เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 114 ลงมืออย่างแกร่งกร้าว
แบกโลงศพไปตระกูลฉิน เย่เทียนเฉินช่างเผด็จการเหลือเกิน บุกเข้าไปในถ้ำเสือด้วยตัวคนเดียว ต่อให้เดาได้ว่าฉินเหิงจะวางกับดักเพื่อฆ่าตน เย่เทียนเฉินก็ยังมา บางทีอาจเป็นเพราะนิสัยของเขาที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เกรงกลัวปัญหา บางทีอาจเป็นเพราะเขาเตรียมจะฆ่าฉินเหิงอย่างจริงจัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มาหาเรื่องตนเองบ่อยๆ จนคุกคามไปถึงครอบครัวของตน และอาจเป็นเพราะความต้องการเล็กๆ ที่อยากจะช่วยฉีหรูเสวี่ย เพราะอย่างไรก็นับว่าเป็นเพื่อน
อย่างไรก็ตามเย่เทียนเฉินก็มาแล้ว มาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ทำให้ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นี้ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง แบกโลงศพมา นี่ก็คือวิธีการเปิดตัวของเย่เทียนเฉิน
ปืนในมือทั้งหมดของบอดี้การ์ดฝีมือดียี่สิบกว่าคนแห่งตระกูลฉินต่างก็ไร้ประโยชน์ ไม่อาจลั่นไกได้โดยสิ้นเชิง ท่ามกลางเสียงตะโกนของฉินเหิง บอดี้การ์ดเหล่านี้ก็ได้สติขึ้นมา ทั้งหมดจึงกำหมัดพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัยไม่เสื่อมคลาย มองบอดี้การ์ดเหล่านี้พุ่งขึ้นมา พลันกระตุกยิ้ม
พลั่ก!
พลั่ก!
พลั่ก…
คนที่เหลืออยู่ที่นี่ รวมไปถึงฉินอี้และฉินเทาหยวนผู้เป็นปู่และพ่อของฉินเหิง และยังมีฉีหรูไห่ปู่ของฉีหรูเสวี่ยและฉีชางเซิ่งผู้เป็นพ่อ ทั้งหมดต่างก็มองเหตุการณ์นี้ด้วยความตกตะลึง เห็นเพียงสองเท้าของเย่เทียนเฉินเตะออกไปไม่หยุด บอดี้การ์ดฝีมือดีที่พุ่งเข้าไปยี่สิบกว่าคนนี้เข้าใกล้ตัวเขาไม่ได้เลย แต่ละคนถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นออกไปจนต้องร้องโอดโอย ตกกระแทกพื้นอย่างแรงจนลุกไม่ขึ้น
ไม่ถึงสามนาที บอดี้การ์ดฝีมือดียี่สิบกว่าคนล้วนนอนหมอบอยู่บนพื้น กรีดร้องอย่างอนาถ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ลุกขึ้นมาได้ ส่วนเย่เทียนเฉินไม่มีการหอบหายใจเลยสักนิด ยังคงมองพวกฉินเหิงด้วยรอยยิ้ม
“แก…แกจะไปจากตระกูลฉินของฉันไม่ได้แน่ จะต้องตายแน่นอน!” ฉินเหิงตกใจจนชะงัก เปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
“คุณชายฉิน ดูเหมือนแกจะประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปหน่อยรึเปล่า? ยังคิดว่าแกสามารถกำหนดความเป็นความตายของผู้อื่นได้ตามใจงั้นเหรอ? แกเนี่ยนะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยโดยไม่มองฉินเหิงแม้แต่หางตา
“ไอ้หนุ่ม แกก็จะโอหังเกินไปรึเปล่า? ที่นี่เป็นถิ่นของตระกูลฉินของฉัน ต่อให้เป็นเย่หย่วนซานปู่ของแกมา ก็ต้องเกรงอกเกรงใจ ตอนนี้แกจะคุกเข่ารับความผิดก็ยังไม่สาย!”
