เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 227 คุณหนูตระกูลหลัวกลับมาแล้ว!
เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่า ที่หลายปีมานี้หลัวเยี่ยนไม่เคยพูดถึงตระกูลเดิมเลยนั้น เป็นเพราะการแต่งงานกับเย่หงเมื่อปีนั้น ทำให้เกิดการคัดค้านของคนตระกูลหลัว และยังบีบบังคับหลัวเยี่ยนจนต้องทะเลาะกับพ่อของเธอ แล้วตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกัน ทั้งยังถูกไล่ออกมาจากตระกูลหลัว เชื่อว่าใบปีนั้นหลัวเยี่ยนและเย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉินจะต้องได้รับความอัปยศจากเหล่าพี่น้องและคุณลุงคุณอาของหลัวเยี่ยนไม่หยุดหย่อนแน่นอน นั่นเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่หลัวเยี่ยนและเย่หงไม่ต้องการที่จะกลับไป
วันนี้คุณย่าของหลัวเยี่ยนซึ่งก็คือคุณยายทวดของเย่เทียนเฉินป่วยหนัก แทบจะเป็นวาระสุดท้าย ในตอนที่เผชิญหน้ากับความตายจึงคิดที่จะเห็นหน้าหลานสาวที่รักที่สุดของตนเองสักครั้ง คิดถึงหลัวเยี่ยนที่ออกไปจากตระกูลหลัว ยี่สิบปีแล้วที่เธอไม่ได้กลับไป มีเพียงทุกวันเกิดของคุณย่าเท่านั้นถึงจะโทรกลับไป และมีเพียงช่วงเวลาแบบนี้ที่คนตระกูลหลัวจะไม่อาจขวางเอาไว้ได้ และไม่สามารถพูดจาเสียดสีเหยียดหยามหลัวเยี่ยนได้ เพราะพวกเขาไม่กล้าทำให้คุณย่าไม่พอใจในช่วงเวลาแบบนี้
จินตนาการได้เลยว่า หญิงชราคนหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่ใกล้จะสิ้นแสง หลานสาวที่รักที่สุดซึ่งไม่ได้พบหน้ามายี่สิบปี สามารถทำได้เพียงคิดถึงอยู่ในใจ สามารถโทรคุยกันได้ไม่กี่ประโยคในวันเกิด ในใจจะเจ็บปวดขนาดไหน? ตอนนี้หากต้องจากโลกนี้ไป ก็ต้องการที่จะเห็นความหวังนั้นอีกครั้ง นี่มากพอที่จะทำให้ผู้อื่นซาบซึ้ง
หลัวเยี่ยนย่อมอยากที่จะไปตระกูลหลัวในตอนนี้อยู่แล้ว เพื่อไปเห็นวาระสุดท้ายของคุณยายทวด แต่กลับกลัวว่าจะถูกขวางเอาไว้ที่หน้าประตูตระกูลหลัว เธอไม่ได้กลัวว่าตนเองจะถูกพี่น้องเยาะเย้ย แต่กลัวว่าจะอดไม่ได้จนร้องไห้ออกมา จะทนไม่ไหวจนต้องตะโกนออกมา เพราะสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือรับรู้ได้ว่าคุณย่าอยากจะพบตนเองเป็นที่สุดแต่กลับไม่สามารถเอ่ยปากออกมาได้ และยังต้องได้ยินการทะเลาะของเธอกับพี่น้องคนอื่นๆ อีก แบบนั้นจะปวดใจมาก
ตระกูลหลัว เย่เทียนเฉินก็เคยได้ยินมาก่อน จะอย่างไรตอนนี้ตำแหน่งของเขาก็สูงขึ้นไม่หยุด เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ถึงกับมีความสัมพันธ์กับตระกูลที่มีอำนาจมากขนาดนี้ด้วย และยังเป็นคนของตระกูลหลัว นี่จะทำให้ผู้คนมากน้อยแค่ไหนตกตะลึงกัน
ภายในเมืองหลวงมีอำนาจและตระกูลใหญ่อยู่มากมาย ตระกูลหลัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น สามารถกล่าวได้ว่าตระกูลหลัวนับได้ว่าเป็นตระกูลที่อยู่ในระดับต้นๆ ของเมืองหลวงแล้ว เพราะว่าตระกูลหลัวมีคนใหญ่คนโตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง ด้านการทหาร ด้านเศรษฐกิจ หรือว่าจะเป็นกรมกองสำคัญอื่นๆ ของประเทศ ต่างก็มีคนของตระกูลหลัวอยู่ แน่นอนว่านี่เป็นประโยชน์จากผู้อาวุโสตระกูลหลัวที่ได้กลายเป็นผู้ช่วยอันดับสองของผู้นำที่เป็นดังพี่น้องร่วมเป็นตายหลังก่อตั้งประเทศ จึงเป็นรากฐานให้ลูกหลานรุ่นต่อมาได้เป็นอย่างดี ส่วนคุณพ่อของหลัวเยี่ยน ซึ่งก็คือคนตาของเย่เทียนเฉิน ก็มีความมุมานะอย่างมาก ทำให้อำนาจในแต่ละด้านของตระกูลหลัวมีความมั่นคงมากและทำให้ตระกูลหลัวกลายเป็นตระกูลที่ไม่เคยตกต่ำมานานในรอบร้อยปี
