เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 171 เซวียนเยวี๋ยนเถิง
เมื่อเดินออกมาจากห้องทำงานของตึกภาควิชาโบราณคดีแล้ว เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองตึกนี้ เพราะว่าเขามักจะรู้สึกได้ว่าตึกนี้มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งอยู่ โดยเฉพาะในตอนที่เขาเพิ่งจะเหยียบย่างมายืนอยู่หน้าตึกแห่งนี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังพิเศษอันแข็งแกร่งเกินพิกัด กระทั่งสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งตัวตึกได้ ช่างทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านมากจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เย่เทียนเฉินจูงมือหลิงอวี่สวิ๋น พุ่งทะยานเข้าไปด้วยความเร็ว ขึ้นไปยังชั้นสามด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่พลังพิเศษอันแข็งแกร่งนั้นกลับเลือนหายไปในชั่วพริบตาโดยไม่เหลือร่องรอย นี่ยิ่งทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสั่นไหว คนที่สามารถใช้พลังพิเศษที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว จะต้องเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมืออย่างแน่นอน
“เป็นอะไรไป? อาลัยอาวรณ์อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยหรือไง?” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินหันกลับไปมองตึกภาควิชาโบราณคดีอยู่เป็นระยะ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างล้อเลียน
เย่เทียนเฉินได้สติกลับมา ทันใดนั้นเขาคิดว่าหลิงอวี่สวิ๋นไร้เดียงสาจริงๆ บางครั้งก็ไร้เดียงสาจนน่ารัก ไม่ใช่ว่าตนตั้งใจจะหลอกลวงอะไรเธอ เพียงแต่เรื่องนี้ยิ่งรู้น้อยก็จะยิ่งปลอดภัย อย่างไรเสียในโลกแห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งพรรควรยุทธโบราณและยอดฝีมือแห่งโลกพลังพิเศษก็มีสถานะลึกลับเป็นอย่างมาก หากว่าคนธรรมดารับรู้เรื่องของพวกเขาก็จะไม่มีผลดีเลยแม้แต่น้อย และยังอาจจะดึงดูดอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย
ดังนั้นในตอนเริ่มแรก เย่เทียนเฉินจึงแสร้งทำเป็นมีท่าทีลามก ทำเหมือนกับอดรนทนไม่ไหวที่จะไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวย คิดไม่ถึงว่าหลิงอวี่สวิ๋นก็ยังคงเชื่อ ตอนนี้ยังมีท่าทีเชื่อถืออยู่อีกด้วย
“ก็ใช่น่ะสิ อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยที่สวยถึงขนาดนี้ ฉันเต็มใจที่จะเข้าเรียนทุกวันเลย!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นพลางหัวเราะฮี่ๆ
หลิงอวี่สวิ๋นมองค้อนใส่เย่เทียนเฉิน เดิมทีเธอคิดว่าเย่เทียนเฉินจะเปลี่ยนแปลงท่าทางเกเรในสมัยก่อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ในตอนที่ไม่เอาไหนขึ้นมาก็เหมือนกับอันธพาลมากจริงๆ เปิดปากพูดออกไปอย่างดุดันว่า “ด้วยอีคิวแบบนี้ของนาย อาจารย์สาวสวยถูกใจนายก็แปลกแล้ว!”
