เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 143 การป้องกันที่แข็งแกร่ง
ขุนพลระดับทัพฟ้าทุกคนล้วนมีความสามารถไม่ธรรมดา เนื่องจากคนที่ไม่ผ่านการประเมินขุนพลระดับทัพฟ้าและไม่สามารถฝ่าด่านได้สำเร็จล้วนตายทั้งหมด นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่มีคนตายจริงๆ
ยอดฝีมือทุกคนต่างคิดว่าตนเองสามารถฝ่าด่านขุนพลระดับทัพฟ้าได้ ก่อนที่จะเข้าสู่ด่านจะต้องเซ็นสัญญาเป็นตายก่อน บอกอย่างชัดเจนว่า หากฝ่าด่านล้มเหลวและตายอยู่ข้างในเป็นเพราะตัวเองหาเรื่องเองไม่เกี่ยวกับคนอื่น
เฮยเมี่ยนมีฐานะเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า ความสามารถย่อมสูงส่งกว่าสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ร้ายกาจที่สุดในหมู่ขุนพลระดับทัพฟ้า แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกและท้าทายเขา เย่เทียนเฉินเป็นคนแรกที่กล้าสะกิดเขาอย่างเจ็บปวดด้วยการพูดว่าเขาดำ แล้วยังเป็นคนแรกที่ลงมือตรงๆ กับเฮยเมี่ยน
ในตอนที่เฮยเมี่ยนพบเย่เทียนเฉิน สิ่งเดียวที่เขาประหลาดใจก็คือ เย่เทียนเฉินถึงกับเป็นคนอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง ดูผิวเผินเหมือนกับอันธพาล คนแบบนี้ก็คือคนที่ก็เรื่องใหญ่ในตระกูลฉินและฆ่าล้างตระกูลลั่วหรือ? นี่แตกต่างจากจินตนาการในสมองของเฮยเมี่ยนโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านั้นในตอนที่เขายังไม่ได้เห็นเย่เทียนเฉิน ยังคิดว่าจะเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีไอสังหารอยู่ทั่วร่างซะอีก มิฉะนั้นจะสามารถบุกเข้าไปในตระกูลฉินและตระกูลลั่วได้อย่างไร ตระกูลใหญ่ที่มีทหารยอดฝีมือคุ้มครองอย่างเข้มงวดแบบนี้ ยังสามารถกลับออกมาได้อย่างสมบูรณ์
ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เฮยเมี่ยนที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าย่อมไม่สนใจข่าวซุบซิบในเมืองหลวง ภารกิจของเขาล้วนเป็นความลับสูงสุด แต่เป็นภารกิจที่ต้องต่อสู้จนเลือดนอง ไหนเลยจะมีใจไปสนใจเรื่องซุบซิบเหล่านี้อีก
เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดที่เย่เทียนเฉินต่อยออกมาทางตนเอง เฮยเมี่ยนก็ไม่กล้าลำพองใจ เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าหมัดที่ดูผิวเผินไม่เบานี้ของเย่เทียนเฉิน ความจริงแล้วแข็งแกร่งมาก หากดูถูกเกรงว่าวันนี้ตนเองต้องอับอายแล้ว
ผัวะ!
ในฐานะที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้า จะมีเหตุผลให้ถอยได้อย่างไร ต่อให้เป็นการต่อสู้ถึงตายก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว เฮยเมี่ยนนต่อยหมัดออกไปยังเย่เทียนเฉินเช่นเดียวกัน
ตู้ม!
