เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 109 ผมเป็นคนที่มีผลงานนะ!
เย่เทียนเฉินแบกกระเป๋าเป้ของตนเดินตามหลังชางหลางไป ไหนเลยจะรู้ว่าชางหลางเดินเข้าไปได้อย่างราบรื่น แต่เขากลับถูกทหารถือปืนสองคนขวางเอาไว้
“ตามกฎข้อบังคับ ไม่อนุญาตให้นำสิ่งของใดๆ เข้าไป กรุณาวางกระเป๋าลงด้วยครับ ยกมือทั้งสองขึ้นด้วย พวกเราจะทำการค้นตัว!” ทหารคนหนึ่งที่ถือปืนกลอยู่ในมือมองเย่เทียนเฉินและกล่าวอย่างสำรวม
“ค้นตัว? ถ้าถูกพวกคุณรู้เข้าว่าผมไม่ใส่กางเกงในจะทำยังไงล่ะ? ไม่เอาด้วยหรอก!” เย่เทียนเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า
“ขอให้คุณปฏิบัติตามด้วยครับ ไม่งั้นพวกเราคงให้คุณเข้าไปไม่ได้” ทหารอีกคนหนึ่งมองเย่เทียนเฉินเขม็งแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินมองนายทหารถือปืนทั้งสองคนแวบหนึ่ง เขาไม่ได้อยากจะทำให้พวกเขาลำบากใจ แต่ว่าในกระเป๋าเป้ใบนี้มีของฝากสำหรับพ่อแม่ที่นำกลับมาจากประเทศMอยู่ หากว่าหายไปหรือเสียหายขึ้นมา เย่เทียนเฉินจะต้องปวดใจมาก ดังนั้นเขาไม่ยอมวางกระเป๋าลงแน่ ส่วนเรื่องที่ให้เขายกมือทั้งสองขึ้นและยอมรับการตรวจค้นนั้น เย่เทียนเฉินยิ่งไม่มีทางทำท่าทางที่ดูเหมือนการยอมแพ้เช่นนี้ออกมาแน่
ชายผู้มีจิตใจแข็งแกร่ง ซื่อตรงไม่เกรงกลัว นี่คือนิสัยและคำพรรณาของเย่เทียนเฉินในช่วงสิ้นโลก ต่อให้อยู่ในช่วงสิ้นโลก ในช่วงที่เย่เทียนเฉินยังคงอ่อนแออยู่ เมื่อเจอกับยอดฝีมือที่มีความสามารถแกร่งกร้าวเหี้ยมหาญยิ่งกว่าเขา เขาก็สู้สุดชีวิต หาหนทางมีชีวิตต่อไปให้ได้ นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าได้อย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่ผ่านประสบการณ์ต่อสู้เป็นตาย จะยิ่งทำให้เขามีความรู้ลึกล้ำในเคล็ดวิชาพลังพิเศษมากขึ้น มีความเข้าใจมากขึ้น
“นี่ ชางหลาง ไม่เห็นเหรอครับว่าทหารของคุณไม่ยอมให้ผมเข้าไป? ทำไมคุณยังไม่คิดหาวิธีอีกล่ะ?” เย่เทียนเฉินตะโกนบอกกับชางหลางที่เดินอยู่ข้างหน้า
ชางหลางหันมามองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง ตอนนี้เขาโกรธขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ ตัดสินใจแน่แล้วว่าหลังจากที่เย่เทียนเฉินเข้าพบรองประธานหยางอี้แล้ว จะลงมือเต็มกำลัง สั่งสอนไอ้หนูนี่อย่างโหดเหี้ยมสักหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงว่าในวันหนึ่งเขาจะเอ้อระเหยลอยชายจนไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตา คอยหาเรื่องตลอดเวลา
“นายก็เข้ามาตามกฎไม่ได้รึไง? วางกระเป๋านายลงซะ ยอมรับการตรวจค้น แล้วเข้าไปกับฉัน” ชางหลางพูด มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์
“แบบนั้นไม่ได้หรอก ในกระเป๋าของผมมีของรักของหวงอยู่ ผมวางไม่ได้” เย่เทียนเฉินทำท่าทางยอมตายไม่ยอมรักษากฎออกมา มองชางหลางแล้วพูดขึ้น
“นาย…นายคิดว่านายจะไปพบใคร? เป็นท่านหยาง วางกระเป๋านายลงเดี๋ยวนี้ เข้าไปกับฉัน” ชางหลางตะโกรธใส่เย่เทียนเฉินด้วยความโกรธ
เย่เทียนเฉินมองชางหลางแวบหนึ่ง เขาไม่อยากเข้าพบคนใหญ่คนโตอะไรนี่เลยจริงๆ เนื่องจากเดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่าอยากจะลองทดสอบฝีมือของชางหลางที่เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน เขาคงไม่มาแน่นอน ตอนนี้ในเมื่อกฎข้อบังคับเข้มงวดขนาดนี้ เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ
คิดถึงตรงนี้ เย่เทียนเฉินก็สะพายกระเป๋าเป้แล้วหมุนตัวเดินมุ่งไปด้านนอก ทำให้ชางหลางร้อนใจจนอยากกระอักเลือด มาถึงหน้าประตูแล้วแท้ๆ ทั้งยังกินเวลาไปมาก หยางอี้คงจะรออยู่นานแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้วเย่เทียนเฉินถึงกับไม่เข้าไป ไม่ใช่ว่าต้องการให้ความพยายามของตนก่อนหน้านี้เสียเปล่าหรอกหรือ?
