เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 11 เอาขวดเบียร์ไปกินสามขวด
“พี่เหลยวางใจเถอะ เรื่องนี้ไม่ปล่อยให้จบง่ายๆ แน่ พวกเราเริ่มให้คนไปตรวจสอบแล้ว!” ชายอ้วนเตี้ยที่นั่งอยู่ด้านข้างกล่าวออกมาอย่างโกรธแค้น
“ผมคิดว่าเรื่องนี้ ตระกูลเย่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง….” ชายร่างผอมสวมแว่นกรอบทองอีกคนหนึ่งกล่าวพลางดุนแว่นของตนเอง
“ตระกูลเย่? แกคงจะไม่บอกฉันว่าเป็นเจ้าขยะเย่เทียนเฉินนั่นหรอกใช่ไหม?” ชายอ้วนเตี้ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
พอได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของชายร่างอ้วนเตี้ย ชายสวมแว่นกรอบทองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่มองไปยัง ลั่วเหลยที่อยู่ข้างๆ ลั่วเหลยเป็นพี่ชายแท้ๆ ของลั่วเทา เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลลั่ว บวกกับการได้เข้าร่วมกองกำลังเหยี่ยวนักล่า ดังนั้นจึงหยิ่งผยองยิ่งกว่าลั่วเทายิ่ง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ลงมือกับเย่เทียนเฉินที่ไม่ได้มีความแค้นลึกซึ้งอะไรกับตน ด้วยการจ่ายเงินติดสินบนหัวหน้าบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซุบซิบที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ให้ตีพิมพ์เรื่องที่ทำให้เย่เทียนเฉินเสื่อมเสียชื่อเสียง
แต่ที่ชายสวมแว่นกรอบทองพูดเช่นนี้ ก็เพราะเขารู้ว่าเนื้อหาที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ซุบซิบนั้นเป็นแค่คำโกหกที่ลั่วเหลยปั้นแต่งเพื่อโจมตีศัตรูความรักอย่างเย่เทียนเฉิน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่เย่เทียนเฉินสามารถรอดกลับมาได้เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเพราะศักยภาพของตนเอง ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกข้องใจแล้ว
“เย่เทียนเฉิน? ตระกูลเย่ตกต่ำลงแล้ว เจ้าขยะที่ทำให้ตระกูลต้องขายขี้หน้านั่น ฉันใช้แค่นิ้วเดียวก็ปลิดชีวิตมันได้!” ลั่วเหลยกล่าวพลางรอยยิ้มเย็นชาที่มุมปาก
ความจริงตอนนี้ใจของลั่วเหลยกำลังเต้นรัว ‘เป็นเจ้าขยะเย่เทียนเฉินที่ทำร้ายของชายของเขาจริงๆ หรือ? เจ้าหมอนี่แต่เดิมก็เป็นลูกชายเสเพล อีกทั้งยังนำความอัปยศมาสู่ครอบครัวจนทำให้ตระกูลเย่ไม่สามารถเงยหน้าได้อีกในเมืองหลวง แม้ว่าภายหลังจะสำนึกขึ้นมา ด้วยการไปเป็นทหารเข้าร่วมกับกองทัพ แต่ก็คงไม่กล้าลงมือกับตระกูลลั่วของตนแน่นอน ต่อให้สู้กันตัวต่อตัว ทหารหาญที่สามารถเข้ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าที่แข็งแกร่งได้อย่างเขา ก็สามารถเก็บกวาดได้ง่ายๆ เจ้าหมอนี่จะกล้าลงมือเชียวเหรอ?’
“มีอยู่ข่าวหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าพวกจะพูดดีไหม!” ชายสวมแว่นกรอบทองชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออกมา
“เจ้าแว่น มีอะไรก็พูดมาเลย พ่อของแกก็เป็นถึงอธิบดีกรมตำรวจของเมืองหลวง ยังกลัวจะมีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้อีกเหรอวะ?” ชายอ้วนเตี้ยกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกไม่ดี
“พูดมาเถอะเจ้าแว่น มีอะไรก็พูด ตระกูลเย่ไม่นับเป็นตัวอะไรหรอก” ลั่วเหลยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ชายสวมแว่นกรอบทองเมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าอ้วนเตี้ยและลั่วเหลยแล้วดูสุขุมกว่ามาก แม้ว่าจะบ้าระห่ำ แต่ก็ทราบดีว่าในเมืองหลวงนี้มีความซับซ้อน หากไม่ต้องล่วงเกินคนอื่นได้ก็อย่าไปล่วงเกินจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็อย่าล่วงเกินอย่างโจ๋งครึ้ม เพราะใครก็ทราบว่าไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร ในอนาคตอาจจะต้องขอความช่วยเหลือก็เป็นได้ ใครจะรู้?