เสียงดังสนั่น เย่เทียนดฉินและเฮยเมี่ยนยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน มองกันและกันด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ กระเบื้องป้ายเท้าที่พวกเขายืนอยู่พังยับเยิน พลังของหมัดของพวกเขาทั้งสองคนแรงมากจริงๆ
ความจริงแล้วเย่เทียนเฉินประหลาดใจอยู่บ้าง ไอ้ดำนี่เก่งมากจริงๆ ตนเองกระตุ้นพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันจนถึงขีดสุดและต่อยออกไปอย่างสุดแรงแล้ว ต่อให้ไม่ได้แพ้ ก็ควรจะทำให้เขาบาดเจ็บได้บ้าง ในตอนนี้เฮยเมี่ยนเป็นคนเดียวที่รับการโจมตีอันรุนแรงของเย่เทียนเฉินแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บ กระทั่งไม่ถอยไปแม้แต่ครึ่งก้าว ช่างแข็งแกร่งจริงๆ
แต่ว่าคนที่ตกใจที่สุดคงไม่พ้นเฮยเมี่ยน เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่า เย่เทียนเฉินที่อายุน้อยจะถึงกลับมีพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งแบบนี้ ประหมัดกับตนเองอย่างรุนแรง ก็ยังไม่ถอยเลยแม้แต่น้อย เดิมทีคิดว่าหมัดนี้อย่างน้อยก็สามารถทำให้อีกฝ่ายกระเด็นไปได้ คิดไม่ถึงว่ากลับมีผลลัพธ์เช่นนี้ หรือจะบอกว่าเย่เทียนเฉินอายุน้อยขนาดนี้ก็มีความสามารถของขุนพลระดับทัพฟ้าแล้ว? เกรงว่าทั่วทั้งประเทศจีนคงหาออกมาได้เพียงไม่กี่คน ตอนนี้เฮยเมี่ยนเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมคนระดับบิ๊กอย่างหยางอี้ซึ่งได้ปกป้องเย่เทียนเฉิน ส่วนชางหลางก็ไม่ให้ตนเองลงมือกับเขา ดูแล้วความสามารถของอีกฝ่ายจะลึกล้ำเกินคาดเดาจริงๆ
ชางหลางที่ยืนอยู่ข้างหนึ่งเองก็อดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินจะแพ้ คิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจ ก็ยังมีความสามารถที่ห่างชั้นจากเฮยเมี่ยน ไหนเลยจะรู้ว่าทั้งสองคนประหมัดกันอย่างสุดกำลัง จะถึงกับพอฟัดเหวี่ยงกัน ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ
“หยุดมือเถอะ เฮยเมี่ยน วันนี้คุณคงไม่ได้มาเพื่อทะเลาะหรอกนะครับ? เย่เทียนเฉิน ความผิดของไอ้หนูยังนายยังไม่มากพอยังไม่ใหญ่พออีกหรือไง?” ชางหลางเดินเข้าไปแล้วเอ่ยปากพูด
เฮยเมี่ยนมองชางหลางปราดหนึ่ง คิดว่าอีกฝ่ายพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ตนเองไม่ได้มาเพื่อทะเลาะ เพียงแต่ถูกเย่เทียนเฉินกระตุ้นความโกรธก็เท่านั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินเฮยเมี่ยน เย่เทียเนฉินเป็นคนแรก ความแค้นนี้เฮยเมี่ยนจดจำเอาไว้ในใจแล้ว จะช้าจะเร็วเขาก็ต้องมาคิดบัญชีกับอีกฝ่ายให้ได้ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก
“เย่เทียนเฉิน ฉันเฉยเมี่ยนจดจำแกไว้แล้ว จะช้าจะเร็วฉันจะทำให้แกได้รู้ว่ารสชาติของหมัดกระทบหน้าเป็นยังไง!” เฮยเมี่ยนเก็บหมัดดำๆ ของตนเองกลับมา มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“ไอ้ดำ พี่ชายสุดหล่อเย่อย่างฉันก็จดจำแกไว้แล้ว จะช้าจะเร็วจะต้องทำให้แกได้รู้ว่ารสชาติของเท้ากระทบก้นเป็นยังไง!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“แก…”
“เอาล่ะ พวกเรารีบไปเถอะ ท่านผู้นำรอจนร้อนใจไปหมดแล้ว!” ชางหลางรีบพูดขัดคำพูดของพวกเขาทั้งสอง
เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม เฮยเมี่ยนเดินออกไปจากประตูเป็นคนแรก จากนั้นชางหลางเป็นคนที่สอง เย่เทียนเฉินตามหลังไปติดๆ
“ไอ้หนูอย่าไปหาเรื่องเขาเลย หยุดสักหน่อยไม่ได้หรือไง?” ชางหลางพูดกับเย่เทียนเฉินเสียงเบา