“ไอ้หนูหยุด หยุดก่อน นายสะพานเป้นายเข้าไปก็ได้แล้วใช่ไหม?” ชางหลางไม่มีทางเลือกจึงยอมประณีประนอม
“แบบนี้ค่อยโอเคหน่อย ลุงชางหลาง เห็นสีหน้าคุณอนาถขนาดนี้ ผมจะไว้หน้าคุณหน่อยก็ได้ ไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ
ที่ไหนได้ ทหารถือปืนทั้งสองที่ยืนอารักขาอยู่ปากทางเข้ากลับไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินเข้าไป ไม่ยอมแม้แต่จะไว้หน้าชางหลาง พูดแต่ว่า ถ้าไม่วางเป้ลง ไม่ยอมรับการตรวจค้นร่างกายก็เข้าไปไม่ได้
“นายพลชางครับ เรื่องนี้พวกผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เป็นคำสั่งสูงสุด” นายทหารคนหนึ่งกล่าวอย่างจริงจัง
“โอ้โห ลุงชางหลาง ดูเหมือนว่าหน้าของคุณจะใหญ่ไม่พอซะแล้ว…” เย่เทียนเฉินจงใจพูดด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า
“ไอ้หนูพูดจาใส่ร้ายฉันให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่ใช่เป็นเพราะนายไม่ทำตามกฎรึไง” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“นายพลชางครับ ผ่อนผันไม่ได้จริงๆ ครับ ถ้าหากต้องการจะแหกกฎให้ได้ ท่านต้องโทรไปหารองประธานหยางให้ช่วยสั่งการ…” ทหารอีกคนหนึ่งเปิดปากพูด
ชางหลางคิดครู่หนึ่ง ไม่อาจว่ากล่าวนายทหารที่ยืนรักษาการณ์สองคนนี้ได้จริงๆ ต้องดูแลความปลอดภัยของท่านหยาง ถ้าไม่มีกฎระเบียบที่เข้มงวดก็คงไม่ได้ เย่เทียนเฉินคนนี้ช่างเรื่องเยอะเสียจริง อยากจะอัดไอ้หนูนี่สักหมัดเหลือเกิน
หลังจากที่ชางหลายต่อสายไปหาหยางอี้และพูดไม่กี่ประโยคก็ได้รับความเห็นชอบ จึงจะสามารถพาเย่เทียนเฉินเข้าไปได้อย่างราบรื่น
เย่เทียนเฉินเดินตามหลังชางหลางเข้าไปในอาคารเล็กๆ สูงสามชั้น แม้จะรับรู้ได้ว่ามียอดฝีมืออยู่ที่นี่ แต่ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ ภายในทั่วทั้งตึก ทุกๆ ระยะห้าเมตรจะมีทหารสวมชุดลายพรางอยู่สองคน ไม่รู้ว่ามาจากกองกำลังไหน ทั้งหมดล้วนยืนอยู่ที่นั่นราวรูปสลักไม่ขยับเขยื้อน เย่เทียนเฉินสังเกตเห็นว่าคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาได้จากการใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ พลังภายในอันแข็งแกร่งในร่างกายแผ่กระจายออกมา ทั่วทั้งสามชั้น มีคนเช่นนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยคน
ก๊อกๆๆ!
ชางหลางเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เคาะประตูที่อยู่ลึกที่สุด เมื่อเสียงของหยางอี้ดังออกมาจากด้านใน ชางหลางจึงเปิดประตูออก พาเย่เทียนเฉินเดินเข้าไป
“หัวหน้าครับ พาตัวเย่เทียนเฉินมาถึงแล้วครับ!” ชางหลางยืนอยู่เบื้องหน้าหยางอี้ เปิดปากกล่าวด้วยความเคารพ
“อืม คุณลงไปก่อนเถอะ!” หยางอี้มองชางหลางแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น
ชางหลางมองเย่เทียนเฉินแล้วขยิบตาให้เขา เย่เทียนเฉินเห็นก็เข้าใจความหมายของชางหลาง นั่นคือไม่ให้เขาทำตัวกำเริบเสิบสาน แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินย่อมไม่ใส่ใจ
เย่เทียนเฉินมองไปรอบๆ จนไปเห็นตู้กดน้ำก็รู้สึกว่ากระหายน้ำจริงๆ จึงเดินไปข้างตู้กดน้ำโดยไม่สนใจว่าคนใหญ่คนโตเช่นหยางอี้อยู่ตรงนี้ด้วย หยิบแก้วกระดาษขึ้นมาแล้วกดน้ำให้ตนเองแก้วหนึ่ง ดื่มอึกอักลงไปทั้งหมด
“นายก็คือเย่เทียนเฉิน?” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าท่านข้าราชการใหญ่มีอะไรจะสั่งครับ?” เย่เทียนเฉินเริ่มกดน้ำอีกครั้ง เอ่ยถามไปด้วยรอยยิ้ม
“นายไม่คิดว่าตัวเองจะโอหังไปหน่อยหรือ? นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” หยางอี้ถามเสียงเข้ม
“ก็ต้องรู้อยู่แล้ว คนแก่คนเฒ่าที่งานยุ่งมากคนหนึ่งไง บางครั้งผมก็เห็นคุณในทีวี คุณดูจะหนุ่มกว่าในทีวีอีกนะครับ ท่าทางตอนขึ้นกล้อง ช่างแต่งหน้าคงไม่ค่อยดีเท่าไร เปลี่ยนคนจะดีกว่านะครับ! ”
เย่เทียนเฉินพูดจาตามใจ ราวกับไม่ได้กังวลในฐานะของหยางอี้เลยแม้แต่น้อย หากคนอื่นมาเห็นหรือได้ยินเข้า จะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน หยางอี้เป็นคนใหญ่คนโต นี่เป็นฐานะระดับไหน คนทั่วไปแค่คิดก็ตัวสั่น หากได้เจอเขาเข้าจริงๆ หลายคนต้องขาอ่อนเป็นแน่ แต่เย่เทียนเฉินแสดงออกได้อย่างผ่อนคลายและปกติเป็นอย่างมาก ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
“ฉันได้ยืนเรื่องของนายมาแล้ว ดูท่าตระกูลเย่ที่มีลูกหลานที่ไม่เลวเลย เย่หย่วนซานจะต้องดีใจแน่” หยางอี้พูดยิ้มๆ
“คนแก่อย่างเขาจะดีใจหรือไม่ผมไม่รู้หรอก ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมยินดีที่จะกลับบ้าน ถ้ารองประธานหยางไม่มีอะไร ผมว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า” เย่เทียนเฉินดื่มน้ำไปอีกแก้วหนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นพลางเกาหัว
“นายยุ่งมากเหรอ? ฉันยังอยากจะให้นายบอกเรื่องการเดินทางไปประเทศMในครั้งนี้สักหน่อย…” หยางอี้คิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม
“ก็ยุ่งนิดหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่เกรงใจ
“งั้นก็เอาเถอะ นายไปก่อนก็ได้ ตอนแรกฉันอยากจะคุยกับนายเรื่องที่จะให้พ่อของนายเลื่อนขั้นสักหลายขั้นเสียหน่อย แต่ดูแล้วนายคงไม่สนใจ ฉันจะเรียกให้ชางหลางส่งนายออกไปแล้วกัน” หยางอี้กล่าวแล้วจึงถอนหายใจ
เดิมทีเย่เทียนเฉินพูดจบก็จะเดินไปแล้ว เมื่อได้ฟังคำพูดประโยคนี้ของหยางอี้ก็พลันหยุดเดิน หันมากล่าวกับหยางอี้ด้วยท่าทางกล่าวโทษว่า “ท่านรองประธานหยาง ผมว่าคุณทำไม่ถูกเลยนะครับ เรื่องแบบนี้ทำไม่ไม่พูดออกมาเร็วๆ ผมสนใจมาก ความสามารถอื่นๆ ของผมน่ะไม่มีหรอกครับ จะมีก็แค่รักชาติรักประชาชน คราวนี้ผมทำผลงานยอดเยี่ยมเพื่อประเทศชาติ จะอย่างไรก็ต้องได้รับรางวัลสักหน่อยใช่ไหมครับ? เงินสิบล้านนั่นทมไม่ต้องการแล้วครับ แต่พ่อของผมเป็นข้าราชการมาหลายปี ทำงานด้วยความระมัดระวังและรับผิดชอบมาโดยตลอด ไม่โกงกินไม่ธุจริต ควรจะเลื่อนขั้นแล้วนะครับ!”
เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ความหวังสูงสุดของเย่เทียนเฉินก็คือ อยากให้พ่อแม่และน้องสาวใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คอยช่วยให้ความฝันในใจของพวกเขาเป็นจริง เย่หงเป็นพ่อของเย่เทียนเฉิน รับราชการมาตลอด เพียงแต่หลายปีมานี้ตระกูลเย่ตกต่ำลง จึงไม่สามารถช่วยอะไรเย่หงได้ เป็นข้าราชการในตะวันออก เบื้องหน้าไม่มีคนไม่ได้ กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ต่อให้ผลงานของคุณดีแค่ไหน ถ้าไม่มีคนช่วยพูด บุคคลระดับสูงก็จะไม่เห็น ผลประโยชน์ก็ไม่มี ดังนั้นแม้ว่าเย่หงพ่อของเย่เทียนเฉินจะพยายามมาก แต่กลับไต่เต่าขึ้นไปไม่ได้ ครั้งที่แล้วไม่ง่ายเลยที่จะใช้เรื่องการถอนหมั้นของตระกูลฉีมาทำให้เย่หงกลายเป็นเลขาธิการคณะกรรมการแห่งเมืองHได้ หากยังต้องการไต่เต่าขึ้นไปอีกเกรงว่าจะเป็นการยาก
“นานทำประโยชน์ให้ประเทศงั้นเหรอ? ทำไมฉันไม่รู้เลยล่ะ?” หยางอี้จถาม จงใจทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“ไม่หรอกมั้ง? ผู้อาวุโสอย่างคุณคงไม่แกล้งผมแบบนี้หรอกนะครับ ผมทำประโยชน์เยอะแยะเลย ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะผม คงไม่อาจทำภารกิจให้สำเร็จได้แน่ จากตอนที่เครื่องบินถึงวอชิงตัน…”
เย่เทียนเฉินพูดจนน้ำไหลไฟดับ เพียงอึดใจเดียวก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนไปถึงวอชิงตันออกมาทั้งหมด จนถึงเรื่องที่ตนเองกลับมา เข้ามาดื่มน้ำสองแก้วในห้องทำงานของหยางอี้ ก็ล้วนเล่าออกมาทั้งหมดรอบหนึ่งถึงจะนั่งลง รินน้ำแล้วดื่มไปจนหมด
หยางอี้มองเย่เทียนเฉิน ในใจรู้สึกช็อคมาก เย่เทียนเฉินอายุยังไม่เกินยี่สิบปี ถึงกับมีฝีมือเช่นนี้ได้ อีกทั้งครั้งนี้ไปก่อเรื่องที่วอชิงตัน เกือบจะบุกเข้าไปถึงทำเนียบขาวเพื่อให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าว ช่างมีเอกลักษณ์จริงๆ ยังดีที่คนคนนี้คิดได้ ถึงกับจะให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าวเขาเลยหรือ? ถ้าหากว่าถูกคนอื่นรู้เข้า ต้องแย่แน่ๆ
“เป็นไงครับ? จะให้พ่อผมเลื่อนขั้นสักสามขั้นรึเปล่า?” เย่เทียนเฉินมองหยางอี้แล้วกล่าวถาม
“อืม ก็พอมีคุณงามความดีอยู่บ้างจริงๆ ฉันจะพิจารณาดูแล้วกัน นายกลับไปก่อนเถอะ!” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านผู้อาวุโส อย่าเล่นแบบนี้สิครับ? นี่แกล้งผมใช่ไหม? ไม่ได้ๆ จะยังไงคุณก็ต้องรับปากมาก่อนว่าจะเลื่อนขั้นให้พ่อผมสามขั้น ไม่งั้นต่อไปใครจะกล้าทำงานให้คุณ ผมต้องผ่านอันตรายมากมายกว่าจะรอดกลับมาได้ ยังไงก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีผลงานคนหนึ่ง คุณจะทำให้หัวใจของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างพวกเราต้องผิดหวังไม่ได้นะครับ? มิน่าล่ะชางหลางถึงได้ทำหน้าตาอมทุกข์ตลอดเวลา เห้อ…”
เย่เทียนเฉินพูดพลางแสร้งทำเป็นเห็นใจชางหลาง หยางอี้เห็นก็รู้สึกไร้ซึ่งคำพูด
……………………………..