เย่เทียนเฉินขับรถโฟล์คของตระกูลเย่ พาหลัวเยี่ยนไปที่ตระกูลหลัว ไม่ว่าจะอย่างไรสุดท้ายหลัวเยี่ยนก็ยังตัดสินใจว่าจะต้องกลับไปเห็นหน้าคุณย่าสักครั้ง ตั้งแต่เล็กจนโตคุณย่าก็รักเธอที่สุด เพราะแม่ของหลัวเยี่ยนจากไปเร็ว เรียกได้ว่าคุณย่าเลี้ยงดูเธอมาจนเติบใหญ่ และมีความรู้สึกไม่เปลี่ยนแปลง รวมกับที่ไม่ได้เจอกันยี่สิบปีแล้ว จึงทำให้คิดถึงมากยิ่งขึ้น
“แม่ครับ แม่อย่ากังวลไปเลย มีลูกอยู่ รับประกันได้เลยว่าแม่จะต้องได้เจอคุณยายทวดแน่!” เย่เทียนเฉินพูดปลอบใจผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม
“เทียนเฉิน หลังจากที่ไปถึงตระกูลหลัวแล้ว แม่จะเจรจากับพวกเขาก่อน ลูกก็อย่า…” หลัวเยี่ยนรู้ว่าลูกชายของตนเองเปลี่ยนไปแล้ว แล้วกลัวว่าลูกชายจะลงมือบุ่มบ่ามที่ตระกูลหลัว ถ้าเป็นแบบนั้นคงทำให้เธอไม่มีหวังที่จะได้เจอคุณย่าของเธอ เพราะว่าเธอเข้าใจพี่น้องเหล่านั้นของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ละคนยโสโอหัง เป็นพวกไม่สนใจโลกอย่างแท้จริง
“วางใจเถอะครับแม่ ผมเป็นคนมีเหตุผลมาก…” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ แต่ยังมีประโยคหลังที่ไม่ได้พูดออกมานั่นก็คือ เตือนผู้อื่นด้วยเถอะว่าให้มีเหตุผลกับผมด้วย
ครั้งนี้เย่เทียนเฉินสนับสนุนให้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กลับมาที่ตระกูลหลัวเพื่อมาดูหน้าคุณยายทวดของเขาเป็นครั้งสุดท้าย นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาคิดถึงความอัปยศที่ผู้เป็นแม่ได้รับมาก่อนหน้านี้จากตระกูลหลัว วันนี้เขาที่เป็นหลานชายต้องการจะกลับไป ไม่ว่าจะอย่างไรนี่ก็เป็นตระกูลเดิมของแม่ เป็นสถานที่ที่แม่มีชีวิตและเติบโตมา จะต้องมีความรู้สึกมากมาย เพียงแต่หลักการของความเป็นมนุษย์ของเย่เทียนเฉินก็คือ คุณไม่หาเรื่องผมผมก็ไม่หาเรื่องคุณ หากคุณหาเรื่องผมผมก็จะฆ่าคุณ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ปฏิบัติแบบนี้กับคนตระกูลหลัว แต่ก็อยากจะเห็นว่าพวกเขาจะตัดสินใจให้แม่ของตนได้พบกับคุณยายทวดหรือไม่
ระหว่างทาง เย่เทียนเฉินขับรถเร็วมาก ถึงแม้ว่าแม่ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับไม่ได้พูดอะไร แต่เขากลับมองออกว่าแม่ร้อนใจมาก กลัวว่าจะไปไม่ทันได้เห็นหน้าคุณยายทวดเป็นครั้งสุดท้าย
ประมาณสองชั่วโมงต่อมา ในที่สุดเย่เทียนเฉินก็จอดรถตรงหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลัว ไม่กล่าวไม่ได้ว่าในเมืองหลวงรถติดมากจริงๆ ติดแบบไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ในตอนที่เย่เทียนเฉินจอดรถและเดินออกมาด้วยกันกับแม่ ก็ถูกสถานการณ์ตรงหน้าทำเอาตกตะลึง เพราะไม่เสียทีที่ตระกูลหลัวเป็นตระกูลที่โดดเด่นในทุกด้าน คฤหาสน์ตระกูลหลัวอย่างน้อยก็มีเนื้อที่หลายพันเอเคอร์ สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดต่างก็เป็นสไตล์โบราณ เป็นเหมือนกับเรือนโบราณที่มีลานอยู่ในบ้านของเมืองหลวงประเภทนั้น คฤหาสน์ตระกูลหลัวประกอบขึ้นจากเรือนต่างๆ ที่ล้อมกันเป็นหนึ่ง ด้านในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสระว่ายน้ำ สนามบาส สนามเทนนิสเป็นต้น เกรงว่าคนที่เข้ามาเป็นครั้งแรกคงจะต้องหลงทางแน่นอน
