เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 161 ถูกใจลูกเขยเย่เทียนเฉิน?
แม่ของเสี้ยวหยาเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ภายใต้เทคโนโลยีด้านการแพทย์ในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีวิธีการรักษาโรคของเธอให้หายดี เย่เทียนเฉินเองก็คิดถึงวิธีการที่ดีกว่านี้ไม่ออก ทำได้เพียงให้ผู้อำนวยการหลินพูดโกหกกับเสี้ยวหยาดี นั่นก็คือให้บอกไปว่าหากว่าใช้วิธีการรักษาแบบดั้งเดิม แม่ของเธอก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสิบปีขึ้นไป ทำให้ในใจของเธอดีขึ้นบ้างเล็กน้อย
โรคมะเร็งในโลกปัจจุบันนี้รักษาได้ยากมาก แต่ในช่วงยุคสิ้นโลกกลับไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้น วิธีการที่ง่ายและตรงจุดมากที่สุดก็คือ หาผู้มีพลังพิเศษสายรักษาคนหนึ่งที่มีวิชารักษาที่แข็งแกร่ง กำจัดเซลล์มะเร็งทั้งหมดโดยผ่านการใช้พลังพิเศษของพวกเขา ทำให้จุดที่เป็นโรคของผู้ป่วยสะอาดเหมือนใหม่ รักษาจนหายอย่างหมดจด
เพียงแต่น่าเสียดายที่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินยังไม่พบผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถในการรักษาเลย ผู้มีพลังพิเศษประเภทนี้ในช่วงยุคสิ้นโลกก็นับเป็นสิ่งล้ำค่าแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในโลกแห่งนี้เลย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะปวดหัว ควรจะไปหาผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถทางด้านการรักษาอันแข็งแกร่งนี้มาจากไหน?
เย่เทียนเฉินนั่งสูบบุหรี่พิงอยู่บนเบาะของรถสปอร์ต ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว หลิงอวี่สวิ๋นเองก็ไม่ได้พูดอะไร ในตอนนี้อารมณ์ของทั้งสองดูเหมือนว่าจะหม่นหมอง ไม่ได้กลั่นแกล้งหรือหยอกล้อกันอีก ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน กำลังกังวลเรื่องของเสี้ยวหยา
ที่เย่เทียนเฉินพยายามช่วยเหลือเสี้ยวหยามากขนาดนี้ สาเหตุหนึ่งที่ง่ายและตรงประเด็นอย่างมากก็คือ เธอมีหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลก และยังมีลักษณะนิสัยที่เหมือนกัน แต่ในช่วงยุคสิ้นโลกผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งคนนั้นได้ตายไปแล้ว กลายเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เมื่อได้พบกับเสี้ยวหยาจึงอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกคาดหวัง
ส่วนหลิงอวี่สวิ๋นช่วยเหลือเสี้ยวหยาก็เป็นเพราะเธอถูกชะตากับอีกฝ่าย ต่อให้เป็นการพบหน้ากันครั้งแรก แต่ก็รู้สึกราวกับเป็นเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันหลายปี เป็นเพื่อนประเภทที่สามารถพูดคุยความในใจกันได้ ความจริงแล้วหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาต่างก็มีจิตใจดีและบริสุทธิ์ เพียงแต่นิสัยของหลิงอวี่สวิ๋นออกจะไม่ค่อยเรียบร้อย เป็นผู้หญิงที่นิสัยเปิดเผยคนหนึ่ง ส่วนเสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่โดดเด่นประเภทจันทร์หลบโฉมสุดามวลผกาละอายนาง[1]ประมาณนั้น
“เทียนเฉิน กังวลเรื่องอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับแล้วเอ่ยถาม
“อืม ความจริงมีเรื่องหนึ่งที่ฉันหลอกเสี้ยวหยา นั่นก็คือไม่ว่าจะเป็นวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมหรือว่าจะผ่าตัด แม่ของเธอก็จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน!” เย่เทียนเฉินสูบบุหรี่เฮือกหนึ่ง แล้วพูดขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมา
“นี่…งั้นจะทำยังไงดี หากว่าแม่ของเสี้ยวหยาจากไป เธอจะต้องเสียใจมากแน่ พวกเราควรจะช่วยเธอสักหน่อย!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ พูดออกมาด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไปเป็นร้อนใจ
ไหนเลยเย่เทียนเฉินจะไม่อยากช่วยเหลือเสี้ยวหยา หากว่านี่เป็นปัญหาที่สามารถใช้เงินแก้ไขได้ ทั้งหมดก็จะง่ายขึ้นมาก ตอนนี้สำหรับเย่เทียนเฉินที่เป็นประธานคณะกรรมการเครือไห่หวางแล้ว เงินไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ต่อให้คนคนนี้จะขี้เหนียว แต่ในเรื่องแบบนี้เขาก็จะไม่ตระหนี่อย่างเด็ดขาด
เพียงแต่น่าเสียดาย ด้วยเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ในปัจจุบัน แม้ว่าจะจ่ายเงินมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางรักษาโรคมะเร็งให้หายดีได้ ตอนนี้เย่เทียนเฉินสามารถคิดได้ถึงวิธีเดียว นั่นก็คือหวังว่าจะสามารถตามหาผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถในการรักษาอันแข็งแกร่งให้พบสักคนหนึ่ง และให้เขารักษาแม่ของเสี้ยวหยา ทำแบบนี้บางทีอาจจะยังมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ว่าต้องการหาผู้มีพลังพิเศษที่มีพลังการรักษาอันแข็งแกร่งให้พบสักคนหนึ่งจะง่ายดายเชียวหรือ?
