เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 147 สั่งสอนเดรัจฉานน้อย
ตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เป็นตระกูลใหญ่ที่หลบซ่อนจากสังคม ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่รู้จักตระกูลนี้ แต่ก็ได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์ของนักศึกษาข้างๆ ที่พอจะรู้จักตระกูลนี้อยู่บ้าง จึงได้รู้ว่าตระกูลนี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง เป็นไปได้มากกว่าเมื่อเทียบกับตระกูลใหญ่ในปัจจุบันของประเทศจีนแล้ว จะมีอำนาจมากกว่าอีก
เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็แค่อายุสิบหกปีเท่านั้น ยังเป็นแค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง แต่คำพูดคำจากลับเหมือนนายท่านใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ทรงอำนาจและโอหังเป็นอย่างมาก ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนที่ตามหลังเขาอยู่ก็มีความหยิ่งยโสอยู่เต็มหน้า ทำตัวโหดเหี้ยมน่ากลัว ให้ความรู้สึกของสุนัขอิทธิพลเจ้านาย
“คำพูดของฉันเธอไม่ได้ยินหรือไง? ทำเรื่องลงทะเบียนเรียนให้ฉันก่อน!” คำพูดของเซวียนเยวี๋ยนอวี่มุทะลุมาก อายุยังน้อยก็ยโสโอหังถึงขนาดนี้แล้ว ทำเอาคนข้างๆ ตกตะลึง
อาจารย์หญิงที่กำลังทำเรื่องลงทะเบียนเรียนให้แก่เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เดิมทีเซวียนเยวี๋ยนอวี่คนนี้ก็มาก่อเรื่อง หากเป็นคนธรรมดาคงถูกสั่งสอนไปนานแล้ว แต่ว่าคนๆ นี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา เด็กอายุสิบหกปีคนหนึ่งสามารถขับรถสปอร์ตบูกัตติเวย์รอนได้ รวมกับบอดี้การ์ดน่ากลัวสองคนที่ด้านหลัง เมื่อมองแล้วก็ให้ความรู้สึกของตระกูลที่มีอำนาจมีอิทธิพลออกมา หากไปหาเรื่องง่ายๆ ก็คงมีปัญหาหนักแล้ว
ปัง!
ชายฉกรรจ์หนึ่งในนั้นตบลงบนโต๊ะ ตะโกนเสียงดังว่า “คำพูดของคุณชายน้อยของพวกเรา แกฟังไม่ได้ยินหรือไง? ต้องการให้ฉันทำให้แกตายหรือเปล่า?”
อาจารย์หญิงคนนั้นถูกชายฉกรรจ์ทำให้ตกใจจนแทบจะทรุดลงไปนั่งบนเก้าอี้ ทำได้เพียงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วพูดกับเสี้ยวหยาว่า “นักศึกษาคนนี้ ขอโทษด้วยค่ะ รออีกคู่หนึ่งเดี๋ยวครูจะทำเรื่องให้เธอนะ!”
“อาจารย์คะ หนูเองก็มีธุระเร่งด่วน อาจารย์ทำเรื่องให้หนูก่อนเถอะ ขอร้องล่ะค่ะ!” เสี้ยวหยามองไปยังอาจารย์หญิงอย่างกระวนกระวายแล้วพูดขึ้น
ในตอนนี้เอง ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าของเซวียเยวี๋ยนอวี่ มองเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “แกมีธุระเร่งด่วน? ใครก็มีธุระเร่งด่วนทั้งนั้น อยู่ต่อหน้าคุณชายน้อยของพวกเราก็ต้องหลบทางไปข้างๆ ผู้หญิงอย่างแกไม่คุ้นเคยหรือไง? อยากตายเหรอ?”
“พวกคุณ พวกคุณแซงคิวยังเรียกว่ามีเหตุผลอีกเหรอคะ?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“แซงคิว หึ อย่าพูดถึงเรื่องแซงคิวเลย ต่อให้แทงแกก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ รีบไสหัวไปซะ ให้คุณชายของพวกเราทำเรื่องลงทะเบียนเรียน ไม่งั้นแกได้เห็นดีกันแน่!” คำพูดของชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งยิ่งไร้ยางอายและพาลเพโลเป็นอย่างมาก เมื่อมองเสี้ยวหยาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดวงตาทั้งสองก็เปล่งประกายหื่นกระหายออกมา
“คุณ พวกคุณจะเกินไปแล้ว…” เสี้ยวหยาได้ยินชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งพูดจาดูถูกตนเอง ก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดอันขาวนวลจนแน่น แม้ว่าบ้านของเธอจะจนมากและไม่มีอำนาจอิทธิพลอะไร แต่ว่า เป็นมนุษย์ก็ยังต้องมีความเคารพในตัวเอง ความเคารพในตัวเองของทุกคนย่อมไม่ถูกคนอื่นเหยียบย่ำง่ายๆ
ตอนนี้เองเซวียนเยวี๋ยนอวี่อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเสี้ยวหยาปราดหนึ่ง เด็กอายุสิบหกปีคนหนึ่ง ทำท่าทางเหมือนคนใหญ่คนโต มีความยโสโอหังถึงขั้นสุด พูดกับเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ให้เธอทำเรื่องเข้าเรียนให้แกก่อน เธอกล้าหรือเปล่า?”
