เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 14 เศษสวะในวันวาน ทำให้ผู้คนตกตะลึง
“บอกเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาให้ฉันทีได้ไหม?”
พอเย่เทียนเฉินได้ยินหูหลงเหล่าว่าหลี่เถี่ยงูเจ้าถิ่นแห่งเมืองหลวง บีบบังคับให้เขามาฆ่าเย่หงพ่อของตน ก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย
หลี่เถี่ยเป็นอันธพาลคนหนึ่งของเมืองหลวงก็เท่านั้น แต่กลับใจกล้ามาสังหารพ่อของตนที่เป็นรองผู้ว่า ทั้งไม่เคยได้ยินพ่อของตนพูดมาก่อนว่าเคยมีความขัดแย้งอะไรกับอิทธิพลชั่วใต้ดิน ดังนั้นการหลี่เถี่ยกล้าส่งคนมาลงมือกับพ่อของตน เย่เทียนเฉินคาดเดาว่าคงมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง และคนๆ นั้นต้องวางแผนชั่วอะไรอยู่แน่นอน
เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่มีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน เป็นที่ๆ ตระกูลใหญ่ทั้งหลายพำนักอยู่ มีอิทธิพลทั้งด้านมืดและสว่างมากมาย ภายใต้สถานการณ์ฉากหน้าที่สงบสุขนี้ จริงๆ แล้วเกิดการนองเลือดได้ตลอดเวลา มีการต่อสู้เกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน
“ฉันได้ยินคนพูดกันว่า หลี่เถี่ยได้รับคำสั่งจากตระกูลฉิน จึงอยากจะฆ่าเย่หง ส่วนมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก” เมื่อหูหลงเห็นปฏิกริยาของเย่เทียนเฉิน แม้ว่าจะรู้สึกสงสัย แต่ก็บอกสิ่งที่ตนเองรู้ออกมา
“โอเค ขอบคุณมาก รีบไปเถอะ พาน้องสาวของคุณออกไปจากที่นี่ ไปหาที่ๆ ปลอดภัย ไม่ต้องกลับมาอีก!”
พอพูดจบ เย่เทียนเฉินก็จากมา ตอนนี้เขารีบกลับบ้าน เพราะอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าภายนอกดูเหมือนตระกูลเย่สงบสุข ไม่มีการต่อสู้กับใคร แต่คนที่อยากจัดการกับตระกูลเย่มีมากมาย จึงเพิ่มความแน่วแน่ให้กับความตั้งใจที่จะทำให้พลังพิเศษตื่นขึ้นเร็วๆ มากยิ่งขึ้น เพื่อปกป้องครอบครัว และเพื่อปกป้องทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกใบนี้ ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาดูหมิ่นเด็ดขาด นี่เป็นเรื่องที่เย่เทียนเฉินตัดสินใจมาตั้งแต่แรกแล้ว
สำหรับการเก็บกวาดหลี่เถี่ยอันธพาลของเมืองเมืองหลวง เย่เทียนเฉินยังไม่คิดจะลงมือในทันที ถึงยังไงเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันถึงตระกูลฉิน ดูท่าหลี่เถี่ยคงเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลฉิน หากต้องการจัดการกับตระกูลฉิน ยังจำเป็นต้องวางแผนอย่างสุขุมรอบคอบ เพื่อหาโอกาสที่เหมาะสม ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นสองในเมืองหลวง มีตำแหน่งสูงกว่าตระกูลเย่ไม่น้อย หากผลีผลามลงมือไปอาจจะทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ และยังอาจนำพาอันตรายมาสู่ครอบครัวอีกด้วย
แม้ว่าในช่วงสิ้นโลกเย่เทียนเฉินจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า และศรัทธาการใช้หมัดแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนไม่มีสมอง เขาย่อมเข้าใจกระจ่างชัดว่าหลากหลายเรื่องราวไม่สามารถพึ่งกำลังแก้ปัญหาได้ ต้องใช้ความคิดให้มากๆ โดยเฉพาะสถานที่ซึ่งส่งผลกระทบต่อต่อความคิดอย่างเมืองหลวง คนที่ฉลาดจริงๆ ไม่ต้องเปลืองแรงก็ฆ่าคนจนไม่เหลือซากได้
ที่ตระกูลลั่วในคืนนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่สงบสุข ชายผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดทหาร ใบหน้าเหลี่ยมผมสั้นเตียน อายุประมาณหกสิบกว่าปี ขมวดคิ้วนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขารีบเร่งกลับมาที่บ้านก็เพราะภายในวันนี้วันเดียว หลานชายของเขาทั้งสองถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส หลานคนเล็กมีโอกาสกลายเป็นเจ้าชายนิทรา หลานคนโตถูกทำร้ายจนฟันร่วงหมดปาก ใบหน้าปูดบวมราวกับตือโป๊ยก่าย พูดอะไรไม่ได้แม้แต่คำเดียว
ชายชราผู้น่าเกรงขามคนนี้คือผู้คุมหางเสือของตระกูลลั่ว เป็นปู่ของลั่วเทากับลั่วเหลย นามลั่วซงเฉิง และ ผู้บัญชาการทหารระดับเขต มีตำแหน่งใหญ่โตและมีอำนาจสูงส่ง หลายปีมานี้ไม่มีใครกล้ามาแตะต้องคนของตระกูลลั่ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำร้ายหลานทั้งสองจนบาดเจ็บสาหัสภายในวันเดียว รับไม่ได้เด็ดขาด
ปัง!