“ฉันรู้แล้ว แต่ว่าทำได้ยากมาก!” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วพูด
“ต่างประเทศล่ะ บางทีต่างประเทศอาจจะมีเทคโนโลยีด้านการแพทย์แบบนี้ ฉันได้ยินมาว่าที่ต่างประเทศมีวิธีการที่จะสามารถควบคุมโรคมะเร็งได้ดี ต่อให้ไม่มีทางรักษาให้หายได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถเลื่อนระยะเวลาที่อาการป่วยจะกำเริบไปได้จริงๆ!” หลิงอวี่สวิ๋นเปิดปากพูด
“ไม่มีประโยชน์หรอก โรคมะเร็งของแม่ของเสี้ยวหยาได้ไปถึงระยะสุดท้ายแล้ว ไปต่างประเทศก็ไม่มีประโยชน์!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้า
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ผู้หญิงที่จิตใจดีและบริสุทธิ์แบบหยาเอ๋อร์ ทำไมสวรรค์จึงทำกับเธอแบบนี้!” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างโศกเศร้า
เย่เทียนเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาแอบสาบานอยู่ในใจว่าจะต้องรีบหาผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถในการรักษาให้เจอให้ได้ ทำแบบนี้ถึงจะสามารถรักษาชีวิตของแม่ของเสี้ยวหยาเอาไว้ได้ ถึงจะสามารถทำให้เสี้ยวหยาไม่เจ็บปวดใจได้
ตอนนี้ ภายในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา เสี้ยวหยานั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของแม่ มองไปยังแม่ของเธอที่หลับไปแล้วอย่างเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะคิดถึงตอนเด็กๆ แม่รักเธอมาก
คำพูดหนึ่งที่ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นมาก็คือ ในตอนที่คุณยังเป็นเด็ก แม่ใช้เวลาไปมากเท่าไหร่ในการสอนคุณให้ใช้ช้อนใช้ตะเกียบ สอนคุณว่าจะกินข้าวอย่างไร…ในวันที่คุณค่อยๆ เติบโต แต่แม่กลับค่อยๆ แก่ชรา…วันหนึ่งที่เธอแก่จนยืนไม่มั่นคง เดินก็เดินไม่ได้…ขอให้คุณจับมือเธอเอาไว้ให้แน่น เดินเป็นเพื่อนเธอไปช้าๆ…เหมือนกับตอนนั้นที่แม่จูงมือคุณ…
“หยาเอ๋อร์ เป็นอะไรลูก อย่าร้องเลยลูก!” แม่ของเธอลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นว่าเธอน้ำตาไหลอยู่เงียบๆ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างปวดใจ
เธอรีบเช็ดน้ำตาที่หางตาออก ไม่กล้าบอกความจริงเรื่องอาการป่วยกับแม่ ดังนั้นจึงต้องฝืนยิ้มเอาไว้
“ไม่ หนูไม่ได้ร้องค่ะ แม่ เดี๋ยวหนูจะปอกแอปเปิ้ลให้แม่นะคะ!” เสี้ยวหยาพูด พยายามยิ้มออกมา
“ไม่ต้องหรอก แม่ไม่อยากกิน หยาเอ๋อร์มานั่งนี่สิลูก แม่มีอะไรที่อยากจะคุยกับลูก!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา
“ค่ะ! งั้นหนูจะคุยเป็นเพื่อนแม่เอง!” เสี้ยวหยาพยักหน้าแล้วพูดอย่างเชื่อฟังรู้ความ
แม่ของเสี้ยวหยามองเธอครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “หยาเอ๋อร์ เพื่อนผู้ชายของลูกคนนั้นชื่ออะไร ลูกรู้จักเขาดีหรือเปล่า?”