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” หลัวเยี่ยนมองไปยังประตูตระกูลหลัว ไม่ได้กลับมายี่สิบปีแล้ว ครั้งนี้ที่กลับมาก็เพื่อคุณย่า เป็นครั้งแรกที่พาลูกชายกลับตระกูลเดิม ค่อนข้างที่จะประหม่าอยู่บ้าง
ไม่ต้องพูดถึงตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลัว ต่อให้เป็นครอบครัวของคนธรรมดาทั่วไป เมื่อหลานสาวกลับบ้านพ่อแม่จะต้องออกมาต้อนรับที่ประตูและยิ้มไม่หุบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพาลูกมาด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มความรักและเอ็นดู มีเพียงหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเท่านั้นที่ไม่ต้องการ
เย่เทียนเฉินเดินตามหลังหลัวเยี่ยน ในตอนนี้เขารู้สึกว่าอารมณ์ของหลัวเยี่ยนค่อนข้างเคร่งขรึม จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป หวังเพียงว่าจะสามารถเข้าไปในตระกูลหลัวได้อย่างราบรื่น เพื่อที่จะไปดูหน้าคุณยายทวดเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็จะจากมา ทางที่ดีควรจะเป็นเช่นนี้ คนตระกูลหลัวอย่าได้บีบบังคับให้เขาต้องลงมือเลย
“พวกคุณสองคนเป็นใคร ที่นี่เป็นคฤหาสน์ตระกูลหลัว ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป!”
เรื่องมันผ่านมายี่สิบปีแล้ว ยามเฝ้าประตูของตระกูลหลัวก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปแล้วกี่คน บอดี้การ์ดชั้นยอดที่อายุน้อยเหล่านี้คงไม่รู้จักหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ที่ทำให้รู้สึกไม่พอใจก็คือ จากคำพูดของบอดี้การ์ดชั้นยอดเหล่านี้สามารถเห็นได้ว่า คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลหลัวได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะโอหังไปถึงไหนถึงได้รับยามแบบนี้มา
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อว่าหลัวเยี่ยน ได้ยินว่าแม่เฒ่าตระกูลหลัวป่วยหนัก ฉันจึงคิดจะเข้าไปเจอหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้าย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม
“หลัวเยี่ยน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน รีบไปซะเถอะ คฤหาสน์ตระกูลหลัวไม่ใช่ว่าใครก็เข้าไปได้ แม่เฒ่าหลัวก็ไม่ใช่คนที่ใครก็สามารถพบได้!” บอดี้การ์ดชั้นยอดอีกคนหนึ่งพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็รู้สึกทนไม่ไหว เขากำหมัดแน่น สาเหตุก็เพราะประการแรกเขามองออกว่าสุนัขเฝ้าบ้านหลายคนนี้คงไม่ยอมให้เขาและแม่เข้าไป ประการที่สองเพราะเห็นได้ชัดว่าบอดี้การ์ดหลายคนนี้ ตัดสินพวกเขาจากการแต่งตัว และรถที่ใช้ จึงได้ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย ประจบสอพลอคนใหญ่คนโตและรังแกคนอ่อนแอกว่าจริงๆ
“แม่ครับ คุณพวกนี้จะนิสัยไม่ดีเกินไปแล้ว ให้ผมสั่งสอนพวกเขาสักหน่อยเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงเบา
“ไม่ต้องหรอก พวกเขามีหน้าที่ดูแลตระกูลหลัว เคยเจอแต่คนใหญ่คนโตระดับสูงงามสง่าต่างกับพวกเรามาก ถ้าจะทำตัวประจบสอพลอคนใหญ่คนโตและดูหมิ่นคนอ่อนแอก็เป็นเรื่องปกติ พวกเราพูดกับพวกเขาสักหน่อยเถอะ!” หลัวเยี่ยนไม่อยากจะก่อเรื่อง จะอย่างไรนี่ก็เคยเป็นบ้านของเธอ เพียงแค่อยากจะเจอหน้าคุณย่าเท่านั้น จากนั้นก็จะจากไปจบเท่านี้