“ประโยคนั้นไม่ถูกนะ ไม่แน่ว่าเสน่ห์ของฉันจะปะทุออกมาครั้งใหญ่ก็ได้ อาจจะทำบุญมาดีจนมีสาวงามมาหลงรักก็ได้นะ!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดจาหยอกล้อหลิงอวี่สวิ๋นต่อไป
“หึ ฉันขี้เกียจจะสนใจนายแล้ว ไปเถอะพวกเราไปหาเสี้ยวหยากัน ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่ของเธอเป็นยังไงบ้าง!” หลิงอวี่สวิ๋นยังคงใจดี จิตใจไม่เลวเลย ยังคงกังวลถึงเสี้ยวหยา
“อืม ตอนเที่ยงเธอคิดจะเลี้ยงอะไรฉัน?” เย่เทียนเฉินถามแล้วหัวเราะฮี่ๆ
“นาย…ผู้ชายมาดแมนอย่างนายไปกับผู้หญิงสวยๆ อย่างพวกฉันทั้งสองคน เอาแต่คิดจะให้พวกเราเลี้ยงข้าวนาย นายยังรู้สึกดีได้อีกหรือ?” หลิงอวี่สวิ๋นพูด รู้สึกหมดอาลัยตายอยากและอับจนคำพูดจริงๆ
“มีอะไรให้ไม่รู้สึกดีกัน ตอนเที่ยงฉันเลี้ยงอาหารทะเลพวกเธอ เมื่อคืนเสี้ยวหยาก็เลี้ยงก๋วยเตี๋ยว วันนี้ตอนเที่ยงก็ควรจะเป็นเธอที่เลี้ยง ควรจะเป็นเธอที่เลี้ยงแล้ว…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
นาย…นาย…ไปตายซะ!” หลิงอวี่สวิ๋นถลึงตามองเย่เทียนเฉินแล้วสะบัดก้นเดินไป เสียงรองเท้าส้นสูงดังกังวาน เดินมุ่งไปยังประตูมหาวิทยาลัยด้วยความรวดเร็ว เธอไม่อยากจะเดินด้วยกันกับเจ้าหมอนี่จริงๆ
แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเจอผู้ชายที่ไม่มาดแมนไม่สุภาพบุรุษขนาดนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าหลิงอวี่สวิ๋นจะเลี้ยงข้าวไม่ได้ แต่ความขี้เหนียวของเย่เทียนเฉินทำให้คนอื่นรับไม่ไหว ผู้ชายคนหนึ่งทั้งไม่มี อีคิวทั้งขี้เหนียว มิน่าล่ะหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ของเย่เทียนเฉินถึงกังวลว่าลูกชายของตนจะแต่งเมียไม่ได้ จึงได้ร้อนรนขึ้นมาในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะอายุยี่สิบ นี่ต้องเป็นเหตุผลอย่างแน่นอน!
เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พลางเดินตามหลังหลิงอวี่สวิ๋นไปยังบริเวณประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิงด้วยกัน ตลอดทางนี้ย่อมดึงดูดสายตาของนักศึกษาชายหญิงเป็นจำนวนมาก ประการแรกก็เพราะว่าความโด่งดังของเย่เทียนเฉิน คนที่กล้าอัดน้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิงในมหาวิทยาลัยหลงเถิงและยังสามารถมีชีวิตอยู่ถึงวันถัดมาได้ เกรงว่าจะมีเพียงเย่เทียนเฉินสุดเจ๋งเพียงคนเดียวเท่านั้น ประการที่สองก็เพราะหลิงอวี่สวิ๋น สาวสวยที่จะได้รับโหวตให้เป็นดอกไม้ทั้งสี่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงในรอบใหม่ ย่อมต้องมีแฟนคลับเป็นจำนวนมาก ในหน้าแฟนเพจของมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็มีรูปของหลิงอวี่สวิ๋นอยู่เป็นจำนวนมาก ถูกนักศึกษาชายและเหล่าโอตาคุชายดาวน์โหลดและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างบ้าคลั่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชื่อเสียงของหลิงอวี่สวิ๋นโด่งดังเป็นอย่างมากในมหาวิทยาลัย
“นะ นั่นไม่ใช่หลิงอวี่สวิ๋นเหรอ? ทำไมดูเหมือนว่าจะโกรธเลยล่ะ?”
“ดอกไม้งามคนใหม่แห่งมหาวิทยาลัย ทั้งสวยและเซ็กซี่มากจริงๆ แล้วยังมีร่างกายนั่นอีก ทำให้น้ำลายไหลเลย!”
“พวกนายรีบดูสิ คะ คนที่ตามหลังมาคือเย่เทียนเฉินเหรอ?”
“พระเจ้า เป็นไอ้หมอนั่นจริงๆด้วย ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะอัดน้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไปเหรอ? ทำไมยังมาอยู่กับหลิงอวี่สวิ๋นอีก?”
“นายน้อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงต้องบ้าไปแล้วแน่เลย เย่เทียนเฉินอัดน้องชายของเขา ตอนนี้ก็มาจีบผู้หญิงของเขา ทั้งตบหน้าทั้งเล่นชู้ ผู้ชายคนไหนจะรับได้บ้าง!”