“ใคร? ฉันอยากจะรู้ว่าคนที่มันทำร้ายเหลยเอ๋อร์กับเทาเอ๋อร์มันเป็นใคร?” ลั่วซงเฉิงฟาดมือลงไปบนโต๊ะชา แล้วคำรามออกมาด้วยความโกรธสุดขีด
ในโถงของคฤหาสน์ตระกูลลั่ว ดวงตาของลั่วซงเฉิงเต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธแค้น มองไปยังลูกชายทั้งสองที่อยู่เบื้องล่าง หลายปีมานี้อำนาจของตระกูลลั่วไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมอีกแล้ว เป็นเพราะลูกชายทั้งสองคนนี้ไม่มีความสามารถ อุตส่าห์ส่งลั่วเหลยให้เข้าสู่กองกำลังเหยี่ยวนักล่าเพื่อหน้าที่การงานในอนาคตได้ทั้งที ใครจะรู้ว่าจะถูกคนทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ลั่วซงเฉิงจะเอาหน้าแก่ๆ ของตนเองไปไว้ที่ไหน
“พ่อ พ่อต้องแก้แค้นให้ลูกเทากับลูกเหลยนะครับ ตระกูลของพวกเราจะปล่อยให้ใครมารังแกแบบนี้ไม่ได้” ลั่วกวงฮุยผู้เป็นพ่อของลั่วเหลยกับลั่วเทา และเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลลั่วคร่ำครวญ
“หุบปาก ลูกชายของแกเองถูกทำร้ายยังไม่คิดตรวจสอบให้แน่ชัดอีก มาร้องไห้กับฉันให้มันได้อะไร ไอคนไร้อนาคต” ลั่วซงเฉิงด่ากราด
ลั่วกวงฮุยได้ยินคำดุด่าของพ่อก็ชะงักไป เดิมทีเขาก็เป็นพวกไร้การศึกษา มิฉะนั้นจะสอนพี่น้องทั้งสองให้ออกมาหยิ่งผยองอย่างลั่วเหลยและลั่วเทาได้อย่างไร พ่อเป็นอย่างไรลูกก็เป็นเช่นนั้น เมื่อพบว่าลูกชายถูกทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้ ลั่วกวงฮุยก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่มองลั่วซงเฉิงผู้เป็นพ่อ
“พ่อ เรื่องนี้ผมส่งคนไปตรวจสอบดูแล้ว ยืนยันได้แล้วว่าเด็กน้อยเย่เทียนเฉินจากตระกูลเย่เป็นคนทำ….” ลูกชายคนรองของลั่วซงเฉิงนามลั่วฉีกล่าวเรียบๆ
“อะไรนะ? เย่เทียนเฉิน? ไอสารเลวนั่นไม่ใช่ว่าตายไปแล้วเหรอ?” ลั่วกวงฮุยกล่าวถามด้วยความตกใจ
“ก็วันๆ แกเอาแต่เอ้อระเหยลอยชาย จะมารู้ข่าวที่ถูกต้องได้ยังไง เย่เทียนเฉินรอดชีวิตกลับมา เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมมันต้องมาลงมือกับเหลยเอ๋อร์กับเทาเอ๋อร์ด้วย?” ลั่วซงเฉิงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
“จากข่าวที่ผมรู้มา หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ก็ใกล้ชิดกับหานเจี๋ยลูกสาวของตระกูลหาน แต่เหลยเอ๋อร์ตามจีบหานเจี๋ยมาตลอด ดังนั้นเขาก็เลยให้คนตีพิมพ์เนื้อหาใส่ร้ายเย่เทียนเฉินในหนังสือพิมพ์ซุบซิบ สุดท้ายถูกเย่เทียนเฉินหาตัวเจอที่ตึกเทียนซ่างเหรินเจียน แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมอึดอัดมาก….” ลั่วฉีต้องการกล่าวอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไว้
“เรื่องอะไร?” ลั่วซงเฉิงมองลั่วฉี ลูกชายคนรองของตนคนนี้ยังค่อนข้างน่าเชื่อถืออยู่บ้าง