ส่งอำนาจมาก โอหังมาก แม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย คำพูดเหล่านี้กำลังทำลายจิตใจอันเคารพตัวเองที่อยู่ลึกๆ ในใจของคนอื่น ทำลายขีดจำกัดของพวกเขา เหยียบย่ำภาคภูมิใจในตัวเองของพวกเขา
“คุณ…”
“ฉะ ฉันจะจัดการให้คุณก่อนแล้วกันค่ะ นักศึกษาคนนี้เธอรอหน่อยนะ!”
เสี้ยวหยาโกรธจนพูดไม่ออก อีกทั้งเธอก็มีธุระสำคัญที่ต้องไปทำจริงๆ อาจารย์หญิงที่กำลังทำเรื่องเข้าเรียนคนนั้น ตกใจจนทนไม่ไหวแล้ว แน่นอนว่าเธอสามารถล่วงเกินเสี้ยวหยาได้ แต่ไม่กล้าล่วงเกินเซวียนเยวี๋ยนอวี่
บริเวณนั้นมีนักศึกษาอยู่มาก ต่างก็กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด ในใจรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ก็แค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบปีคนหนึ่งเท่านั้น ถึงกับกล้าวางอำนาจขนาดนี้ คำพูดคำจาก็มุทะลุถึงขั้นสุด ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ทำเหมือนว่าใครเจอเขาก็ต้องหลีกทางให้อย่างไรอย่างนั้น
ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ แต่กลับไม่มีใครที่กล้าลุกขึ้นมาพูดอะไร ใครก็ไม่กล้าล่วงเกินเซวียนเยวี๋ยนอวี่ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินนักศึกษารอบข้างที่รู้จักเซียนเยวี๋ยนวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ก็มีเพียงความประหลาดใจและสั่นสะท้าน ไม่มีความกล้าที่จะเข้าไปยุ่งเลยแม้แต่ครึ่งส่วน
“มาก่อนอยู่หน้ามาทีหลังอยู่ท้าย การต่อแถวเป็นคุณธรรมงดงามที่สืบทอดกันมาของประเทศจีน มีแต่สัตว์เดรัจฉานเท่านั้นแหละถึงจะแซงคิว!”
เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ในตอนที่ทุกคนไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ แต่กลับมีเสียงเช่นนี้ดังขึ้น ทุกคนมองไปยังที่มาของเสียงด้วยอาการสั่นสะท้านอย่างหาที่เปรียบมิได้ ต่างก็ตกใจ ต่างก็สั่นไหว เป็นใครกันที่กล้าหาเรื่องเซวียนเยวี๋ยนอวี่ แล้วยังพูดว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่เป็นสัตว์เดรัจฉาน พี่ท่านจะโอหังเกินไปหน่อยหรือเปล่า!