“ผมว่าไอ้พวกสุนัขเหล่านี้มันคงไม่ให้พวกเราเข้าไปแน่ ให้ผมสั่งสอนสักหน่อยเถอะ…”
เย่เทียนเฉินรู้ว่าหลัวเยี่ยนใจดี แต่เขาไม่ใช่คนดีอะไร สิ่งที่ทนเห็นไม่ได้ที่สุดก็คือพวกสุนัขที่ประจบสอพลอคนใหญ่คนโตและดูหมิ่นคนจน ยิ่งไปกว่านั้นแม่ของตนก็เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลหลัว ตอนนี้กระทั่งประตูบ้านของตระกูลหลัวก็ยังเข้าไปไม่ได้ จะมากจะน้อยก็ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกโกรธเคือง ในเมื่อเขามาเกิดใหม่ ในเมื่อเขามีครอบครัวที่อบอุ่น ก็จะไม่ยอมให้พ่อแม่และน้องสาวของตัวเองต้องได้รับความอยุติธรรมแม้แต่ครึ่งสวน
“คิดจะทำอะไร?” บอดี้การ์ดที่พูดขึ้นมาเป็นคนแรกเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา จึงอดไม่ได้ที่จะจับกระบองที่เหน็บไว้ที่เอว
“ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่จะสั่งสอนพวกสุนัขอย่างแก ให้พวกแก่รู้ว่าหลัวเยี่ยนคือใคร!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
“ไอ้ลูกหมา…”
บอดี้การ์ดที่พูดเป็นคนแรกคว้ากระบองออกมาฟาดลงไปยังเย่เทียนเฉิน แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะลงมือกับบอดี้การ์ดคนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“หยุด!”
หลังจากเสียงตะโกน ชายชราหลังค่อมคนหนึ่งก็ปรากฏตัวบริเวณประตูใหญ่ของบ้านตระกูลหลัว เมื่อเขาเห็นหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน บนใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏรอยยิ้มขึ้น แต่ก็เพียงพริบตาเดียวแล้วจึงหันไปตะโกนกับบอดี้การ์ดคนนั้นว่า “รู้ไหมว่านี่คือใคร? เธอก็คือ…”
“คุณลุงหวัง ช่างมันเถอะ คุณย่าเป็นยังไงบ้างคะ?” หลัวเยี่ยนรีบเดินเข้าไปถามอย่างร้อนใจ
“คุณหนู ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว ยี่สิบปีแล้ว แม่เฒ่ารอคุณมาตลอด รอคุณมาตลอด จนไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทนได้…”
ชายชราหลังค่อมคนนี้ที่หลัวเยี่ยนเรียกว่าลุงหวังก็คือพ่อบ้านของตระกูลหลัว ทำงานต่างๆ ให้ตระกูลหลัวมาทั้งชีวิต สามารถเรียกได้ว่าเขาเห็นหลัวเยี่ยนเติบโตมากับตา ตั้งแต่เล็กหลัวเยี่ยนก็เฉลียวฉลาดและรู้ความมาก ความสัมพันธ์กับลุงหวังก็ดีมาก ลุงหวังก็เห็นเธอเป็นเหมือนหลานสาวแท้ๆ เมื่อปีนั้นที่หลัวเยี่ยนถูกไล่ออกไปจากตระกูลหลัว ไม่กลับมาเลยยี่สิบปี เมื่อได้พบกันอีกครั้ง ลุงหวังก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูหลัวเยี่ยนจะกลับมาแล้วจริงๆ เขารออยู่ที่นี่
“ลุงหวัง พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะค่ะ หนูอยากไปดูคุณย่า!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างร้อนใจ
“พวกแกยังอึ้งอะไรกันอยู่อีก คุณหนูหลัวกลับมาแล้ว หลีกทางให้ฉันซะ!” ลุงหวังตะคอกบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งหลายอย่างข่มขู่ ในใจของเขาเฝ้ารอมาตลอด
บอดี้การ์ดชั้นยอดไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์มากนัก ทำได้เพียงขยับไปยืนด้านข้างอย่างขี้ขลาด หลีกทางให้พวกเขา มองดูหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในประตูใหญ่ภายใต้การต้อนรับของลุงหวังผู้เป็นพ่อบ้านแห่งตระกูลหลัว
…………..