“ผมหาคนล้วงข้อมูลหลังจากที่เยี่ยนเทียนเฉินเข้าร่วมกองทัพออกมาแล้ว แต่ก็ล้มเหลว พบว่าข้อมูลการฝึกอบรมของเย่เทียนเฉินในกองทัพ ถูกจัดเป็นความลับระดับหนึ่งของสำนักความมั่นคงแห่งชาติ และถูกป้องกันเอาไว้ คนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้” ลั่วฉีขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา
พอได้ยินคำพูดของลูกชายคนรอง ลั่วซงเฉิงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ชื่อเย่เทียนเฉินเขาเคยได้ยินมาก่อน แน่นอนว่าไม่ใช่เย่เทียนเฉินในตอนนั้นมีชื่อเสียง แต่เป็นเรื่องที่แอบดูหลิ่วหรูเหมยสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอาบน้ำ ถูกตระกูลฉีไปขอถอนหมั้นถึงหน้าประตู แค่สองเรื่องนี้ทำให้เย่เทียนเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว คนที่มีหน้ามีตาสักหน่อยต่างก็ไม่มีใครที่ไม่รู้
เพียงแต่ลั่วซงเฉิงไม่เข้าใจว่าทำไมลั่วฉีลูกชายคนรองจึงสงสัย เพราะในสายตาของทุกคนเย่เทียนเฉินก็เป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง เป็นแค่คนโง่เง่า เจ้ากากเดนที่ถูกคนดูถูกคนนี้กลับรอดชีวิตกลับมาได้หลังจากที่ถูกซุ่มโจมตี แม้แต่ทหารหน่วยรบพิเศษชาญศึกห้าคนที่ผ่านสงครามมาเกือบร้อยครั้งต่างก็ตายกันหมด แต่เย่เทียนเฉินดันรอดมาได้ ทำให้คนช็อกจริงๆ อีกทั้งข้อมูลทั้งหมดของเขายังถูกจัดเป็นความลับระดับหนึ่งของประเทศ กากเดนและไอ้คนไม่เอาไหนแบบนี้จะมีความสามารถในการสู้รบที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?
“ความลับระดับหนึ่ง เรื่องนี้ใครเป็นคนทำ?” ลั่วซงเฉิงชะงักไปชั่วครู่ อยู่ดีๆ ก็จัดข้อมูลของทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดาๆ คนหนึ่งเป็นความลับระดับหนึ่ง และส่งไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติโดยตรง อาศัยเรื่องนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย
“ชางหลาง!” ลั่วฉีพูดเสียงทุ้ม
“เขาเองงั้นเหรอ? หนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนถึงกับมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ฉันคิดว่าเย่เทียนเฉินคนนี้คงไม่ได้ง่ายดายแบบที่คนอื่นมองเสียแล้ว ต้องตรวจสอบให้ดีสักหน่อยแล้ว” ลั่วซงเฉิงไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวออกมา
“พ่อ เจ้าเย่เทียนเฉินนั่นก็แค่ไอ้เด็กไม่เอาไหนกับเศษสวะเท่านั้น หาคนไปฆ่ามันก็พอแล้ว ตระกูลเย่ตกต่ำมานาน จะเป็นคู่ต่อสู้ของตระกูลลั่วได้ยังไง” ลั่วกวงฮุยพูดออกมาอย่างไม่พอใจอยู่ด้านข้าง
ลั่วซงเฉิงถีบดังปัง เขาเป็นนายทหารคนหนึ่งจึงมีอารมณ์รุนแรง เมื่อได้ยินคำพูดลั่วกวงฮุย ก็ใช้เท้าถีบใส่ ทั้งยังด่าอย่างดุร้ายว่า “หัดใช้สมองซะบ้าง ทหารหน่วยรบพิเศษคนหนึ่งที่รอดกลับมาจากชายแดนได้ แฟ้มข้อมูลก็ถูกจัดเป็นความลับระดับหนึ่งของประเทศ แล้วคนที่ทำร้ายเหลยเอ๋อร์กับเทาเอ๋อร์จนกลายเป็นแบบนี้ ยังเป็นคนไม่เอาไหน เป็นเศษสวะอยู่อีกเหรอ? ถ้าหากว่ามันเป็นเศษสวะ ก็เกรงว่าพวกคนในเมืองหลวงที่ถูกมันปั่นหัวก็เป็นเศษสวะกันทุกคนแล้ว!”
