เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 115 เข้าไปในโลงสิ!
การปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินทำให้พิธีหมั้นของฉีหรูเสวี่ยและฉินเหิงถูกยุติลงโดยตรง เริ่มจากยอดบอดี้การ์ดถือปืนทั้งยี่สิบกว่าคนที่ฉินเหิงดักซุ่มไว้ ถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นเรียงตัว ตามมาติดๆ ด้วยฉินเทาหยวนพ่อของฉินเหิงที่ถูกเย่เทียนเฉินถีบจนปลิว ส่วนตัวฉินเหิงเองก็ถูกเย่เทียนเฉินทำร้ายจนหัวแตกเลือดไหล บาดแผลเก่ายังไม่แทนหายก็มีแผลใหม่เพิ่มขึ้น นี่คือคำเตือนของเย่เทียนเฉินที่มีต่อเขา ต่อให้แผลหายก็จงอย่าได้ลืมความเจ็บปวด
ฉินเหิงและฉินเทาหยวนสองพ่อลูกต่างก็นอนหมอบอยู่กับพื้นอย่างลุกไม่ขึ้น ส่วนฉินอี้เมื่อเห็นว่าลูกชายและหลานชายถูกอัดจนร้องอย่างอนาถเกินจะทนไหว เย่เทียนเฉินคนนอกคนเดียวบุกเข้าตระกูลฉินของตน ลงมืออย่างกำเริบเสิบสาน พลันรู้สึกรับไม่ได้ โกรธจนส่งผลต่อหัวใจจึงสลบไสลลงไปบนพื้น
ตอนนี้คนที่ยังยืนอยู่ นอกจากเย่เทียนเฉินแล้วก็เหลือเพียงฉีหรูเสวี่ย ฉีชางเซิ่งและฉีหรูไห่ พวกเขาสามคนต่างมองเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึง กระทั่งฉีหรูไห่ก็ไม่เว้น เขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉิน ลูกหลานตระกูลเย่คนนี้จะกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ คนที่กล้าก่อเรื่องใหญ่โตในตระกูลฉินเช่นนี้เกรงว่าจะมีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
ตำแหน่งของฉีหรูไห่ก็ไม่แย่ หากต้องการเปรียบเทียบจริงๆ แล้วล่ะก็ ต่ำกว่าฉินอี้นิดหน่อยเท่านั้น และก็นับว่าเป็นคนรุ่นเก่าที่อยู่มานาน เรื่องของเย่เทียนเฉินเขาเองก็เคยได้ยิน เพียงแต่ไม่เคยใส่ใจ กล่าวคือ คนที่มีตำแหน่งฐานะเช่นพวกเขา ข่าวสารหลายอย่างเพียงแค่ฟังก็พอไม่ต้องสนใจ และไม่จำเป็นต้องใส่ใจ บางครั้งก็ฟังเพื่อความสนุก อย่างไรเสียอำนาจอิทธิพลใหญ่ๆ ในเมืองหลวงก็มีมากมาย ตระกูลใหญ่เองก็มีไม่น้อย บางครั้งก็ปรากฏลูกท่านหลานเธอที่ค่อนข้างโง่งมอยู่หลายคน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
การหมั้นหมายของเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยเมื่อปีนั้น ก็เป็นการตัดสินใจของฉีหรูไห่และเย่หย่วนซาน จุดประสงค์ก็เพื่อให้ตระกูลเย่และตระกูลฉีเกี่ยวดองกันอย่างแน่นแฟ้น แต่ด้วยความที่ว่าตระกูลเย่ตกต่ำลงทุกวัน ฉีหรูไห่จึงนึกเสียใจอยู่บ้าง บางครั้งการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลก็สำคัญมาก หากเชื่อมสัมพันธ์ได้ดีก็สามารถทำให้อำนาจอิทธิพลของตระกูยกระดับขึ้นมาก หากเชื่อมสัมพันธ์ได้แย่ ก็อาจจะทำให้ตระกูลของตนตกต่ำไปด้วย
ในตอนที่ฉีหรูไห่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ฉินเหิงแห่งตระกูลฉินก็เกิดต้องตาต้องใจ อยากได้คนงามอย่างฉีหรูเสวี่ยจนน้ำลายยืด จึงขอร้องให้ฉินอี้ปู่ของตนไปคุยกับตระกูลฉี ฉินเหิงทำเช่นนี้นับว่าไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย จึงแย่งชิงความรักจากเขา ฉินอี้เองก็ไม่เห็นตระกูลเย่ที่ตกต่ำอยู่ในสายตาเช่นกัน หากตระกูลเย่เป็นตระกูลใหญ่ ตระกูลฉินจะกล้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือ?
