี้ ถ้าหากว่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งหลายคนจากฝั่งประเทศMมา ที่นี่คงปกป้องไว้ไม่ได้ การทำงานของพวกคุณทำให้วางใจไม่ได้เลย!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง ท่าทางราวกับกำลังตำหนิพวกชางหลาง
“ไอ้หนู…นายรอฉันก่อน รอออกมาก่อน ฉันจะซัดนายให้ตาเขียวเลย!”
ชางหลางโกรธจนทนไม่ไหว ไร้ซึ่งคำพูดกับเย่เทียนเฉินโดยสิ้นเชิง เดินนำหน้าเข้าไปในตึกโดยไม่สนใจเขาอีกต่อไป
………………………………………………