“แม่คะ ทำไมแม่ถึงถามแบบนี้ หมายความว่าไงคะ?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง รู้สึกกระเง้ากระงอดอยู่บ้าง
“แม่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย ดีมาก ปฏิบัติต่อลูกก็ไม่เลวเลย ความเสียใจที่สุดในชีวิตนี้ของแม่ ก็คือไม่สามารถเห็นวันที่ลูกสาวของแม่เดินเข้าพิธีวิวาห์และไม่ได้เห็นลูกแต่งงานกับสามีอย่างเบิกบานใจ” แม่ของเสี้ยวหยาพูด มีความรู้สึกว่าน้ำตาจะไหล
“แม่คะ แม่พูดอะไร แม่จะต้องมีชีวิตยืนยาวเป็นร้อยปีแน่นอน ตอนนี้แม่ก็เป็นแค่โรคลำไส้อักเสบเท่านั้น อย่าได้คิดฟุ้งซ่านเลยค่ะ!” เสี้ยวหยารีบเปิดปากพูด
“ฮ่ะๆ หยาเอ๋อร์ ลูกอย่าหลอกแม่เลย ร่างกายของแม่ย่อมรู้ดีที่สุด ตอนนี้ความหวังที่ใหญ่ที่สุดของแม่ก็คือ สามารถได้เห็นหยาเอ๋อร์ของแม่แต่งออกไป มีชีวิตที่มีความสุข!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
“แม่คะ แม่จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน จะต้องไม่เป็นอะไรแน่!” เสี้ยวหยาโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของมารดา พูดอย่างแน่วแน่
เมื่อเห็นลูกสาวของตนเอง บนใบหน้าของแม่ของเสี้ยวหยาก็ปรากฏรอยยิ้ม ตั้งแต่เล็กจนโตลูกของเธอรู้ความมาก ซักเสื้อผ้าทำกับข้าวอะไรต่างๆ ล้วนช่วยตนทำทัังหมด ยิ่งไปกว่านั้นการที่มีลูกสาวที่น่ารักและรู้ความแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกภาคภูมิใจและชื่นชม เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายของเธอเป็นอย่างไร ตัวเองรู้ดีที่สุด บางทีอาจจะมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ความคาดหวังในใจที่ใหญ่ที่สุดก็คือได้เห็นลูกสาวแต่งงานไป หรืออย่างน้อยในตอนนี้ก็สามารถมีแฟนที่รักเธอคนหนึ่ง
ในตอนที่เย่เทียนเฉินไปบ้านครอบครัวเสี้ยว ถึงแม้ว่าตอนนั้นแม่ของเสี้ยวหยาจะอาการกำเริบและเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยังสังเกตเย่เทียนเฉิน และรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย การกระทำเรื่องราวต่างๆ ก็มีหลักการเป็นของตนเอง และดูเหมือนจะมีใจให้ลูกสาวของตน
นี่เป็นจิตใจของคนเป็นแม่ ไม่ว่าจะเวลาไหนต่างก็คิดเพื่อลูกของตน ต่อให้ป่วยจนแทบจะหมดสติ สิ่งแรกที่คิดก็คือเรื่องของลูกสาว ความรักของแม่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ เพียงแต่นานแล้วที่ลูกๆ ไม่ใส่ใจ
“หยาเอ๋อร์ แม่คิดว่าเพื่อนชายคนนี้ของลูกไม่เลวเลย เขาใส่ใจลูกมาก หากว่าวันหลังแต่งงานกับเขา คงจะมีความสุขแน่!” แม่ของเสี้ยวหยาลูบหัวของเธอแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ
“แม่คะ แม่ แม่พูดอะไร หนูเพิ่งจะเรียนมหาวิทยาลัยเอง!” เสี้ยวหยาพูดอย่างเขินอาย