แต่ถึงแม้ว่าชายสวมแว่นกรอบทองจะเป็นระมัดระวังตัว แต่ก็ยังมีความหยิ่งผยอง มิฉะนั้นคงไม่สามารถเป็นเพื่อนสนิทกับลั่วเหลยได้ ดังคำที่ว่ากาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ เหมือนกับที่พวกเขารู้ ตระกูลเย่ตกต่ำลงแล้ว บวกกับการโผล่มาของเย่เทียนเฉิน ลูกล้างผลาญที่ทำเรื่องงามหน้าจนรู้ไปทั่วทั้งเมือง หลังจากนำความอัปยศมาสู่ตระกูลแล้ว หลายคนก็มองตระกูลเย่ด้วยสายตาดูถูก ปกติจึงไม่เห็นอยู่ในสายตา
“ข่าวที่ฉันได้ยินมาก็คือ หลังจากที่พวกทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดของเย่เทียนเฉินถูกซุ่มโจมตี ก็เหลือแค่มันกับหานเจี๋ย เย่เทียนเฉินอยู่ๆ ก็ระเบิดพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งออกมา ฆ่าพวกโจรทั้งหมดทิ้ง แล้วยังทำภารกิจได้สำเร็จ แบกหานเจี๋ยรอดกลับมาได้….” ชายสวมแว่นกรอบทองกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
เมื่อลั่วเหลยกับเจ้าอ้วนเตี้ยได้ฟังคำพูดของชายสวมแว่นกรอบทองก็ขมวดคิ้ว ข่างนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ แต่พ่อของชายสวมแว่นกรอบทองเป็นอธิบดีกรมตำรวจแห่งเมืองหลวง การเป็นอธิบดีกรมตำรวจในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพฆัคฆ์หมอบมังกรซ่อนเช่นนี้ได้ก็สุดยอดมาก อีกทั้งการอยู่ในหน่วยงานทหารและตำรวจอาจจะได้ยินถึงข่าวลือบางอย่าง
หลังจากที่เย่เทียนเฉินออกจากกองทัพ สิ่งที่ประกาศแก่ภายนอกก็คือถูกกองทัพปลดออก ซึ่งส่งผลกระทบด้านลบต่อเขา เรื่องนี้ชางหลางได้บอกกับเย่เทียนเฉินตั้งแต่แรกแล้ว แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้สนใจ ในส่วนแฟ้มข้อมูลของเย่เทียนเฉินก็ได้รับการจัดให้เป็นเอกสารความลับระดับหนึ่งของประเทศ แต่ก็ยังคงมีข่าวลือบางส่วนเล็ดลอดออกมาอยู่ดี ถึงอย่างไรคนที่ทราบความจริงของเรื่องนี้ก็มีอยู่บ้าง
“เหอะๆ เจ้าแว่น แกอวยไอหนูนั่นเกินไปรึเปล่าวะ? ถ้ามันมีความสามารถแบบนี้จริง ฉันจะเอาหัวไปเป็นม้านั่งให้มันเลย!” ชายอ้วนเตี้ยกล่าวพลางหัวเราะเยาะ
“เป็นไปไม่ได้หรอก แม้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ก็ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ขนาดนั้น การฆ่าล้างทหารชั้นยอดจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ต่อให้เป็นครูฝึกขั้นหนึ่งของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าก็ยังทำได้ยาก เจ้าหมอนี่เป็นได้อย่างมากก็แค่ทหารหนีทัพเท่านั้นแหละ!” ลั่วเหลยก็กล่าวอย่างเหยียดหยาม
ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างช้าๆ เย่เทียนเฉินที่คาบบุหรี่อยู่ในปากมวนหนึ่ง เดินเข้ามายังห้องที่ลั่วเหลย ชายอ้วนเตี้ยและชายสวมแว่นกรอบทองอยู่ จากนั้นก็ค่อยๆ ปิดประตูลงพร้อมกับล็อกกลอน แล้วนั่งลงที่โซฟาอย่างสบายใจ ระหว่างนั้นก็สูบบุหรี่ไปพลาง รินเหล้าให้ตัวเองดื่มไปพลาง
ลั่วเหลย ชายอ้วนเตี้ยและชายสวมแว่นกรอบทองต่างก็รุ้สึกตกตะลึงกับชายหนุ่มที่อยู่ๆ ก็เดินเข้ามา พวกเขาไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร และไม่รู้ว่านี่หมายความว่าอะไร แต่จากการแสดงออกทั้งหมดตั้งแต่เดินเข้ามา ไม่น่าจะเป็นคนกันเอง
“แกเป็นใคร?” ลั่วเหลยลุกขึ้นยืน กล่าวถามพลางกำหมัดแน่น
“ฉันคือทหารหนีทัพที่แกพูดไง….” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยิ้มอย่างลึกซึ้ง
“นาย….นายคือเย่เทียนเฉิน?” ชายสวมแว่นกรอบทองดันแว่นตัวเอง ความตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ชายอ้วนเตี้ยกลับไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย ภูมิหลังของครอบครัวเขาในเมืองหลวงนั้นแม้ว่าจะไม่นับว่าเป็นตระกูลใหญ่อะไร แต่ก็ยังมีอำนาจอยู่บ้าง ในความคิดของเขา ตระกูลเย่ที่ตกต่ำมานานแล้วไม่กล้าก่อเรื่องแน่นอน อีกทั้งไม่เชื่อว่าคนที่เคยเป็นเศษขยะอย่างเย่เทียนนเฉินจะสุดยอดถึงขนาดนั้น ดังนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน จงใจมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามก่อนที่จะหัวเราะเยาะพลางกล่าวออกมาว่า “รสชาติที่ได้คุกเข่าอยู่ที่ตระกูลหลิ่วทั้งวันไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ? ถูกตระกูลฉีถอนหมั้นมารู้สึกเป็นไงบ้าง? ชีวิตสุนัขที่รอดมาได้จากการขายเพื่อนกับคุกเข่าร้องขอชีวิตมีความสุขดีไหม?”