ฉินอี้ที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างมาตลอดเอ่ยปากขึ้น ในใจของเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินลูกหลานตระกูลเย่คนนี้ช่างมีความพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ ในทุกคำพูดและการกระทำล้วนมีความเผด็จการอยู่ เขาฉินอี้สามารถมาถึงตำแหน่งเช่นนี้ได้ ก็นับว่าได้อ่านผู้คนมาไม่น้อย แต่คนหนุ่มเช่นเย่เทียนเฉินนี้ก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินทำร้ายหลานชายของตนและมาก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน บางทีฉินอี้อาจจะต้องการรับเย่เทียนเฉินมาเป็นลูกน้อง เพียงแต่ตอนนี้ดูแล้วคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเขาย่อมต้องปกป้องหลานของตน เดิมทีในเมืองหลวง ฉินอี้ก็เลื่องชื่อเรื่องปกป้องพรรคพวกอยู่แล้ว เย่เทียนเฉินกล้าบุกมาที่ตระกูลฉิน แถมยังแบกโลงศพมาด้วย ทำให้ฉินอี้ตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าเย่เทียนเฉินซะ ใครก็ปกป้องเขาไม่ได้แล้ว ต่อให้เย่หย่วนซานปู่ของเย่เทียนเฉินมาเองกับตัวก็มิอาจห้ามได้
“ไอ้แก่ แกต้องการปกป้องคนของแกก็พูดมาตรงๆ อย่ามาพูดจาอ้อมโลก ฉันไม่สนใจเล่นเป็นเพื่อนแกหรอกนะ” เย่เทียนเฉินมองฉินอี้อย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
เมื่อคำพูดนี้พูดออกมา ฉินอี้ ฉินเทาหยวนและฉินเหิง ทั้งสามต่างก็โกรธจนแทบกระอักเลือด ส่วนฉีหรูไห่และฉีชางเซิ่งแห่งตระกูลฉีก็ตกตะลึงจนต้องสูดลมหายใจเย็นเยียบ พวกเขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยินเลยจริงๆ เย่เทียนเฉินเปิดปากมาด่าฉินอี้ว่า “ไอ้แก่” หากสองคำนี้แพร่ออกไป เกรงว่าจะต้องฮือฮากันทั่วทั้งแผ่นดินจีน
ตำแหน่งฐานะของฉินอี้เทียบเคียงได้กับหยางอี้ที่เป็นระดับหัวหน้าใหญ่ เพียงแต่ไม่ได้มีอำนาจเท่าหยางอี้ก็เท่านั้น แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ระดับอันสูงส่งของเขาก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมจะมาแตะต้องได้ มีประโยคหนึ่งที่ฉินอี้พูดได้โดยไม่เกินจริงเลย นั่นก็คือ ต่อให้เย่หย่วนซานปู่ของเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่ ก็ต้องเกรงอกเกรงใจเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉิน
ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินไม่สนใจโดยสิ้นเชิง บิดาไม่สนว่าตำแหน่งของคุณจะสูงแค่ไหน คนชราที่ไม่รู้จักทำตัวให้น่าเคารพ ผมก็ได้แต่เรียกคุณว่าไอ้แก่
“แก…ดี ดี ดี เย่หย่วนซานสั่งสอนหลานชายออกมาได้ดีจริงๆ ฉันจะหักขาแกทั้งสองข้างก่อนแล้วค่อยส่งแกกลับตระกูลเย่ ดูสิว่าเย่หย่วนซานจะตอบแทนอะไรให้ฉัน” ฉินอี้โกรธจนสั่นไปทั้งตัว แทบจะกระอักเลือดอยู่รอมร่อ ตนเองที่อยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉินเป็นถึงคนรุ่นปู่ รวมไปถึงตำแหน่งที่ครอบครอง ต่อให้เป็นทั่วทั้งประเทศจีนก็ไม่มีใครกล้าด่าตนเองด้วยคำๆ นี้ ตอนนี้ถูกเย่เทียนเฉินที่เป็นคนรุ่นหลังด่า ฉินอี้ไหนเลยจะรับไหว
“ไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย คิดว่าพวกเราตระกูลฉินจะจัดการแกไม่ได้รึไง?” ฉินเทาหยวนขึ้นมาด้านบน ชี้จมูกเย่เทียนเฉินแล้วด่าอย่างเหี้ยมเกรียม
ผัวะ!
น่าเสียดายที่เย่เทียนเฉินไม่อยากคุยกับพ่อลูกสวะคู่นี้ จึงใช้เท้าเตะฉินเทาหยวนจนกระเด็นออกไปและตกลงบนพื้น ร้องอออกมาราวกับหมูถูกเชือด
ฉินอี้คิดไม่ถึงเลยว่า เย่เทียนเฉินจะถึงกับกล้าเตะฉินเทาหยวนจนกระเด็นทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าตนเอง เขาโกรธจนตะโกนลั่นดั่งเสียงฟ้าผ่าว่า “ไอ้ลูกเต่า วันนี้ฉันจะไม่ยอมให้แกไปจากตระกูลฉินแบบเป็นๆ แน่!”