“ไอ้ดำนี่มันเป็นใครกัน ความสามารถแข็งแกร่งมาก!” แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่พอใจเฮยเมี่ยน แต่ความสามารถของเฮยเมี่ยนก็ทำให้เขานับถือ แข็งแกร่งมากจริงๆ
“เขามีฉายาว่าเฮยเมี่ยน(หน้าดำ) เป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้า ความสามารถแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก ไอ้หนูอย่างนายนี่มันเจ๋งจริงๆ ถึงกับกล้าโจมตีเฮยเมี่ยน หากว่าข่าวแพร่ออกไป ไม่แน่ว่ายอดฝีมือระดับทัพฟ้าอีกกี่คนจะมาหาเรื่องสู้กับนาย!” ชางหลางพูดอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
“ยอดฝีมือระดับทัพฟ้า?” ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้เรื่องของยอดฝีมือระดับทัพฟ้าจริงๆ ดังนั้นจึงสงสัยอยู่บ้าง
ก่อนที่จะขึ้นรถ ชางหลางอธิบายเรื่องของยอดฝีมือระดับทัพฟ้าให้เย่เทียนเฉินฟังอย่างง่ายๆ ช่างดึงดูดความสนใจของเย่เทียนเฉินจริงๆ เพราะว่าในหมู่ยอดฝีมือระดับทัพฟ้า ไม่เพียงแต่มีผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ ทั้งยังมียอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษอยู่ด้วยเช่นกัน ในประเทศจีนผู้มีพลังพิเศษมีไม่มากนัก ไม่เหมือนกับหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษของประเทศM ผู้มีพลังพิเศษในประเทศจีนส่วนใหญ่เป็นผู้มีพลังมาแต่กำเนิด ผู้ที่พลังตื่นขึ้นมาภายหลังมีน้อยมาก ผู้มีพลังพิเศษมาแต่กำเนิดนี้หลังจากที่ถูกประเทศค้นพบ ก็จะคุ้มครองและอบรมบ่มเพาะอย่างให้ความสำคัญ ภายหลังจึงกลายเป็นผู้มีพลังการสู้รบที่ไม่อาจดูเบาได้ ถวายชีวิตรับใช้ประเทศชาติ
ในช่วงยุคสิ้นโลก ผู้มีพลังพิเศษมาแต่กำเนิดทำให้คนอื่นต้องรู้สึกสั่นสะท้านจนถึงขั้นหวาดกลัว ผู้มีพลังพิเศษบางคนจะมีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิด กระทั่งเด็กน้อยอายุสามขวบคนหนึ่งก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงได้ สามารถฆ่าคนโดยไม่รู้ตัวได้ นี่ไม่ใช่คำพูดที่กล่าวเกินจริงเลย ในช่วงยุคสิ้นโลกมีตัวอย่างแบบนี้อยู่จริงๆ น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก
“ต้องการจะเป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้า จะต้องผ่านด่านทดสอบ แต่ละด่านน่าหวาดกลัวมาก ฉันเคยคิดจะไปหลายครั้งแต่ก็ถูกห้ามเอาไว้ เพราะหากว่าผ่านไปไม่ได้มีเพียงตายเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินว่าคนที่ล้มเหลวจะมีชีวิตกลับมาได้!” ในตอนที่ชางหลางพูดมีความตื่นเต้นอยู่ในสายตาอย่างอดไม่อยู่
ผู้แข็งแกร่งที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงมีใครบ้างที่ไม่อยากจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น? เหมือนกับชางหลางที่เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน ก็นับว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งมากแล้ว เขาจะยอมถูกคนรุ่นหลังทิ้งเอาไว้ด้านหลังหรือ? เขาเองก็อยากจะพิสูจน์ความสามารถของตน และการกลายเป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้ ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัยเลย
“น่าสนุกอยู่บ้างจริงๆ ถ้าว่างฉันก็จะไปเล่นดูสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ
“ฉันขอเตือนนายว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามจะดีกว่า ที่นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น สิบปีมานี้ไม่มีคนใหม่ๆที่สามารถเป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้าได้เลย มีหลายคนที่สงสัยว่าด่าพวกนั้นมีปัญหาเลยไม่มีคนกล้าไปฝ่าด่านอีก…” ชางหลางรีบพูด
