เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 125 การช่วยเหลือที่มีเงื่อนไข
“ฉินอี้ตายแล้ว นี่เป็นจุดสำคัญของปัญหา ภายในกลุ่มพวกระดับสูง มีคนส่วนหนึ่งที่เข้าข้างฉินอี้ พวกเขาจะต้องถือโอกาสซ้ำเติมแน่ สิ่งที่พ่อกังวลที่สุดไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะมีใครมีซ้ำเติม แต่เป็นเรื่องที่จะมีคนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไปทำบทความ ไม่เพียงต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินแต่ยังกำจัดตระกูลเย่ของพวกเราได้อีกด้วย” เย่หย่วนซานกล่าวพลางขมวดคิ้ว
เย่หงได้ยินคำพูดของเย่หย่วนซานก็ตกตะลึง เขารู้ว่าเรื่องที่พ่อกังวลไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ในเมืองหลวง ตระกูลและกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลที่สามารถอยู่รอดได้ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กล้วนจำเป็นต้องมีเพื่อน และต้องมีศัตรู เช่นตระกูลเย่ ผู้อาวุโสตระกูลเย่ เย่หย่วนซานเคยเป็นผู้ตำรงดำแหน่งระดับสูงมาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องล่วงเกินคนไปไม่น้อย เพื่อตำแหน่งราชการ หากไม่ล่วงเกินคนอื่นนั้นเป็นไปไม่ได้ ศัตรูเหล่านี้อาจจะมีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ศัตรูที่แอบอยู่เบื้องหลังทำให้มองได้ยากที่สุด ไม่รู้ว่าจะจะโผล่ออกมามอบความตายให้เมื่อไหร่
“เฉินเซิงผู้บัญชาการว่าการกระทรวงความมั่นคงสอบถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พอลงมือก็ส่งกูตู๋อ๋างไปจับเทียนเฉิน ผมคิดว่าเรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในแน่” เย่หงอดไม่ได้ที่จะใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมา
“เฉินเซิงใกล้ชิดกับตระกูลลั่วมาก พ่อคิดว่ามีสาเหตุมาจากลั่วซงเฉิง!” เย่หย่วนซานเป็นคนจากรุ่นก่อน แม้จะชราแล้วแต่ก็ไม่ถึงขั้นเลอะเลือน พริบตาเดียวก็มองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“พ่อคะ ลูกได้ยินว่าเมื่อก่อนเฉินเซิงและลั่วซงเฉิงเป็นเพื่อร่วมรบกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีมาตลอด เรื่องของตระกูลลั่ว แม้จะถูกหยางอี้กดดัน แต่ครอบครัวลั่วซงเฉิงจะต้องโกรธแค้นอยู่ในใจแน่นอน พวกเขาจะต้องใช้ประโยชน์จากโอกาสในครั้งนี้จัดการเทียนเฉินให้ตายแน่ค่ะ” หลัวเยี่ยนกล่าวอย่างรอนใจ
“เรื่องนี้ตระกูลลั่วจะต้องแอบฉวยโอกาสซ้ำเติมแน่นอน ส่วนพวกเขาจะร่วมมือกับเฉินเซิงหรือไม่นั้นก็ไม่รู้ ยังไงซะก็เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว เฉินเซิงที่มีฐานะเป็นผู้บัญชาการว่าการกะทรวงความมั่นคงจะต้องออกหน้าแน่ เวลาแบบนี้พวกเราเดามั่วๆ ไม่ได้ การมีศัตรูเพิ่มขึ้นมาอีกคนจะยิ่งไม่เป็นผลดีกับพวกเรา” เย่หย่วนซานเอ่ย
“ครับ ดูท่าตอนนี้พวกเราทำได้เพียงเดินไปทีละก้าว รอดูก่อนว่าท่านหยางจะพูดยังไง หากเขาสามารถกดเรื่องนี้ไว้ได้ก็จะดีที่สุด” เย่หงกล่าวแล้วพยักหน้า