“ไอ้แก่อันธพาล อย่ามาตะโกนใส่ฉันสิ ฉันรู้ว่าอำนาจอิทธิพลขของตระกูลฉินของแกไม่ใช่เล่นๆ แต่ฉันก็อยากจะบอกแกว่า ตระกูลเย่ของฉันไม่ได้รังแกกันง่ายๆ ต่อให้ตระกูลเย่ของฉันตกต่ำลงก็ไม่มีตระกูลไหนหาเรื่องได้” เย่เทียเนฉินกล่าวเสียงเย็น
ตระกูลเย่นั้นตั้งแต่ที่เย่หย่วนซานผู้อาวุโสตระกูลเย่ลงจากตำแหน่ง ก็เริ่มเดินบนเส้นทางที่ยากลำบาก เนื่องจากสามพี่น้องเย่หงไม่มีสักคนเดียวสามารถค้ำจุนตระกูลได้ รวมทั้งเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ววันๆ รู้จักแต่วางแผนแย่งชิงทรัพย์สมบัติ ทำให้ตระกูลเย่ยิ่งเสื่อมโทรม กระทั่งอันธพาเล็กๆ ในโลกใต้ดินของเมืองหลวงก็กล้าหาเรื่องตระกูลเย่ และกล้ารังแกตระกูลเย่ หากไม่ทำให้คนพวกนี้หวาดกลัวสักหน่อยล่ะก็ เกรงว่าต่อไปไม่ว่าใครก็คงกล้ามาขี้บนหัวตระกูลเย่เป็นแน่
เย่เทียนเฉินไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรที่จะส่งเสริมหรือไม่ส่งเสริมตระกูลเย่ แต่คิดถึงพ่อแม่และน้องสาวของตน จะอย่างไรก็นับว่าเป็นคนของตระกูลเย่ หากว่าสักวันหนึ่งตระกูลเย่ตกต่ำถึงขีดสุดจริงๆ เกรงว่าพวกเขาจะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นมีเพียงตระกูลเย่รุ่งเรื่องจึงจะสามารถทำให้ตัวตลกพวกนี้ไม่กล้ามาหาเรื่องพวกเขาอีก
“ใครก็ได้ ใครก็ได้ ฆ่าไอ้ขยะนี่ให้ฉันซะ!” ฉินอี้ตะโกน
ความจริงแล้วคนที่อยู่ในตำแหน่งเช่นฉินอี้ ไม่ได้โกรธเคืองง่ายๆ จะยินดีหรือจะโกรธก็ไม่แสดงสีหน้าออกมา แต่เดิมทีฉินอี้ก็เป็นคนโอหังมากคนหนึ่ง ต่อให้ตำแหน่งและอายุมาถึงเท่านี้แล้วก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยน รวมทั้งเขามีนิสัยปกป้องพรรคพวกถึงขีดสุด ครั้งที่แล้วหลานชายถูกทำร้าย ครั้งนี้ลูกชายของตนก็ถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา ที่สำคัญที่สุดคือเย่เทียนเฉินแบกโลงศพมาที่ตระกูลฉิน นี่เป็นการดูหมิ่นและเหยียดหยามตระกูลฉินอย่างหนึ่ง ฉินอี้ยอมรับไม่ได้อย่างแน่นอน หากไม่ฆ่าเย่เทียนเฉิน เกรงว่าตระกูลฉินของตนจะต้องกลายเป็นเรื่องขบขันที่สุดในเมืองหลวงแล้ว
เพียงแต่น่าเสียดาย เสียงตะโกนของฉินอี้ไม่อาจเรียกคนมาได้ ยอดบอดี้การ์ดถือปืนทั้งยี่สิบกว่าคนนี้นับเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลฉินแล้ว ตอนนี้ถูกเย่เทียนเฉินเตะจนหมอบอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น ไหนเลยจะมีแรงต่อสู้อยู่อีก ทำได้เพียงกุมส่วนที่เจ็บปวดและกรีดร้อง
เย่เทียนเฉินไม่สนใจไอ้แก่หัวยุ่งคนนี้อีกต่อไป เขาเดินไปยังฉีหรูเสวี่ยที่อยู่บนเวทีสำหรับพีธีหมั้น ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยน้ำตาไหลเต็มหน้าไปนานแล้ว จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า ความเพ้อฝันในใจของเธอจะเป็นจริง เย่เทียนเฉินมาแล้วจริงๆ
ที่ผ่านมาถูกคนในครอบครัวบีบบังคับให้แต่งกับคนที่ตนเองไม่ชอบ ต้องแต่งกับไอ้สวะฉินเหิงคนนี้ ในใจของฉีหรูเสวี่ยรู้สึกอยุติธรรมและเจ็บปวดอย่างยิ่ง เดิมทีคิดว่าชะตาชีวิตของตนเองใกล้จะถูกทำพังทลายไปแล้ว แต่ไม่คิดเลยวาการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินจะเปลี่ยนมันไป ดังนั้นความรู้สึกอยุติธรรมและความเจ็บปวดต่างก็ระเบิดออกมา ฉีหรูเสวี่ยร้องไห้ราวกับเด็กน้อย
“แกยังไม่ไสหัวไปอีก อยากเข้ามานอนในโลงรึไง?” เย่เทียนเฉินมองฉินเหิงอย่างเย็นชาแล้วกล่าวถาม
ฉินเหิงตกใจจนชะงักไป เขาเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้ที่ไหนกัน ที่ตอนนี้ยังพอมีความมั่นใจอยู่บ้างก็เพราะเขาจ้างยอดฝีมือไว้คนหนึ่ง ยอดฝีมือที่กล่าวได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ในประเทศจีน เพียงแต่ว่าทำไมคนคนนี้ถึงยังไม่ถึงอีก? หรือว่าถึงแล้ว และถูกฝีมือของเย่เทียนเฉินทำให้กลัวจนไม่กล้าโผล่ออกมาแล้ว?