ตั้งแต่เล็กจนโต เสี้ยวหยาก็เป็นผู้หญิงที่รู้ความมากและตั้งใจเรียนหนักมาก เติบโตมาเป็นคนที่เชื่อฟังและมีจิตใจบริสุทธิ์ ผู้ชายที่ตามจีบเธอย่อมมีไม่น้อย แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน และอยากจะใช้ความพยายามของตนเองทำให้พ่อแม่มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข รวมกับพี่หลายปีมานี้ด้วยอาการป่วยของแม่จึงทำให้ไม่สามารถทำงานบ้านได้ ส่วนพ่อก็ต้องออกไปหาเงิน ดังนั้นทุกวันพอเลิกเรียนเธอก็จะรีบกลับบ้านไปทันทีเพื่อช่วยแม่ทำงานบ้าน เพื่อที่จะคลายความกังวลของแม่ลงบ้าง ทั่วทั้งหมู่บ้านเล็กๆ นี้ ทุกครอบครัวทุกตระกูลต่างก็อิจฉา อิจฉาครอบครัวเสี้ยวพี่มีลูกสาวรู้ความเชื่อฟังและผลการเรียนดีเลิศแบบนี้
“เพิ่งจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ลูกก็อายุสิบแปดปีแล้ว สามารถมีแฟนได้แล้ว จุดนี้แม่ไม่ใช่คนคร่ำครึ ลูกโตแล้วก็ควรจะมีชีวิตเป็นของตนเอง และด้วยอาการป่วยของแม่ในตอนนี้ หวังว่าจะเห็นลูกมีแฟนดีๆ สักคนให้เร็วหน่อย เพื่อนนักเรียนชายที่ชื่อเย่เทียนเฉินคนนั้น ก็ดูท่าทางไม่เลวเลย รูปร่างหน้าตาก็หล่อเหลา แล้วมีความสามารถที่จะปกป้องลูกด้วย!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดยิ้มๆ
หากว่าไม่ใช่เพราะอาการป่วยของตน บางทีแม่ของเสี้ยวหยาคงไม่พูดแบบนี้ ที่เธอพูดกับลูกสาวแบบนี้เป็นเพราะเธอเป็นห่วงตนเอง เป็นห่วงว่าอยู่ดีๆสักวันหนึ่งตนเองจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีก อยากเห็นลูกสาวมีครอบครัวที่ดี เด็กผู้หญิงคนหนึ่งแม้ว่าจะมีความสามารถอย่างไร ก็ต้องมีที่พึ่งพิง ต้องมีครอบครัวและชีวิตของตัวเอง
“แม่คะ แม่คิดมากไปแล้ว คนอื่นเขาก็แค่ใจดีมาช่วยเหลือพวกเรา ชอบไม่ชอบหนูก็ยังไม่แน่…” เสี้ยวหยาพูดเสียงเบาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
กล่าวตามจริงแล้ว เย่เทียนเฉินช่วยเหลือเสี้ยวหยามากเหลือเกิน มากจนน่าประหลาดและทำให้หวั่นไหว หากว่าผู้ชายเช่นนี้ไม่สามารถทำให้ผู้หญิงใจเต้นได้ ก็คงบอกได้เพียงว่าผู้หญิงคนนี้เป็นพวกรักร่วมเพศ ดังนั้นในส่วนลึกของจิตใจเธอ ยังคงหวั่นไหวอยู่บ้างเล็กน้อย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอเจอผู้ชายที่มีนิสัยแบบนี้
“ฮ่ะๆ หยาเอ๋อร์ของพวกเราหมายความว่า หากว่าผู้ชายที่ชื่อเย่เทียนเฉินคนนั้นตามจีบลูกละก็ ลูกก็จะลองพิจารณาคบหากับเขาใช่ไหม?” แม่ของเสี้ยวหยาจงใจเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“มะ ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย แม่ แม่รักษาอาการป่วยไปดีๆก็พอแล้ว อย่ามานั่งกังวลทั้งวันเลย!” เสี้ยวหยาทำหน้าทะเล้นใส่มารดาของตน ยิ้มอย่างน่ารัก และมีท่าทางเขินอายเล็กน้อย
[1] จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง เป็นบทกลอนท่อนหนึ่งที่ใช้บรรยาสี่ยอดพธู ซึ่งในท่อนนี้จะหมายถึงเตี้ยวเสี้ยนและหยางกุ้ยเฟย