เซวียนเยวี๋ยนอวี่โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ ชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็หาที่มาของเสียงไปทั่ว กำหมัดแน่นจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ เตรียมที่จะลงมือสั่งสอนคนที่กล้าพูดเรื่องไม่สมควรออกมา
เมื่อมองเห็นเงาร่างร่างหนึ่งเดินมุ่งตรงมาทางด้านนี้ คนอื่นๆต่างก็มองด้วยอาการปากอ้าตาค้าง มีเพียงเสี้ยวหยาที่อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ในใจ หัวใจพลันเต้นแรง เธอคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเย่เทียนเฉิน นักศึกษาชายหล่อเหลาที่พบกันเมื่อครู่นี้
สิ่งที่เย่เทียนเฉินทนมองไม่ได้ที่สุดก็คือ การที่ทายาทตระกูลสูงเห็นตัวเองถูกตลอด ยโสโอหัง และชอบเหยียบย่ำความภาคภูมิใจของผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เซวียนเยวี๋ยนอวี่หาเรื่องไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเสี้ยวหยา เสี้ยวหยาที่เจอกับเย่เทียนเฉินเมื่อครู่นี้เพียงพริบตาเดียวก็สามารถทำให้เขาคิดไปถึงผู้หญิงที่ตัวเองรักที่สุดในยุคสิ้นโลกขึ้นมาได้ เสี้ยวหยาและเธอมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันมาก หรือสวรรค์จะต้องการให้โอกาสตนเองอีกครั้ง ให้โอกาสเขาได้ปกป้องทะนุถนอมนางหรือ? นี่ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินเกิดความรู้สึกอยากปกป้องเสี้ยวหยาเอ่อล้นอยู่ในใจ ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนก็ตามมาหยามเธอ
“ไอ้ลูกเต่า แกรนหาที่ตายหรือไง?” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมแล้วพูดขึ้น
“มีอะไรต้องพูดมากอีก อัดมันให้เจียนตายแล้วค่อยว่ากัน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครกล้าด่าฉันเซวียนเยวี๋ยนอวี่คนนี้มาก่อน!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น
จินตนาการได้เลยว่า คำพูดประโยคนี้ออกมาจากปากของเด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง ล้วนทำให้ผู้คนอยากจะเข้าไปอัดเขาแรงๆ สักยก อยากเข้าไปสั่งสอนเขาอย่างโหดเหี้ยมแทนพ่อแม่ของเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ตลอดมาก็สนใจแต่หลักการไม่สนใจตัวคนอย่างเย่เทียนเฉินเลย
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่พูดไม่จา ทำเพียงเดินเข้ามาหาตนเอง เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็โกรธจนสองตาแดงก่ำ ตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็เป็นเหมือนดอกไม้ในเรือนกระจก แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกคนดูหมิ่นขนาดนี้มาก่อน เมื่อก่อนใครเห็นเขาแล้วไม่เคารพนอบน้อมบ้าง? ต่อให้เป็นคนไม่รู้จักก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรไม่เข้าหู ได้แต่เงยหน้ามองเขาเท่านั้น
ชายฉกรรจ์สองคนได้ยินคำพูดของคุณชายเซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็สบตากัน แล้วเดินไปหาเย่เทียนเฉินพร้อมๆ กัน กำหมัดแน่นจนส่งเสียงออกมา
“ไอ้เด็กระยำ ตอนนี้ก็คุกเข่าลงแล้วร้องขอชีวิตซะก็ยังทั…อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ท่ามกลางสายตาตะลึงงันของทุกคน เย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบชายฉกรรจ์คนหนึ่งจนกระเด็นออกไป ตกลงไปไกลหลายเมตร ชายฉกรรจ์คนนั้นแข็งแรงกำยำและยังสูงมากด้วย แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินถีบจนลุกไม่ขึ้นในครั้งเดียว ทำเอานักศึกษาชายหญิงทุกคนที่อยู่ที่นี้ตกใจ มองเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึง ใครก็คิดไม่ถึงว่านักศึกษาชายที่เป็นคนพูดจะร้ายกาจถึงขนาดนี้
“แกรนหาที่ตาย…อ๊าก!”