ฉินอี้โทรกริ๊งเดียวก็นัดหมายกับฉีหรูไห่ออกมาได้ ชายชราสองคนกำหนดการหมั้นหมายระหว่างฉีหรูเสวี่ยและฉินเหิงลงมา นี่ทำให้ภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่ฉีชางเซิ่งไปบ้านเดิมตระกูลเย่เพื่อขอถอนหมั้นด้วยตัวเอง
ตอนนี้ เย่เทียนเฉินทำให้ฉีหรูไห่เปลี่ยนมุมมองจริงๆ ไม่ว่าจะมีผลร้ายอะไรก็ตาม เจ้าหนุ่มคนนี้ก็ยังกล้าลงมือ กล้าบุกตระกูลฉิน ความกล้าหาญเช่นนี้ล้วนทำให้ผู้คนต่างรู้สึกนับถือ
“แก…แกจะทำอะไร?” ฉินเหิงเลือดท่วมหัว เจ็บจนเจียนตาย เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินมาหาตนเองก็ตกใจสติแจ่มชัดขึ้นมากว่าครึ่ง ขยับก้นถอยหลังพลางเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ทำอะไรหรอก โลงศะหลังนี้มันว่าง ยังไงแกก็เข้าไปนอนสักหน่อย จะได้ใช้ประโยชน์ของมันบ้างดีไหม?” เย่เทียนเฉินพูดกับฉินเหิงด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ ไม่ สะ…สหายเย่ พี่เย่ ผม ผมผิดไปแล้ว ผมไม่กล้าหาเรื่องคุณแล้ว คุณปล่อยผมไปเถอะ…”
ฉินเหิงตกใจจนโง่งมไปแล้ว เขารู้ดีว่าเย่เทียนเฉินเป็นพวกพูดจริงทำจริง จะต้องโยนเขาเข้าไปในโลงศพแน่นอน ตนเองยังมีชีวิตอยู่ สามารถจินตนาการเหตุการณ์นั้นได้เลย ยามเมื่อคุณยังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ และมีคนต้องการยัดคุณเข้าไปในโลงศพสีดำทั้งโลงที่เป็นสิ่งนำพาโชคร้าย นั่นจะเป็นสถานการณ์แบบไหนกัน? เพียงแค่คิดก้ทำให้ผู้คนต้องชาวาบไปถึงหัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกใส่เข้าไปเลย
“สายไปแล้ว ฉันพูดคำไหนคำนั้นมาตลอด ต่อให้ในเป็นฝันก็พูดคำไหนคำนั้น” ตอนที่เย่เทียนเฉินเอ่ย ก็คว้าเข้าที่ไหล่ของฉินเหิง หิ้วเขาขึ้นมาราวกับหิ้วไก่ตัวหนึ่ง เดินมุ่งไปยังโลงศพสีดำหลังใหญ่ทีละก้าวทีละก้าว
“อย่า สหายเย่ ไว้ชีวิตด้วยเถอะ ไว้ชีวิตด้วย…” ฉินเหิงดิ้นสุดกำลัง น่าเสียดายที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ว่าตนเองจะถูกจับยัดเข้าไปในโลงศพได้เลยแม้แต่น้อย ร่างกายของเย่เทียนเฉินในตอนนี้แม้ว่าจะยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหากับการรับมือคนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
ปัง!
เย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบฝาของโลงศพสีดำให้เปิดออก ฉินเหิงเห็นดังนั้นก็หน้าซีด รวมกับที่เขามีเลือดท่วมหัว ก็ยิ่งดูน่าอนาถ กลัวจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา เขาในตอนนี้รู้สึกเสียใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่กล้าหาไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน ไม่ควรท้าทายเย่เทียนเฉินเลย เย่เทียนเฉินเป็นมารร้ายตนหนึ่ง แถมยังเป็นมารร้ายที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ไปหาเรื่องเขาก็เป็นการรนหาที่ตายโดยสิ้นเชิง
“พี่เย่ สหายเย่ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่กล้าท้าทายคุณอีกแล้ว ปล่อยผมไปเถอะ ผม ผม ผมไม่หมั้นกับฉีหรูเสวี่ยแล้ว ผมยกเธอให้คุณ ยกให้คุณ…” ฉินเหิงหวาดกลัวจนคิดทุกวิถีทางเพื่อร้องขอชีวิต
ตุ้บ!
