เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 131 ซูเฟยเฟยลงมือแล้ว
กูตู๋อ๋างยืนอยู่เบื้องหน้าเฉินเซิง ในใจรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขารู้ว่าเฉินเซิงโกรธและรู้ ว่า การที่จับกุม เย่เทียนเฉินไม่ได้ในครั้งนี้ เป็นการ ขาย หน้า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ของพวกเขาอย่างรุนแรง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น มา ก่อน
เฉินเซิงออกคำสั่งจับกุม คน ด้วยตัวเอง ไม่ต้อง พูดถึง ลูกหลาน ตระกูลเย่ซึ่งเป็นตระกูลที่ตกต่ำเลย ต่อให้ เป็น คน ตระกูล ฉินเขาก็ยังกล้าจับกุม เพียงแต่เขาจะทำหรือไม่ก็เท่านั้น แค่เพียงสั่งลงไปเท่านั้น แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นคือเฉินเซิงมีอำนาจเช่นนี้ มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ
ครั้งนี้เฉินเซิงส่งกูตู๋อ๋างไปจับเย่เทียนเฉินด้วยตัวเองก็เพราะไม่ต้องการให้มีข้อผิดพลาด เรื่องตระกูลฉินในครั้งนี้ใหญ่โตมาก อีกทั้ง ยัง เกี่ยวพันไปถึงผลประโยชน์มากมาย
รวมกับที่ลั่วซงเฉิงโทรหาเขาด้วยตัวเองจึงต้องใส่ใจยิ่งขึ้น ดังนั้นถึงได้ส่งกูตู๋อ๋างไปปฏิบัติการด้วยตัวเองและให้พาบอดี้การ์ดสิบกว่าคนไปจับเย่เทียนเฉินเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้น เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรกูตู๋อ๋างไม่เคยลงมือพลาดมาก่อน ฝีมือของคนคนนี้แข็งแกร่งมาก
เฉินเซิงมองกูตู๋อ๋างที่ไม่พูดไม่จาในใจก็ยิ่งโมโห เดิมทีหากสามารถจับกุมเย่เทียนเฉินได้ก็จะมีประโยชน์กับเขามาก ต้องทราบว่าครั้งนี้ตระกูลที่เย่เทียนเฉินล่วงเกินก็คือตระกูลฉิน กระทั่งฉินอี้ก็ตายไปแล้ว เรื่องราวยากที่จะกลายเป็นดีไปได้
ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นขั้วอำนาจที่ปกป้องเย่เทียนเฉินก็ดี ขั้วอำนาจที่ต้องการถือโอกาสนี้ฆ่าแย่เทียนเฉินก็ดี ทั้งหมดต่างก็มาขอร้องเขา เขาจึงต้อนรับขับสู้ทั้งซ้ายขวาและฉกฉวยผลประโยชน์มากมาย เพียงแค่รอเวลาดูว่าสุดท้ายขั้วอำนาจไหนจะแข็งแกร่งที่สุดแล้วค่อยเลือกเข้าพวก สำหรับเขาแล้วความเป็นความตายของเย่เทียนเฉินไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดนั้น
ไหนเลยจะรู้ว่า กูตู๋อ๋างไปด้วยตัวเองแล้วก็ยังไม่อาจจับตัวเย่เทียนเฉินกลับมาได้ นี่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของเฉินเซิงไปมาก ทั้งยังทำลายแผนการอันงดงามทั้งหมดในใจของเขาอีกด้วย จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร?