ชายฉกรรจ์คนที่สองเองก็ไม่ต้องมีชะตาไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย ถูกเย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบจนปลิว ชายฉกรรจ์ทั้งสองดูผิวเผินกำยำแข็งแรงเป็นอย่างมาก ฝีมือก็ไม่อ่อนแอ แต่กระทั่งโอกาสจะลงมือก็ยังไม่มี ถูกเย่เทียนเฉินถีบจนปลิวออกไป ไม่มีแรงที่จะโจมตีกลับอีก
ต่อหน้านักศึกษาชายหญิงนับร้อยคน สองมือของเย่เทียนเฉินล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยืนอยู่กับที่ด้วยท่าทางหล่อเหลาเป็นอย่างมาก ชายฉกรรจ์ทั้งสองที่บุ่มบ่ามเข้าไปก็ถูกเขาอัดจนหมอบกับพื้นแบบนี้ กรีดร้องโอดครวญอย่างอนาถ ทำเอาทุกคนตกใจจนปากอ้าตาค้าง ในดวงตาของผู้หญิงหลายคนปรากฏร่องรอยความรักสีชมพูขึ้น เป็นฉากที่น่าชื่นชมมาก
เย่เทียนเฉินไม่สนใจชายฉกรรจ์ทั้งสองที่นอนหมอบอยู่บนพื้นอีก และไม่สนใจนักศึกษาชายหญิงรอบๆ ที่มีท่าทางตะลึงงัน บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มไม่เป็นพิษเป็นภัย เดินเข้าไปเบื้องหน้าเซวียนเยวี๋ยนอวี่และเสี้ยวหยา แล้วพูดกับอาจารย์หญิงที่เป็นคนทำเรื่องเข้ารับการศึกษาด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์ครับ คุณผู้หญิงคนนี้มาก่อน ก็ทำเรื่องเข้าเรียนให้ผู้หญิงคนนี้ก่อนเถอะครับ”
“แกเป็นใคร? รู้ไหมว่าฉันคือใคร? แก…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ได้สติกลับมา มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมคิดจะโวยวายขึ้นมา ไหนเลยจะรู้ว่าคำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ ก็ต้องเจอกับการตบหน้าของเย่เทียนเฉิน
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือตบลงบนใบหน้าของเซวียนเยวี๋ยนอวี่อย่างรุนแรง ตบจนเขาทรุดลงไปกับพื้น ยิ่งทำให้เขาโกรธและมองเย่เทียนเฉินอย่างหวาดกลัว เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้จะถึงกับกล้าตบตนเองเชียว? บนโลกนี้ยังมีคนที่กล้าตบกันเองอีกหรือ?
นักศึกษาที่อยู่รอบๆ เองก็ต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก ไม่มีใครคิดว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ยอมพูดกับเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ก็ลงมือตบหน้าไปครั้งหนึ่งแล้ว สั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ต่อหน้านักศึกษาชายหญิงนับร้อยคน
“จบแล้ว ไอ้หมอนี่ถึงกับตบเซวียนเยวี๋ยนอวี่เลย”
“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็ยังกล้าไปหาเรื่อง เบื่อชีวิตแล้วหรือไง?”
“ไอ้หมอนี่ต้องตายแน่ ดูจากฐานะของเขา อย่างมากที่บ้านก็คงเป็นแค่ชนชั้นกลางธรรมดา ด้วยอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็สามารถเหยียบเขาให้ตายได้เหมือนกับเหยียบหมดตัวหนึ่ง!”
“วีรบุรุษช่วยสาวงาม ต้องการออกหน้าให้สาวงาม ก็ต้องดูแลตัวเองด้วยว่ามีความสามารถหรือเปล่า ฝืนไปก็อาจตายอย่างอนาถได้”
ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ของนักศึกษาเหล่านี้ เสี้ยวหยาก็เคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว รีบดึงชายเสื้อของเย่เทียนเฉินแล้วพูดเสียงเบาว่า“นายรีบไปเถอะ อย่าหาเรื่องเลย ขอบคุณมาก!”
“ไม่เป็นไร ฉันคนนี้ไม่ชอบหาเรื่อง แต่พอเห็นทายาทตระกูลสูงปัญยาอ่อน ก็คิดอยากจะหาเรื่องขึ้นมาแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ
“แก…แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? แกกล้าลงมือตบฉัน ฉันจะฆ่าล้างตระกูลของแกซะ!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตะโกนด่า
เพี๊ยะ!
ตบไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เย่เทียนเฉินลงมือรุนแรงมากยิ่งขึ้น ตบจนมุมปากของอีกฝ่ายมีเลือดไหลออกมา ทำเอาคนที่เห็นเย็นสันหลังวาบ ในใจกำลังคิดว่าคนที่กล้าตบเซวียนเยวี๋ยนอวี่คนนี้เป็นใครกันแน่? หรือว่าเขาไม่รู้ว่าหากล่วงเกินเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ไม่เพียงแต่ตนเองจะมีปัญหา แต่ยังจะเกี่ยวพันไปถึงคนในครอบครัวด้วย?
“แก ฉันจะต้องฆ่าแกหน้า ฆ่าครอบครัวแกทั้งหมดด้วย!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ลุกขึ้นมาจากพื้น เช็ดเลือดที่มุมปาก ตะโกนเสียงดังดุจสายฟ้าฟาด
เพี๊ยะ!
เส้นประสาทของทุกคนต่างตึงเครียดจนอาจเรียกได้ว่าแทบจะปริแตกแล้ว เย่เทียนเฉินไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว สุดท้ายในตอนนี้ ก็ใช้เท้าถีบอีกฝ่ายนึงจนกระเด็นออกไป พุ่งเป็นวงโค้งกลางอากาศแล้วตกลงมาที่พื้นอย่างรุนแรงจนสลบไป