อีกอย่างก็คือ ถึงแม้ลั่วเหลยจะเข้ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าได้โดนผ่านเส้นสายของเขา แต่ฝีมือก็แข็งแกร่งกว่าทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดาๆ คาดไม่ถึงว่าจะถูกเย่เทียนเฉินทำร้ายจนไม่มีแรงสวนกลับ เรื่องนี้เองก็แปลกเช่นกัน
ตอนนี้ลั่วซงเฉิงเริ่มสงสัยการกระทำในช่วงหลายปีมานี้ของเย่เทียนเฉินแล้ว ตกลงชายคนนี้หลอกคนทั้งเมืองหลวง หรือจะบอกว่าเขาเตรียมตัวเปิดเผยความสามารถที่ปกปิดมาหลายปีแล้ว ? ต้องไตร่ตรองให้ดี
“พ่อ ผม….” ลั่วกวงฮุยถูกเตะจนมึนงง ลั่วซงเฉิงที่เข้าข้างมาโดยตลอด อยู่ดีๆ กลับมาทำร้ายเขา นี่มันไม่สอดคล้องกับสามัญสำนึกเลยสักนิด
“แกคิดว่าตระกูลเย่จัดการง่ายขนาดนั้นเหรอ? ไอ้แก่ตายยากเย่หย่วนซานของตระกูลเย่ แม้จะลงจากตำแหน่งแล้ว แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวโตกว่าม้า [1]หากวู่วาม ตระกูลลั่วของพวกเราอาจจะเกิดวิกฤต อีกทั้งตอนนี้ก็ยังอ่านเจ้าเย่เทียนเฉินไม่ออก หากทำอะไรบุ่มบ่าม ก็คงเป็นเพียงฝ่ายถูกกระทำ” ลั่วซงเฉิงพูดอย่างไม่พอใจนัก
“งั้นตอนนี้พวกเราทำไงกันดี?” ลั่วฉีถาม
“เรื่องนี้ให้แกไปจัดการแล้วกัน อีกไม่นานก็จะมีการคัดเลือกคณะกรรมาธิการทหารแล้ว ครั้งนี้ฉันจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อเข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการทหารให้ได้ หวังว่าจะทำให้ตระกูลลั่วของพวกเราสามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้น ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องตระกูลเย่อีก ดังนั้นฉันไม่ขอมีส่วนร่วมในเรื่องนี้!” ลั่วซงเฉิงมองลั่วฉีแล้วกล่าวออกมา
“ทราบแล้วครับ!” ลั่วฉีตอบพลางพยักหน้า
“ดี เรื่องนี้อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม รอให้ฉีเอ๋อร์รู้รายละเอียดของเย่เทียนเฉินให้ชัดเจนเสียก่อนค่อยว่ากัน ฉันบอกแกอีกครั้ง อย่าได้มองคนๆ นี้เป็นพวกโง่เง่า ฉันว่ามันอาจจะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเมืองหลวงก็ได้” ลั่วซงเฉิงกล่าวเตือนลั่วกวงฮุยลูกชายคนโตอีกครั้งหนึ่ง
ลั่วกวงฮุยต้องตัดสินใจเพราะถูกบีบบังคับ ตระกูลลั่วเองก็ไม่ใช่ตระกูลใหญ่อะไร ไม่ต่างกับตระกูลเย่นัก แต่ ผู้อาสุโสตระกูลเย่เย่หย่วนซานลงจากตำแหน่งแล้ว ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อีกต่อไป ส่วนตัวเขาจะอย่างไรก็ยังเป็นผู้บัญชาการทหารระดับเขต มีอำนาจอยู่ในมือ ตำแหน่งของตระกูลลั่วย่อมดีกว่าตระกูลเย่
แต่เมืองหลวงเปรียบเสมือนถังสีที่ภายในมีสีอยู่มากมาย มากจนทำให้ผู้คนมองไม่ออก ผู้อาวุโสตระกูลเย่จะอย่างไรก็เคยมีอำนาจมาก่อน ยังคงมีความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนอยู่จำนวนหนึ่ง เกิดคุกคามการเขาสู่คณะกรรมาธิการทหารของตัวเขา ก็คงไม่เป็นผลดีแน่ ลั่วซงเฉิงรอคอยโอกาสนี้มานาน จึงมีหลายเรื่องที่จำเป็นระมัดระวัง ต้องคิดทบทวนหลายๆ ครั้งเสียก่อนจึงจะตัดสินใจ หากกระทำการด้วยความสะเพร่า เป็นไปได้ว่าจะเป็นการทำร้ายตระกูลของตนเองให้ล่มสลาย
…………………………………………
[1] สำนวนจีน หมายถึ งคนที่อยู่ในหน้าที่ตำแหน่งนี้มานาน แม้จะเผชิญกับปัญหา ก็ยังน่ากลัวกว่าคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่