“งั้นผมก็จะไปดูสักหน่อย ถ้าน่าสนุกก็จะเล่นด้วย!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างจริงจัง
เมื่อคืนมานั่งบนรถ เฮยเมี่ยนนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ เย่เทียนเฉินและชางหลางนั่งข้างหลัง ตลอดทางไม่มีคนพูดอะไรเลย เพราะเฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินต่างก็ไม่พอใจกันและกัน พอพูดออกมาก็จะกระทบกระทั่ง พอกระทบกระทั่งก็จะลงมือ ด้วยเหตุนี้ชางหลางเลยไม่พูด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สองคนนี้สู้สุดชีวิตขึ้นมาอีกจนถึงขั้นที่ไม่อาจเก็บกวาดได้ แบบนั้นก็แย่แล้ว
เย่เทียนเฉินกลับมีความสุขอย่างมาก นั่งอยู่บนเบาะหาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วนอนหลับไปจริงๆ แล้วยังกรนออกมา ทำให้ชางหลางและเฮยเมี่ยนรู้สึกอับจนคำพูด
เฮยเมี่ยนหันมาถลึงตาใส่เย่เทียนเฉิน มองชางหลางแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันยอมรับว่าไอ้หนูนี่สิมือไม่เลวเลย แต่ท่านผู้นำต้องการให้เขาไปทำภารกิจ ฉันว่าก็ยังเป็นไปไม่ได้ ไม่มีระเบียบวินัยเลยแม้แต่น้อย ควบคุมไม่ได้ ยุ่งยากเกินไป!”
ชางหลางขมวดคิ้ว เย่เทียนเฉินเป็นคนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยจริงๆ ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ไม่เชื่อฟังคำสั่งเลยสักนิด เป็นพวกทำตามอำเภอใจโดยสิ้นเชิง ต้องการฆ่าใครก็ฆ่า ต่อให้คุณเป็นข้าราชการชั้นสูงก็ดี เป็นคนตระกูลสูงก็ดี ขอเพียงไปหาเรื่องเขา ก็โชคร้ายแล้ว โชคยังดีที่ในตอนนี้คนที่เขาฆ่าล้วนเป็นคนที่สมควรตาย แต่กลับเป็นคนที่ประเทศไม่กล้าแตะต้อง มิฉะนั้นเกรงว่าบุคคลระดับสูงคงจะส่งยอดฝีมือระดับสูงจำนวนมากมาล้อมฆ่าเย่เทียนเฉินไปแล้ว
“ไอ้หนูนี่ก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยอยู่บ้างจริงๆ แต่นิสัยก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร พวกท่านผู้นำเองก็ไตร่ตรองแล้ว พวกเราอย่าไปสนใจเรื่องพวกนี้เลย!” ชางหลางพูดยิ้มๆ
“หึ ไอ้หนูนี่กล้าลงมือกับฉัน ฉันจะต้องให้มันรู้ถึงความร้ายกาจแน่นอน!” เฮยเมี่ยนแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดออกมา
เย่เทียนเฉิน ไม่รู้ว่าตนเองนอนหลับอยู่บนรถนานแค่ไหน ในตอนที่รถจอดลงและชางหลางปลุกเขาให้ตื่น เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่าเป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว ไม่รู้ว่ารถขับมาถึงสถานที่ใด เห็นเพียงว่ารอบด้านมืดมาก คล้ายกับจะเป็นจุดชมวิวแห่งหนึ่ง มีคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่ไฟยังคงสว่างอยู่ไม่ไกล
“ไปเถอะ ไอ้หนูอย่าได้มองไปทั่วล่ะ!” ชางหลางเอ่ยปาก
เย่เทียนเฉินตามหลังชางหลางและเฮยเมี่ยน เดินมุ่งหน้าไปสู่คฤหาสถ์ที่ไฟยังคงสว่างหลังนั้น ตลอดทางเย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งหลายสาย ความสามารถของคนเหล่านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฮยเมี่ยนเลย กระทั่งแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ เมื่อไปถึงประตูคฤหาสน์ก็เห็นบอดี้การ์ดสูทดำธรรมดายืนอยู่หน้าประตู ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว หากว่าคุณมองบอดี้การ์ดเหล่านี้เป็นคนธรรมดาแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็พลาดอย่างใหญ่หลวงแล้ว มีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งคุ้มครองอยู่รอบๆ จินตนาการได้เลยว่าคนเช่นไรที่จะมีการป้องกันอย่างนี้ได้