ฉินเหิงถูกโยนเข้าไปในโลงศพสีดำ ศีรษะกระแทกบนไม้โลงจนรู้สึกหน้ามืดจวนจะเป็นลม เย่เทียนเฉินใช้มือขวาหยิบฝาโลงขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ถึงยัยบ๊องนั่นจะน่าเกลียด แถมยังเกเรมาก แต่แกก็ไม่คู่ควรกับเธอ!”
ฉินเหิงที่น่าสงสาร ถูกเย่เทียนเฉินโยนเข้าไปในโลงศพ แล้วยังถูกฝาโลงปิดขังเอาไว้อีก เขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง ไม่สมควรเลย ไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่สมควรที่จะไปหาเรื่องเย่เทียนเฉินมารร้ายตนนี้เลย เย่เทียนเฉินคือมัจจุราช หากคิดได้สักหน่อยก็จะรู้ว่าใครก็ไม่อาจหาเรื่องมัจจุราชไม่ได้
เย่เทียนเฉินบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง หันตัวเดินมุ่งไปยังประตูใหญ่ของบ้านตระกูลเฉินโดยไม่ได้พูดอะไรกับฉีหรูเสวี่ย และไม่สนใจฉีหรูไห่และฉีชางเซิ่งด้วย สิ่งที่เขาควรจะทำก็ทำไปแล้ว สั่งสอนฉินเหิง ปลดปล่อยฉีหรูเสวี่ยให้พ้นทุกข์ มันก็ง่ายๆ แค่นี้เอง ส่วนคนอื่นจะมองอย่างไร จะคิดอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของคนอื่นแล้ว
ต่อให้มาถึงขั้นนี้แล้ว แขกเหรื่อใจกล้าก็ยังคงยืนชมอยู่ไม่ไกล ตอนที่พวกเขาเห็นเย่เทียนเฉินนำฉินเหิงใส่เข้าไปในโลงศพ ก็ตกใจจนคางแทบหลุด เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ได้สนใจ ยังคงเป็นเช่นเดิมคือ ขอเพียงผู้อื่นไม่มาหาเรื่องเขา เขาก็จะไม่ลงมือมั่วซั่วเหมือนคนบ้า
“นี่ นาย นายจะไปไหน?” ฉีหรูเสวี่ยเห็นเย่เทียนเฉินจะเดินไปก็มีปฏิกริยากลับมาจึงรีบตะโกน
“กลับบ้านไง ไม่มีอะไรให้เล่นแล้ว ถ้าไม่กลับบ้านจะให้อยู่กินข้าวรึไง?” เย่เทียนเฉินหันมามองฉีหรูเสี่ยแล้วเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“นาย ฉัน ฉันจะกลับไปกับนาย” ฉีหรูเสวี่ยพูด ใบหน้าเล็กๆ ของเธอแดงระเรื่อ
“หา? อย่าดีกว่า ฉันไม่ชอบให้มียัยทึ่มคอยตามฉันไปหรอกนะ” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้าเบาๆ
“นาย…” ฉีหรูเสวี่ยโกรธจนทำให้ใบหน้าอันน่ารักของเธอดูดุดัน กำหมัดอันขาวผ่องแน่น อยากจะอัดเย่เทียนเฉินสักหลายๆ หมัด เจ้าหมอนี่น่ารังเกียจจริงๆ ตัวเองสวยดั่งนางฟ้านางสวรรค์ ถึงกับกล้ามาว่าตนเองเป็นยัยทึ่ม หักหน้ากันจริงๆ
“บายบาย อย่าตามฉันมาล่ะ ฉันไม่ชอบอยู่กับคนน่าเกลียด!”
พูดจบ เย่เทียนเฉินก็เดินจากไปโดยไม่กลับมาอีก ฉีหรูเสวี่ยโกรธจนกระทืบเท้า กำหมัดขาวๆ แน่น คนคนนี้ไร้อีคิวสิ้นดี ทำให้ผู้คนโกรธแทบตายจริงๆ
ฉีชางเซิ่งเห็นเงาหลังของเย่เทียนเฉินจากไป ก็อดคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาไม่ได้ จากนนั้นจึงถามฉีหรูไห่ผู้เป็นพ่อด้วยเสียงเบาว่า “พ่อครับ ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี?”