“พ่อติดต่อคนรู้จักสมัยก่อนแล้ว หวังว่าจะผลักดันเรื่องนี้ไปถึงผู้นำสูงสุดได้ พยายามให้จัดการเรื่องของเทียนเฉินอย่างเบาที่สุด”
เย่หย่วนซานเองก็ไม่อาจมั่นใจได้ หลังจากที่เย่เทียนเฉินหลานชายของตนกลับมาที่เมืองหลวงก็ก่อเรื่องมาติดๆ กัน ทั้งยังเป็นเรื่องที่ครึกโครมมากด้วย นี่ทำให้เย่หย่วนซานเปลี่ยนมุมมอที่มีต่อเย่เทียนเฉิน กระทั่งมอบความหวังในเรื่องความรุ่งเรืองของตระกูลเย่ไว้กับเย่เทียนเฉิน ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไปก่อนเรื่องใหญ่ที่ตระกูลฉิน ฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย ทั้งสะเทือนเลื่อนลั่นและยังส่งผลกระทบมากมาย จนดูเหมือนจะปิดเอาไว้ไม่อยู่ ยุ่งยากมาก
เดิมทีในใจเย่หย่วนซานก็เห็นด้วยกับการกระทำของเย่เทียนเฉินในสมัยก่อน หากต้องการยืนในเมืองหลวงที่มีผู้ทรงอิทธิพลและตระกูลใหญ่จำนวนมากให้ได้อย่างมั่นคง จะไม่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนั้นไม่ได้อย่างแน่นนอน มีผู้ทรงอิทธิพลมากมายที่เดินอยู่บนเส้นทางแห่งการฆ่า ฆ่าคนทั้งเป็นเพื่อเปิดเส้นทางสายเลือด ฆ่าผู้ทรงอิทธิพลและตระกูลใหญ่อื่นๆ จนคนอื่นไม่กล้าหาเรื่องง่ายๆ ถึงจะยืนอยู่ในเมืองหลวงได้
แต่ครั้งนี้เขารู้สึกว่าเย่เทียนเฉินใจร้อนเกินไป ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง มีอิทธิพลในเมืองหลวงมาก รวมกับที่ฉินอี้กำลังดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้นำระดับชาติ อิทธิพลก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก ต่อให้อยากแตะต้องตระกูลฉินก็ควรจะรอไปก่อน รอโอกาสให้สุกงอมสักหน่อย รอให้ตัวเองแข็งแกร่งกว่านี้อีกนิด แตะต้องตระกูลฉินตอนนี้ยังเร็วเกินไป
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินและชางหลางได้มาถึงสถานที่ตั้งของห้องทำงานของหยางอี้แล้ว ครั้งนี้เย่เทียนเฉินตามชางหลางเข้าไปได้อย่างสบายๆ ไม่มีทหารคนไหนมาขวางเย่เทียนเฉิน มีแค่สายตาสงสัยเท่านั้น ครั้งนี้เรื่องตระกูลฉินใหญ่โตมาก ดูเหมือนว่าจะรู้กันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ทุกคนกำลังดูอยู่ ทุกคนกำลังจับจ้องเย่เทียนเฉินอยู่ ต้องการเห็นว่าจะมีจุดจบอย่างไร เย่เทียนเฉินจะตายอย่างอนาถหรือไม่
เมื่อเดินเข้าไปในห้องทำงานของหยางอี้กำลังเซ็นอนุมัติเอกสารอยู่ เย่เทียนเฉินยังคงทำเหมือนครั้งที่แล้ว นอนลงบนโซฟายาวข้างๆ ท่าทางสบายอกสบายใจเป็นอย่างมาก ชางหลางจ้องเจ้าคนไร้มารยาทอย่างดุดัน ก่อนจะเดินไปเบื้องหน้าหยางอี้ กล่าวรายงานอย่างเคารพ “หัวหน้าครับ ผมพาเย่เทียนเฉินมาแล้วครับ!”
“ทางด้านอื่นมีข่าวอะไรมารึเปล่า?” หยางอี้ถามออกมาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอ ยังคงเซ็นเอกสารต่อไป
“เฉินเซิงส่งกูตู๋อ๋างไปจับไอ้หนูนี่ โชคดีที่ผมไปทันเวลา ส่วนตระกูลลั่วเหมือนจะมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย เหมือนกับว่าเตรียมทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้น!” ชางหลางพูด
“อืม คุณออกไปเถอะ มีข่าวอะไรก็ให้มารายงายผม อย่าลืมส่งพวงหรีดไปให้ตระกูลฉินด้วย”
“ครับ!”