เพล้ง เพล้ง เพล้ง!
ลั่วเหลยกับชายสวมแว่นกรอบทองมองการเคลื่อนไหวของเย่เทียนเฉินไม่ชัด เห็นเพียงแค่ชายอ้วนเตี้ยถูกตีด้วยขวดเบียร์สามขวด จนหัวแตกเลือดไหล ล้มลงไปกองกับพื้น กรีดร้องออกมาราวหมูถูกเชือด ร่างกายสั่นกระตุกไม่หยุด ไม่รู้ว่าโดนตีไปรุนแรงถึงขนาดไหน
“รสชาติที่ขวดเหล้ากระทบหัวไม่เลวเลยใช่ไหม? ความรู้สึกที่ถูกขวดเหล้าตีรัวๆ ไปสามขวดเป็นไงบ้าง? หรือตอนนี้แกยังรู้สึกสุกสบายใจอยู่?” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเรียบ มุมปากปรากฏรอยยิ้มลึกซึ้ง
เหตุการณ์นี้สะกดลั่วเหลยกับชายสวมแว่นกรอบทองเสียจนขยับตัวไม่ออก ชายตรงหน้ากล่าวอย่างชัดเจนว่าเป็นเย่เทียนเฉิน ต่างกับการคาดการณ์ของพวกเขามาก เจ้าหมอนี่ตีชายอ้วนเตี้ยจนอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายด้วยท่าทางสงบและสุขุม ต้องรู้ว่าพ่อของชายอ้วนเตี้ยเป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์แห่งเมืองหลวง มีเส้นสายกว้างขวาง แต่เหตุผลนี้ไม่สามารถห้ามไม่ให้เย่เทียนเฉินตีหัวเจ้าหมอนี้ให้แตกได้ ปากเสียนัก ก็ถูกตีหัวไปซะ เป็นเรื่องสมควรแล้ว
ลั่วเหลยพลันลุกขึ้นยืน แม้ว่าเขาจะรู้สึกตกใจ แต่ในสายตาของเขา เย่เทียนเฉินไม่นับเป็นอะไร ตระกูลเย่เองก็ไม่นับเป็นอะไร ตอนนี้ตระกูลลั่วของเขาเหนือกว่าตระกูลเย่ เขาลั่วเหลยก็เหนือกว่าเย่เทียนเฉิน นี่คือความคิดของลั่วเหลย
“ฉันถามแกสักเรื่อง แกเป็นคนที่ทำร้ายน้องชายฉันใช่ไหม?” ลั่วเหยียนวางท่า กล่าวถามพลางใช้นิ้วชี้ขวาชี้ไปที่เย่เทียนเฉิน
“มันไม่ทนมือเอาซะเลย แต่ฉันหวังว่าแกจะทนมือหน่อยนะ”
“เหอะ แกกล้ามารนหาที่ตาย ฉันนับถือความกล้าของแกจริงๆ ฉันใช้เท้าเดียวก็เหยียบแกให้ตายได้แล้ว….” ลั่วเหลยกล่าวออกมาพลางหัวเระอย่างโมโห
“จะพูดพล่ามไปทำไม พวกแกเข้ามาพร้อมๆกันทั้งสองคนนั้นแหละ หรือจะมาเดี่ยวกันตัวตัว?” เย่เทียนเฉินหยิบบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากออก กล่าวถามพลางพ่นควันออกมา
พอได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชายสวมแว่นกรอบทองก็ถอยหลังไปสองก้าวอย่างชัดเจน ในด้านความสามารถนั้นเขาเทียบกับลั่วเหลยไม่ได้ อีกทั้งชายสวมแว่นกรอบทองในตอนนี้ยังรู้สึกได้ถึงความแข็งกร้าวที่ไม่แยแสบนร่างของ เย่เทียนเฉิน การใช้ขวดเหล้าสามขวดตีชายอ้วนเตี้ยเสียจนครึ่งเป็นครึ่งตาย ไม่ว่าจะเป็นศักดิ์ฐานะหรือผลลัพธ์ที่ตามมา สีหน้าสุขุมเช่นนี้ไม่สามารถเสแสร้งออกมาได้เด็ดขาด เย่เทียนเฉินในตอนนี้ดูราวกับผู้สูงศักดิ์ที่มีตำแหน่งฐานะ ไม่เห็นลั่วเหลยอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง
“ต่อให้ฉันฆ่าแกตรงนี้ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉันอยู่ดี!” ลั่วเหลยกล่าวอย่างดุร้าย
“งั้นทำไมไม่ลงมืออีก หรือว่าดีแต่ปาก? ใช่ๆ ฉันได้ยินมาว่าแกเป็นสมาชิกของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า ให้ฉันเห็นความสามารถของแกหน่อยสิ ถ้าแกโจมตีถูกฉันสักครั้ง เรื่องที่แกใส่ร้ายป้ายสีฉันก็ถือว่ายกเลิกกันไป เป็นไง?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“รนหาที่!”
ลั่วเหลยมองชายสวมแว่นกรอบทองอย่างดูถูก เจ้าหมอนี่ทุกครั้งที่มีเรื่องอะไรก็เอาแต่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นคนประเภทที่ไม่กล้าโผล่หน้าออกมา และในสายตาของลั่วเหลย การที่เย่เทียนเฉินมาเสแสร้งแกล้งอวดว่าเจ๋ง เป็นการรนหาที่ตายแท้ๆ ตนเองต่อยหมัดเดียวก็ทำให้เย่เทียนเฉินลงไปกองกับพื้นแทบหาฟันตัวเองไม่เจอได้แล้ว
ลั่วเหลยต่อยหมัดออกไปโดยเล็งไปที่หน้าของเย่เทียนเฉิน
เปรี้ยง!
น่าเสียดายที่หมัดของลั่วเหลยเพิ่งจะต่อยออกไป ก็ถูกเท้าของเย่เทียนเฉินถีบกระเด็นไปตกลงไปบนโต๊ะกระจกอย่างรุนแรงจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ลั่วเหลยที่เดิมที่ทั้งหยิ่งทะนงทั้งดูถูกเย่เทียนเฉิน เพิ่งจะออกหมัดไปก็ถูกซัดหมอบไปกับพื้น สองมือกุมท้องตนเองแน่นพลางร้องอย่างโหยหวนออกมา
เดิมทีเย่เทียนเฉินมาเพื่อเก็บกวาดลั่วเหลย เจ้าหมอชั่วช้าสามานย์ เล่นงานลับหลัง จำเป็นต้องสั่งสอน ถ้าหากว่ามีคนตะโกนเรียกและท้าดวลกับเย่เทียนเฉินซึ่งหน้า เย่เทียนเฉินก็อาจจะนับถือคนๆ นั้น ในช่วงสิ้นโลกเย่เทียนเฉินฆ่าพวกคนถ่อยที่น่ารังเกียจเช่นนี้ไปไม่น้อย แม้ว่าจะเกิดใหม่ในโลกนี้ หลักการที่เย่เทียนเฉินยึดถือก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทำตามหลักเหตุผล ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
“แก….” มุมปากของลั่วเหลยมีเลือดไหลออกมา มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่าสมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าที่น่าภาคภูมิอย่างตนจะแพ้ด้วยการถีบเพียงครั้งเดียวของเย่เทียนเฉิน
ชายสวมแว่นกรอบทองตกใจเสียเกือบจะล้มลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าตัวตลกแห่งเมืองหลวง เศษสวะที่เคยนำพาความอัปยศอย่างยิ่งยวดมาสู้ตระกูลอย่างเย่เทียนเฉิน จะกลายเป็นคนแข็งแกร่งเช่นนี้ ลงมือแม่นยำและดุดัน ซัดลั่วเหลยไปกองกับพื้นจนแทบหาฟันตัวเองไม่เจอ
“ดูเหมือนว่าแกกับน้องชายไม่ทนมือทนเท้าเหมือนกันเลยนะ คนตระกูลลั่วอ่อนขนาดนี้เลยเหรอ? ทำเป็นแค่เล่นงานลับหลังสินะ?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองไปยังลั่วเหลยอย่างไม่เรียบเฉย
………………………………………