“ไปเถอะ การหมั้นของหรูเสวี่ยกับฉินเฉิงก็จบลงแค่นี้แล้ว” ฉีหรูไห่เองก็มองเงาหลังของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“รู้แล้วครับ!” ฉีชางเซิ่งพยักหน้ากล่าว
“จริงสิ ปัญญาเรื่องความรู้สึกของหรูเสวี่ย พวกเราก็อย่าไปยุ่งอีก หากว่าเธอสามารถอยู่กับเย่เทียนเฉินได้จริงๆ บางทีคงไม่เลวนัก…” ฉีหรูไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ได้ยินคำพูดของฉีหรูไห่ผู้เป็นพ่อ ฉีชางเซิ่งก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป เขาไม่คิดเลยว่าฉีหรูไห่จะถึงกับเปลี่ยนความคิด ต้องทราบว่าฉีชางเซิ่งเข้าใจฉีหรูไห่ผู้เป็นพ่ออย่างมาก ปกติเรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ ก็เหมือนกับครั้งนี้ที่ฉีหรูไห่ตัดสินใจยกเลิกการหมั้นกับตระกูลเย่ แล้วมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลฉิน แม้ว่าบางครั้งฉีชางเซิ่งจะเจ็บปวดใจแทนลูกสาว และเคยเลียบๆ เคียงๆ ให้พ่อเปลี่ยนใจ แต่ก็ไมเคยได้ผล
ดูแล้วฉีหรูไห่ผู้เป็นพ่อจะมองเย่เทียนเฉินในแง่ดีเข้าแล้วจริงๆ เย่เทียนเฉินปรากฏตัวที่คฤหาสน์ตระกูลฉินอย่างมีสีสันเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้หลายๆ คนได้เปิดหูเปิดตา ใครก็คิดไม่คิดว่าบุคคลที่เคยเป็นตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง ตอนนี้จะร้ายกาจเช่นนี้ ดูเหมือนจะมีแววรุ่งเรืองขึ้นทีละน้อย นี่ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อื่นๆ รู้สึกอันตราย การที่ตระกูลหนึ่งๆ รุ่งเรืองขึ้นมา ย่อมส่งผลกระทบต่ออำนาจของพวกเขา โดยเฉพาะเหล่าผู้ทรงอิทธิพลที่โหดเหี้ยม พวกเขาไม่ปล่อยให้เย่เทียนเฉินพัฒนาไปมากกว่านี้แน่…
เย่เทียนเฉินไปจากคฤหาสน์ตระกูลฉินแล้ว ในตอนที่เดินออกไปไม่มีใครกล้าขวางเขาแม้แต่คนเดียว กระทั่งฉินเหิงและฉินเทาหยวนก็ยังกล้าทำร้าย และยังทำให้ฉินอี้โกรธจนล้มลงกับพื้น ชายที่ห้ามหาญขนาดนี้ คนธรรมกาก็กล้าไปหาเรื่องที่ไหนกัน
ฉีหรูเสวี่ยถูกฉีชางเซิ่งและฉีหรูไห่พาตัวไป ไม่ทันไรมีก็รถตำรวจและรถพยาบาลมาถึง ฉินอี้ ฉินเทาหยวนและฉินเหิง ทั้งสามถูกหามขึ้นรถพยาบาล นายตำรวจที่ซวยที่สุดสองนาย ไม่ง่ายเลยกว่าจะเปิดฝาโลงและช่วยฉินเหิงออกมาได้ ฉินเหิงตาเหลือก น้ำลายฟูมปาก ดูแล้วเป็นอาการตกใจจนผวา รวมกับศีรษะได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง สิ้นท่าไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ยามนี้ เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลฉิน เดินทอดน่องอยู่บนถนนที่โอบล้อมไปด้วยป่าไผ่ เขาเดินช้ามาก และไม่ได้จากไปเร็วนัก เพราะชั่วพริบตาที่เขาเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลฉิน เขาก็รู้สึกได้ถึงการผันแปรของพลังงานอันรุนแรงกำลังตามเขามา ราวกับพร้อมที่จะลงมือฆ่าตนเองได้ทุกเมื่อ
เย่เทียนเฉินหยุดยืนอยู่บนถนนเล็กๆ ท่ามกลางป่าไผ่ หยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่งแล้วสูบเข้าไป จากนั้นจึงเปลี่ยนทิศทาง เดินเข้าไปในป่าไผ่ข้างๆ เขาอยากจะเห็นสักหน่อยว่าตกลงแล้วเป็นใครที่ถึงกับสามารถสะกดรอยตามตนเองมาได้
เพิ่งจะเดินเข้าไปถึงส่วนลึกของป่าไผ่ ก็มีเสียงฟิ้วดังขึ้น มีดบินเล่มหนึ่งพุ่งมายังศีรษะของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ว่าพลังของมีดบินที่ถูกเขวี้ยงเข้ามาแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็สามารถทะลุไผ่สิบต้นติดๆ กันได้โดยไม่มีปัญหา ผู้ที่มาย่อมเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นไปได้ว่าจะเป็นยอดฝีมือด้านอาวุธลับคนหนึ่ง
………………………………….