ตรงนี้ไม่พูดไม่ได้ว่า เรื่องเหล่านี้ในวงการของข้าราชการห้ามคิดตื้นเกินไปอย่างเด็ดขาด ต่อให้เป็นคำพูดแค่ประโยคเดียวก็สามารถแฝงไปด้วยผลประโยชน์ได้ สามารถทำให้คุณบินขึ้นสูงและสามารถทำให้คุณตกต่ำจนไม่อาจฟื้นฟูได้
“ถ้าหากนายไม่สามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับฉันได้ ฉันก็ทำได้เพียงพักงานนาย ให้นายไปพักผ่อนซะ!” เฉินเซิงพูดแล้วมองกูตู๋อ๋าง
“ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากครับ” กูตู๋อ๋างไม่พูดอะไรมาก กล่าวเพียงประโยคนี้เท่านั้น
“แข็งแกร่งมาก? งั้นบอดี้การ์ดสิบกว่าคนที่นายพาไปอ่อนแอหรือไง? นายที่สามารถสู้กับชางหลางได้อ่อนแอหรือไง? ฉันคิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนก็คงไม่สามารถติดปีกบินหนีไปได้หรอกใช่ไหม?”เฉินเซิงตะโกนใส่กูตูอ๋างอย่างไม่สบอารมณ์
“ตอนที่ผมกำลังจะจับกุมเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็ปรากฏตัวออกมา… ”กูตู๋อ๋างพูดแล้วมองไปยังเฉินเซิง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของกูตูอ๋าง เฉินเซิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าชางหลางเองก็ไปด้วย ชางหลางเป็นใคร? เป็นคนของหยางอี้ เขาไปด้วยตัวเองเช่นนี้กว่าครึ่งย่อมต้องเป็นคำสั่งของหยางอี้ หากว่ากันด้วยเรื่องตำแหน่ง เขาเฉินเซิงไม่อาจเทียบได้กับ หยางอี้ได้โดยสิ้นเชิง การที่หยางอี้สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ย่อมไม่อาจละเลยได้
“เป็นคำสั่งของหยางอี้ ที่สั่งให้ชางหลางพาตัวเย่เทียนเฉินไปเหรอ?” เฉินเซิงถาม อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“ถึงชางหลางจะไม่ได้พูด แต่ผมรู้สึกได้ว่าเป็นคำสั่งของหยางอี้ ไม่งั้นชางหลางคงไม่มาคนเดียวหรอกครับ! ”
“งั้นนายออกไปก่อนเถอะ เรื่องนี้อย่าเพิ่งลงมือชั่วคราว ให้ฉันคิดสักหน่อย” เฉินเซิงมองกูตู๋อ๋างพลางกล่าว
กูตู๋อ๋างไม่พูดอะไร หันกายเดินออกไปจากห้องทำงานของเฉินเซิง เหลือไว้เพียงเฉินเซิงที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนเก้าอี้ทำงาน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหยางอี้จะสอดมือเข้ามายุ่ง หยางอี้เป็นคนระดับบิ๊ก เขาสอดมือเข้ามาแล้วเกรงว่าภารกิจนี้ของตนคงยากที่จะชักนำไปถึงจุดนั้นได้ นี่ทำให้เฉินเซิงสงสัยมากว่า เย่เทียน เฉินเป็นคนอย่างไรกันแน่?
เมื่อก่อนเย่เทียนเฉินเป็นตัวตลกไปทั่วทั้งเมืองหลวง เป็นคุณชายเสเพลและคนไม่เอาไหนที่โด่งดังแห่งตระกูลเย่ แต่ว่าตั้งแต่กลับเมืองมาเขาก็เปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้นมา คนที่กล้าไปหาเรื่องเขาและคนที่กล้าไปหาเรื่องตระกูลเย่ของเขา ต่างมีจุดจบที่ไม่ดี ต่อให้เป็นตระกูลชั้หนึ่งอย่างตระกูลฉิน เย่เทียนเเฉินก็ไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ยังลงมือโจมตีอย่างรุนแรงและยังกล้าฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย คนคนนี้กล้าหาญเด็ดเดี่ยวมาก ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะนับถือ
ตอนแรกที่เย่เทียนเฉินถูกจับตัวไปที่สถานีตำรวจ ผู้อาวุโสตระกูลซูโทรมาหาเขาด้วยตัวเอง ให้เขาปกป้องเย่เทียนเฉิน มิฉะนั้นเฉินเซิงจะโทรไปหาหลูเซิ่งต๋าด้วยตนเองและให้เขาปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเงียบลงได้อย่างไร หากข่าวลือแพร่ออกไปก็มากพอที่จะสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ ตอนนั้นเฉินเซิงก็สงสัยมาก เพียงแต่ไม่ได้คิดอะไร อย่างไรเสียตระกูลซูก็ไม่อาจล่วงเกินได้ จึงได้แต่ทำตามเท่านั้น
เมื่อลองคิดดู เฉินเซิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินไม่ธรรมดา ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่มีเบื้องหลังใดๆ แต่กลับมีขั้วอำนาจใหญ่มาช่วยค้ำจุนในทุกครั้งหลังจากที่ก่อเรื่องราวใหญ่โต คิดคิดดูแล้วก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อ ดูท่าอย่าเลือกฝั่งมั่วๆจะดีกว่า ต่อให้ลั่วซงเฉิงเป็นเพื่อนสนิทของตนมาหลายปี แต่ตอนนี้ดูแล้ว หากว่าเลือกยืนผิดฝั่ง ไม่เพียงแต่จะรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ แต่ยังอาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้อีกด้วย
เฉินเซิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานขึ้นมา ต่อสายไปยังเลขาแล้วกล่าวว่า
“สองสามวันนี้หากมีใครมาหาฉัน ก็บอกไปว่าฉันป่วย กำลังพักผ่อนอยู่!”