“แก…เย่เทียนเฉิน ที่นี่คือตระกูลฉินของฉัน แกอย่าโอหังให้มากนักนะ!” ฉินอี้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ครึ่งค่อนวันกว่าจะพูดประโยคนี้ออกมาได้
“โอหัง? ฉันจะไปโอหังกว่าคุณชายตระกูลฉินของแกได้ที่ไหนกัน แต่ขอโทษเถอะ วันนี้ฉันจะมาโอหังที่ตระกูลฉิน แกคิดจะทำยังไงล่ะ?” เย่เทียนเฉินพูดกับฉินเหิงยิ้มๆ
“เย่เทียนเฉิน แกคิดถึงผลลัพธ์ให้ดีๆ ไปซะตอนนี้ก็ยังไม่สาย ไม่งั้นตระกูลเย่จะต้องถูกฆ่าล้างแน่” ฉินอี้กล่าวอย่างเหี้ยมโหด
“งั้นเหรอ? แต่ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่าไอ้ฆ่าล้างตระกูลนี่มันเป็นยังไง…”
ระหว่างที่เย่เทียนเฉินพูด ก็จับผมของฉินเหิง ดึงกระชากลงด้านล่างอย่างโหดเหี้ยม ศีรษะของฉินเหิงกระแทกเข้ากับลูกบอลคริสตัลอย่างรุนแรง เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดออกมา เดิมทีฉินเหิงที่ใกล้จะหายเป็นปกติแล้ว ตอนนี้รู้สึกได้ว่าบาดแผลบนศีรษะและใบหน้าของตนฉีกขาด ล้มลงกับพื้นกรีดร้องออกมาแทบจะขาดใจ ทำให้พวกฉีหรูเสวี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
นี่มันยังไม่พอ เย่เทียนเฉินหิ้วฉินเหิงขึ้นมาราวกับหิ้วไก่ โยนลงไปบนโต๊ะอาหารตัวยาวที่มีจานผลไม้อยู่เต็มโต๊ะจนโต๊ะที่ยาวสิบเมตรถูกกระแทกจนพลิก
ฉินเหิงที่เมื่อสักครู่ยังแหกปากตะโกนด่า ฉินเหิงที่ยโสโอหัง ฉินเหิงที่ยังมีความมั่นใจอันน้อยนิด ตอนนี้คว่ำลงกับพื้น ครึ่งเป็นครึ่งตาย เลือดไหลออกมาเต็มหัว เย่เทียนเฉินไม่ลงมือก็แล้วไปเถอะ แต่เมื่อลงมือก็จะทำให้คุณประทับใจอย่างลึกล้ำ เขาก็เป็นคนเช่นนี้เอง
ฉีหรูเสวี่ย ฉีหรูไห่ ฉีชางเซิ่ง ทั้งสามต่างก็ถูกเหตุการณ์นี้ทำให้อึ้งไปแล้ว พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะลงมือโหดเหี้ยม ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะอะไรหรือจะมีผลร้ายอย่างไร ก็เตะฉินเทาหยวนกระเด็นไปก่อน ตอนนี้ก็ยังอัดฉินเหิงอย่างแรง ไม่ใช่ว่าอีกสักครู่เขาจะอัดกระทั่งฉินอี้หรอกนะ? เช่นนั้นก็จะครึกโครมเกินไปแล้ว
“แก…แก…”
ฉินอี้โกรธจนปากสั่น จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองยโสโอหังมาชั่วชีวิต ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่อง ตอนนี้อายุมากแล้ว ตำแหน่งก็ยิ่งสูง แต่กลับต้องมาเจอเย่เทียนเฉินที่โอหังยิ่งกว่า อัดหลานชายและลูกชายของตนจนร้องอย่างอนาถ ช่างทำให้เขารับไม่ไหวเหลือเกิน
พลันนั้นเขาเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ รับไม่ได้กับฉากที่ลูกชายและหลานชายถูกอัดจนจนเลือดอาบ เบื้องหน้าของฉินอี้พลันดำมืด หมดสติล้มลงไปกับพื้น…
……………………………………..