มีพวกสอดรู้สอดเห็นบางคนที่แสร้งทำใบหน้าโศกเศร้าขมขื่น ทำท่าเหมือนกำลังเห็นใจเย่เทียนเฉิน แต่ว่ามีหลายคนที่มาดูความคึกครื้น คิดอยากจะเห็นว่าเรื่องนี้จะมีจุดจบอย่างไร ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงเซวียนเยวี๋ยนเถิงขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่หาเรื่องไม่ได้ ใครที่ไปหาเรื่องก็จะต้องตาย เมื่อก่อนมีลูกผู้อำนวยการ ลูกนายกเทศมนตรีอะไรต่างๆ ไปหาเรื่องเซวียนเยวี๋ยนเถิง ก็ต้องมีจุดจบที่ถูกหักแขนหักขา นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้านแล้ว
ดังนั้นโดยปกติ ความคิดของคนส่วนใหญ่ก็คือ กำลังรอดูว่าครั้งนี้เย่เทียนเฉินจะตายอย่างไร หากพูดถึงเรื่องหาเรื่องแล้ว เย่เทียนเฉินเป็นคนที่หาเรื่องเซวียนเยวี๋ยนเถิงได้อย่างโหดเหี้ยมที่สุดคนหนึ่ง อัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่ซึ่งเป็นน้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิง แล้วตอนนี้ยังมาเดินใกล้อยู่กับผู้หญิงที่เขาตามจีบมาตลอด เกรงว่าต้องทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงโกรธจนแทบกระอักเลือด นายน้อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างเขา มีอำนาจอิทธิพลที่ค่อนข้างแข็งแกร่งมาโดยตลอด มีใครกล้าหาเรื่องกับเขาแบบนี้บ้าง เขาจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน? ยังจะอยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงต่อไปได้อย่างไร?
เมื่อเดินมาถึงบริเวณประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง หลิงอวี่สวิ๋นก็เดินขึ้นรถสปอร์ตของตนโดยไม่สนใจเย่เทียนเฉินอีก สตาร์ทรถแล้วขับไปยังทิศทางของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เย่เทียนเฉินขี่มอเตอร์ไซค์ของตน ใช้รองเท้าแตะสุดเจ๋งของตนสตาร์ทรถ ทำให้นักศึกษาจำนวนมากที่ดูอยู่บริเวณประตูมหาวิทยาลัยรู้สึกอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก
ตลอดทาง เย่เทียนเฉินขับรถมอเตอร์ไซค์ของตนอยู่ข้างรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋น คอยก่อกวนอยู่เป็นระยะ เขารู้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นถูกตัวเองทำให้โกรธจนเคืองไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงหยอกล้อด้วยใบหน้าทะเล้น หลิงอวี่สวิ๋นทำหน้ายู่ เบะปากเล็กๆของตน ดูน่ารักเป็นอย่างมาก ใช้ดวงตาอันสวยงามจองเย่เทียนเฉินเป็นระยะ ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
“ฮ่าๅ ตอนเด็กๆเธอโกรธก็มีท่าทางแบบนี้ ผ่านไปหลายปีแล้วยังไม่เปลี่ยนอีก?” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ
“หึ เจ้าบ้า เป็นนายที่เปลี่ยน เมื่อก่อนนายไม่มีท่าทีอันธพาลแบบนี้ น่ารังเกียจ…” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“เมื่อก่อนเป็นเพราะว่าเธอยังเด็ก ตอนนี้ยิ่งโตก็ยิ่งสวย ผู้ชายคนไหนจะไม่ใจเต้นบ้าง? ฉันก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นก็เลยหยอกล้อเธอ ก็เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาไม่ใช่เหรอ?” เย่เทียนเฉินพูดเสียงดัง
ได้ยินประโยคนี้ของเย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ตนเองจึงไม่โกรธ หรือจะเป็นเพราะในส่วนลึกของจิตใจยังคงมีความรู้สึกดีๆ ต่อเย่เทียนเฉินในวัยเด็กหลงเหลืออยู่? ผู้หญิงคนหนึ่งมักจะจดจำเรื่องราวในสมัยเด็กได้โดยไม่ลืมเลือน เพราะในช่วงเวลานั้นเธอมีจิตใจที่บริสุทธิ์ที่สุด และใฝ่หาความรักที่บริสุทธิ์ที่สุด
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหลิงอวี่สวิ๋นแดงระเรื่อ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ล้อเล่นอะไรกัน ในช่วงยุคสิ้นโลกข้างกายของเขาล้วนเป็นหญิงงามชั้นเลิศ หากต้องการจะแย่งชิงหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าไม่มีเทคนิคเลยแม้แต่น้อยจะได้รับความรักจากผู้หญิงมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร
เพียงแต่หลังจากได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบธรรมดา ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของตนอย่างมีความสุขและเบิกบานใจ ส่วนเรื่องของชายหญิง กลับไม่ได้คิดอะไรมาก สรุปแล้ว เย่เทียนเฉินเป็นผู้ชายที่มีทั้งด้านอันธพาลและด้านที่เป็นดั่งเทพแห่งความตาย ไม่สามารถใช้ตรรกะปกติมาตัดสินได้ แล้วเพราะมีนิสัยแบบนี้ จึงทำให้คนจำนวนมากมองไม่ออกว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนอย่างไร
“นับว่านายยังพูดจาภาษามนุษย์อยู่ ฉันจะทำเป็นให้อภัยนายก็แล้วกัน!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดกับเย่เทียนเฉินแล้วยู่ปากเล็กๆ
“อะไรคือนับว่าฉันยังพูดจาภาษามนุษย์อยู่? ดูเหมือนว่าเธอจะคุยกับฉันมาตลอด หรือว่าเธอกำลังด่าตัวเอง?” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะ
“ไอ้บ้า!”