ชางหลางออกไปจากห้องทำงาน เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้สนทนากับหยางอี้ในทันที ส่วนหยางอี้ยังคงเซ็นเอกสารต่อไป ราวกับว่าทั้งคู่กำลังรอ รอว่าใครจะเอ่ยปากก่อน
เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนโง่ ตอนที่ชางหลางมาช่วยแล้วพูดออกมาว่าหยางอี้อยากจะช่วยเขา เขาก็รู้สึกได้เลยว่ามีเรื่องแล้ว ถึงเขาจะเจอหยางอี้แค่ครั้งเดียว สนทานากันครั้งเดียว แต่ก็ยังรู้สึกนับถือชายชราคนนี้มากจริงๆ ตอนที่จริงจังก็ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามจนไม่อาจล่วงเกินได้ พอขี้เล่นขึ้นมาก็ทำให้เขาช็อกได้เลย
หยางอี้เปิดเอกสารอ่านอยู่ตลอด ทั้งยังไม่ทักทายเย่เทียนเฉิน คนคนนี้ไม่ต้องการให้ตนทักทาย แต่ละคนดื่มน้ำที่อยู่ข้างๆ หยิบผลไม้กินเป็นระยะๆ เกรงว่าคนที่อยู่ต่อหน้าท่านหยางแล้วยังสบายใจเช่นนี้ได้โดยไม่อึดอัดเลยสักนิด คงจะมีแต่ครอบครัวของเขาและเย่เทียนเฉินเท่านั้น
เย่เทียนเฉินนอนบนโซฟาจนหลับไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังกรนออกมาอีกต่างหาก หยางอี้เห็นแล้วก็รู้สึกอับจนคำพูด ขนาดเขายังอยากพุ่งเข้าไปอัดเย่เทียนเฉินแรงๆ สักยก ในใจคิดว่าไอ้หนูนี่ยังสงบได้อยู่อีก ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นยังกินได้นอนได้ แล้วยังถึงกับมาหลับบนโซฟาในห้องทำงานของตน กรนออกมาเสียงดัง ทำให้ผู้อื่นอับจนคำพูดจริงๆ
ความจริงหยางอี้คิดจะรอให้เย่เทียนเฉินเอ่ยปากก่อน แบบนี้เขาก็จะเป็นฝ่ายคุมเกมได้ ถึงตอนนั้นต้องการให้เย่เทียนฉินทำอะไร ไอ้หนูนี่ก็จะปฏิเสธไม่ได้ นี่สำหรับเย่เทียนเฉินเท่านั้น หากเป็นคนอื่นแค่อาศัยคำพูดของหยางอี้ประโยคเดียว ใครจะกล้าไม่รับคำสั่งอย่างนอบน้อมกัน? เนื่องจากนิสัยของเย่เทียนเฉินทำให้คนมองไม่ออก ตอนที่จริงจังขึ้นมาก็เป็นดั่งเทพแห่งความตาย ตอนขี้เล่นขึ้นมาก็เป็นดั่งอันธพาล ขนาดหยางอี้ก็รู้สึกหมดหนทางกับไอ้หนูนี่ ทำได้เพียงใช้วิธีการแบบนี้ทำให้เย่เทียนเฉิน “อ้อนวอน” ออกมาเอง
“ไอ้หนูอย่างนายคงไม่คิดจะนอนยันสว่างหรอกนะ?” หยางอี้เดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน มองไปด้วยใบน้ามืดครึ้มพลางกล่าวถาม
“ฮี่ๆ ท่านผู้เฒ่า คุณไม่สนใจผม ผมก็ทำได้แค่นอนแล้วล่ะครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินลืมตา หัวเราะฮี่ๆ ออกมา
หยางอี้มองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่งแล้วจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานของตน มองเย่เทียนเฉินพลางกล่าว “ไอ้หนู ครั้งนี้ก่อเรื่องใหญ่เลยเชียวนะ ขนาดฉินอี้ก็ตายไปแล้ว ฉันจะดูสิว่านายจะหยุดมันยังไง…”
“เห้อ ผมเองก็ไม่คิดว่าร่างกายคนแก่จะบอบบางขนาดนี้ ถึงกับโมโหจนโรคหัวใจกำเริบตาย นี่จะโทษผมไม่ได้นะครับ ต้องโทษตัวเขาเองที่อ่อนแอเกินไป!” เย่เทียนเฉินส่ายหัว พูดด้วยท่าทางไม่เกี่ยวกับตน
ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หยางอี้รู้สึกอยากจะเขวี้ยงถ้วยชาในมือออกไปซัดหน้าเย่เทียนเฉินให้ตาเขียวสักหน่อยค่อยพูดกันต่อ เห็นชัดๆ ว่าเขาทำให้ฉินอี้ตกใจจนตายทั้งเป็น ยังกล้ามาทำท่าทางว่าไม่เกี่ยวกับตนเองอีก เดิมทีฉินอี้ก็มีนิสัยฉุนเฉียวง่ายอยู่แล้ว รวมกับที่อายุมาก พอเห็นลูกชายตัวเองถูกทำร้าย เห็นหลานถูกเย่เทียนเฉินโยนเข้าไปในโลงศพ ไม่โกรธจนกระอักเลือดออกมาสิแปลก เขามีฐานะเป็นรองผู้นำระดับชาติ เป็นครั้งแรกที่ได้รับความอัปยศถึงขนาดนี้ ต่อให้เป็นคนอื่นก็เกรงว่าจะรับไม่ไหว
“งั้นนายคิดจะทำยังไงต่อไป? เฉินเซิงก็ลงมือแล้ว เรื่องตระกูลฉินก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ฉันเดาได้เลยว่าไอ้หนูอย่างนายต้องตายแน่นอน!” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินพลางกล่าว
“ไม่มั้งครับ? ร้ายแรงถึงขั้นตายแน่นอนเลยเหรอ? ผมคิดว่าไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก อีกอย่าง ผมไม่สนว่ามันจะร้ายแรงขนาดไหน ไม่ใช่ว่ายังมีผู้เฒ่าคุ้มครองอยู่หรือครับ? คุณจะต้องไม่นั่งมองโดยไม่สนใจแน่ คุณเป็นทัพหน้าผู้มีความยุติธรรม คงไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฏหมายหรอกนะครับ” เย่เทียนเฉินมองหยางอี้พลางกล่าว
หยางอี้มองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างสนุกสนานที่มุมปาก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “นี่น่ะหรือ ก็ต้องดูท่าทีของนายด้วย ความจริงเรื่องนี้ฉันก็กดเรื่องให้เงียบได้ยากอยู่ ยังไงซะเบื้องบนก็ยังมีคนอยู่ข้างฉินอี้ พวกเขาจะต้องหาทางทำให้นายตายแน่นอน!”
“ผู้เฒ่าครับ ผมก็เดาได้ว่าคุณมีภารกิจอยู่นะครับ ผมก็คิดว่าทำไมคุณถึงได้มีเจตนดีที่จะช่วยเหลือผมขนาดนี้ ที่แท้ก็มีเรื่องรอผมอยู่นี่เอง…” เย่เทียนเฉินกล่าวแล้วเบ้ปาก
“รู้ดีจังเลยนะ ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ ด้วยการพูดจาสองสามคำ แล้วก็ไม่ใช่ว่านายจำคุกหลายปีก็จะสามารถผ่านไปได้ นายต้องรู้ว่าครั้งนี้ไปหาเรื่องตระกูลอะไร คนที่ตายเป็นใคร พูดมาคำเดียว จะทำหรือไม่ทำ หากไม่ทำก็เดินออกไปตอนนี้เลย ฉันเชื่อว่าด้านนอกมีคนจำนวนมากรอจับนายอยู่” หยางอี้ทำท่าทางขี้เกียจจะเล่นด้วยแล้ว เข้ามาสู่กับดักของฉันอย่างเชื่อฟังซะเถอะ
“บีบเป็ดให้ทำเรื่องที่ไม่ถนัดจริงๆ เสียดายที่ผมไม่ใช่เป็ด ขอโทษด้วยครับท่านผู้เฒ่า คนที่จะจับผมด้านนอกพวกนั้น จะจับผมได้หรือเปล่ายังต้องรอดูกันไป…” เย่เทียนเฉินลุกขึ้น เป็นตัวของตัวเองจริงๆ ถึงกับไม่ไว้หน้าหยางอี้เลย เดินมุ่งหน้าไปยังนอกประตู
“รู้ว่านายมีฝีมือแข็งแกร่ง แต่พ่อแม่นายล่ะ น้องสาวนายล่ะจะทำยังไง? จะต้องมีนักฆ่ามากมายตามไปฆ่าแน่ เป็นไปได้มากว่านายไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงหรือกระทั่งในประเทศได้อีกต่อไป พอนายจากไป พ่อแม่และน้องสาวของนายก็จะถูกดึงเข้าไปพัวพัน ถึงตอนนั้น…” หยางอี้กล่าวเสียงเรียบ
“ใครกล้าแตะต้องครอบครัวผม ต่อให้เป็นเทพเซียนผมก็จะฆ่า!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่ลังเลโดยฉับพลัน
หยางอี้อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ความบ้าอำนาจและบุคลิกของเขาไม่อ่อนแอแน่นอน แต่กลับถูกกลิ่นอายอำนาจที่แผ่ออกมาจาตัวเย่เทียนเฉินทำให้ตกใจ ไอ้หนูนี่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมากจริงๆ กล้าเสียจนใครก็ขวางไม่ได้
…………………………..