เช้าวันต่อมาเย่เทียนเฉินถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกขึ้น เมื่อยกหูโทรศัพท์ขึ้นจึงพบว่าเป็นฉีย่ากวงโทรมา เขาเป็นพี่ชายของฉีหรูเสวี่ย และยังเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในเครือไห่หวางนอกเหนือจากเย่เทียนเฉิน เดิมทีเขารู้สึกไม่พอใจเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด แต่ว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องตระกูลฉิน ไม่เพียงแต่ฉีย่ากวง กระทั่งตระกูลฉีทุกคนต่างก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเย่เทียนเฉิน กระทั่งในใจของใครหลายคนต่างรอคอยให้ฉีหรูเสวี่ยมีการหมั้นหมายกับเย่เทียนเฉินจริงๆ เพราะการกระทำของเย่เทียนเฉินในช่วงนี้ ทำให้ทุกคนพูดได้เพียงแค่ว่า สุดยอด!
“ฮัลโหล ใครครับ มีธุระอะไร?”
แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของฉีย่ากวงเอาไว้ ตอนแรกที่เขาเพิ่งมาถึงเครือไห่หวัง ฉีย่ากวงใช้วิธีชั่วร้ายขวางทางเขา ต่อมาเย่เทียนเฉินได้เป็นประธานคณะกรรมการของเครือไห่หวาง ซึ่งก็เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเท่านั้น ไม่ได้เข้ามาสนใจเรื่องเหลวไหล งานทั้งหมดล้วนให้ลูกน้องผู้ถือหุ้นไปทำ เกรงว่าเขาจะเป็นประธานคณะกรรมการที่ว่างที่สุดแล้ว
“ประธานเย่ ผมเอง ฉีย่ากวง!” ฉีย่ากวงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์พูดยิ้มยิ้ม
“ฉีย่ากวง? ฉีย่ากวงไหน?” เย่เทียนเฉินที่สะลึมสะลือกล่าวถาม
“อ่า ฮ่าๆ ผมเองฉีย่ากวง พี่ชายของฉีหรูเสวี่ย…” ฉีย่ากวงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน
“อ๋อ นายนี่เอง มีธุระอะไรเหรอ?” เย่เทียนเฉินถาม
“ประธานเย่ เกิดเรื่องแล้วแล้วคับ บริษัทถูกคนจำนวนมากล้อมไว้จนน้ำสักหยดก็ผ่านไปไม่ได้ ส่งผลกระทบไปถึงการทำงานตามปกติของพนักงาน…” ฉีย่ากวงพูดอย่างร้อนรน
“เรื่องแบบนี้ก็ต้องโทรมาหาฉันด้วยเหรอ? ไปแจ้งตำรวจสิ้นเรื่องแล้ว!”เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“แต่ว่าประธานเย่ คนเหล่านี้ไม่ได้ก่อเรื่อง พวกเขาเพียงแค่ปกป้องพนักงานคนหนึ่งของบริษัทพวกเรา…”
“งั้นก็ไล่พนักงานคนนี้ออกซะ…”
“พนักงานคนนี้ทำงานอย่างขยันมาตลอด ทั้งยังไม่เคยทำผิดพลาดอะไร เมื่อวานก็ได้รับคำชื่นชม หากไล่เขาออก จะส่งผลไปถึงพนักงานคนอื่นในบริษัท…” ฉีย่ากวงพูดอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“นาย… ได้ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้!”
เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง เรื่องเล็กเพียงเท่านี้พวกฉีย่ากวง ก็จัดการไม่ได้ แล้วยังต้องให้ตนเองที่เป็นประธานคณะกรรมการไปที่บริษัทด้วยตัวเองอีก คิดคิดดูแล้วก็โมโห แต่คนคนนี้กลับไม่คิดสักนิดว่า ตั้งแต่ตนไปที่เครือไห่หวางครั้งหนึ่งซึ่งครั้งนั้นได้พบกับฉีหรูเสวี่ย แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีย่ากวงโทรหาเขา มีประธานคณะกรรมการแบบเขาที่ไหนกัน
หลังจากที่ลุกจากเตียง เย่เทียนเฉินก็ล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ แล้วให้รถที่รถประจำตำปหน่งของหยางอี้ไปส่งตัวเองที่ประตูเครือไห่หวาง ชางหลางมาถึงทีหลังโกรธมาก อยากจะซัดเจ้าหมอนี่สักยกจริงๆ เขานำรถไปแล้ว ตนเองจะเอาอะไรไปรับท่านหยางอี้เล่า? บางทีตอนที่เย่เทียนเฉินทำเป็นเล่นขึ้นมาก็มีบรรยากาศที่ทำให้คนอยากจะฆ่าเขาให้ตายจริงๆ
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินกลับไม่รู้ว่ามีสาวงามคนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่เครือไห่หวาง ความโกรธเคืองที่สาวงามคนนี้มีต่อเย่เทียนเฉินไม่ใช่น้อยๆ อีกครั้งยังรู้สึกแปลกใจต่อเย่เทียนเฉินมาก อยากจะเห็นสักหน่อยว่าคนที่เคยปัญญาอ่อนคนหนึ่งจะกลายเป็นผู้ชายงานดีเช่นตอนนี้ไปได้อย่างไร คนคนนี้ก็คือซูเฟยเฟย
ซูเฟยเฟยเข้ามาทำงานที่เครือไห่หวางนานแล้ว ตำแหน่งงานเป็นเพียงพนักงานเล็กๆ เท่านั้น ด้วยความสามารถอันเก่งกาจของเธอที่เป็นหัวกะทิทางด้านงานไอที หากเครือไห่หวางทราบ เกรงว่าจะมาเชิญนานแล้ว อย่างน้อยก็ต้องให้ตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป แต่ซูเฟยเฟยกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น เธอต้องการสังเกตเย่เทียนเนอยู่ข้างๆ อยากเห็นว่าคนๆ นี้มีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่นกันแน่
ที่สำคัญก็คือ ท่าทางที่เย่เทียนเฉินมีต่อตนเองทำให้ซูเฟยเฟยรู้สึกโกรธอ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีผู้ชายแม้แต่คนเดียวที่กล้าไม่สนใจตนแบบนี้ เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก ซูเฟยเฟยอยากจะเห็นสักหน่อยว่า ตกลงแล้วคนคนนี้เป็นผู้ชายปกติหรือไม่
สองวันแรกได้ยินว่าเย่เทียนเฉินกลับมาจากประเทศMแล้ว ไม่นึกว่าตลอดมาจะไม่ได้พบคนคนนี้มาที่บริษัทเลย ซูเฟยเฟยรู้สึกสงสัย จนกระทั่งเมื่อวานตอนที่ได้ข่าวว่าเย่เทียนเฉินไปก่อเรื่องใหญ่ที่ตระกูลฉิน ทำให้เธอตกใจจริงๆ ดังนั้นวันนี้เธอจึงคิดวิธีเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อบังคับให้เขามาเจอตน
ตอนเช้าตรู่ บอดี้การ์ดสูทดำเกือบพันคนล้อมตึกของเครือไห่หวางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นประตูรั้วหรือประตูตึกล้วนมีบอดี้การ์ดสวมสูทดำยืนอยู่ พวกเขามาเพื่อคุ้มครองคนคนหนึ่ง นั่นก็คือซูเฟยเฟย ส่วนเหล่ายามของเครือไห่หวางตกใจจนฉี่ราดกางเกงไม่กล้าปรากฏตัวออกมาแล้ว พวกเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของบอดี้การ์ดร่างยักษ์เหล่านี้ได้ที่ไหนกัน
ซูเฟยเฟยทำเพียงนำคนเหล่านี้มาคุ้มครองตนเอง ส่วนเธอเข้างานตามปกติ ทำงานตามปกติ ไม่ได้ทำลายระเบียบการทำงานของบริษัท เพียงแต่ทำให้พนักงานจำนวนมากไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน กระทั่งฉีย่ากวที่เป็นผู้ถือหุ้นก็ยังรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ นี่จึงทำให้เขาคิดจะโทรหาเย่เทียนเฉิน
………………….