บนทางด่วน เมื่อเจอกับเสียงตะโกนอันน่ารักของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินก็หัวเราะเสียงดัง ทั้งสองขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงด้วยความเร็ว วันนี้เป็นวันรายงานตัววันแรก แต่เสี้ยวหยาไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัย นี่ทำให้เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง คงจะไม่ใช่ว่าอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาแย่ลงหรอกนะ?
ยังเป็นรถมอเตอร์ไซค์ของเย่เทียนเฉินที่เร็วกว่า ที่สำคัญก็คือคนคนนี้ขับอยู่ข้างๆ และหยอกล้อหลิงอวี่สวิ๋นอยู่เป็นระยะ จึงทำให้หลิงอวี่สวิ๋นไม่มีสมาธิในการขับรถ ฝ่าไฟแดงไปหลายครั้ง โกรธจนทนไม่ไหว
เย่เทียนเฉินจอดรถมอเตอร์ไซค์สุดเจ๋งที่หน้าประตูโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง โดยมีรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นตามมาถึงติดๆ กัน ทั้งสอง คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา พบว่าเสี้ยวหยากำลังนอนหลับอยู่ที่เตียงข้างๆ แม่ของเสี้ยวหยากำลังลูบศีรษะเธอเบาๆ
เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นเดินเข้ามา แม่ของเสี้ยวหยาก็ทำท่าทางจุ๊ๆ เป็นสัญญาณให้เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นอย่าส่งเสียงปลุกเสี้ยวหยา
“คุณน้าคะ ดีขึ้นบ้างหรือเปล่าคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นเลยถามเสียงเบาอย่างใส่ใจ
“ดีขึ้นมากแล้วจ้ะ ขอบคุณเธอมาก เมื่อคืนหยาเอ๋อร์ไม่ได้นอนทั้งคืน คอยเฝ้าน้าตลอด กลัวว่าน้าจะอาการกำเริบ เพิ่งจะได้นอนเอง!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
“วางใจเถอะครับคุณน้า อาการป่วยของคุณจะต้องดีขึ้นแน่นอน ผมคิดวิธีได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปาก
แม่ของเสี้ยวหยามองสำรวจเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง รู้สึกจากใจจริงว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย ทุ่มเทกายใจเต็มที่เพื่อเรื่องของตน หากว่าเขาชอบเสี้ยวหยาจริงๆ เธอก็จะไม่ต่อต้านการคบหาระหว่างลูกสาวกับเย่เทียนเฉิน อย่างไรเสียเมื่อลูกสาวโตขึ้นแล้วก็จะต้องมีชีวิตเป็นของตนเอง มีเส้นทางเดินเป็นของตนเอง และมีครอบครัวเป็นของตนเอง พ่อแม่ที่คิดถึงลูกสาวจริงๆนั้น จะต้องไม่สร้างความลำบากให้แก่ลูกสาว ไม่กลายเป็นภาระและความลำบากของเธอ
“ขอบคุณเธอมาก น้าได้ยินหยาเอ๋อร์บอกว่าพวกเธอเพิ่งจะรู้จักกัน ลูกน้าสามารถรู้จักกับเพื่อนดีๆเหมือนพวกเธอทั้งสองคนได้ นับว่าเป็นบุญจริงๆ!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดพลางพยักหน้า