เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 228 ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน
ถ้าลุงหวังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา เย่เทียนเฉินจะต้องลงมือสั่งสอนพวกสุนัขเฝ้าบ้านหลายคนนั้นแล้วแน่นอน เห็นได้ชัดว่าบอดี้การ์ดเฝ้าบ้านเหล่านี้เป็นสุนัขที่เหยียดหยามคน รวมกับที่ไม่ยอมช่วยแม่ของตน คนที่เคยเป็นคุณหนูตระกูลหลัว ตอนนี้ถึงกลับไม่สามารถเข้าไปได้แม้แต่รั้วบ้านของตระกูล มีช่างเป็นการเสียดสีมากจริงๆ เย่เทียนเฉินคิดว่าจะไม่สนใจ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถปล่อยให้พ่อแม่และน้องสาวได้รับความอยุติธรรมแม้แต่น้อย โดยเฉพาะยิ่งไม่สามารถปล่อยให้ถูกคนน่ารังเกียจเหล่านี้รังแกได้โดยเด็ดขาด
โชคดีที่ลุงหวังปรากฏตัวได้ทันเวลา และพาหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเข้าไปในตระกูลหลัว มิฉะนั้นจะต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้แน่นอน พูดให้ชัดเจนก็คือเย่เทียนเฉินจะต้องอัดคนแน่
“คุณหนูครับ คุณไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว ลองดูการตกแต่งรอบๆ สิครับ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย!” ลุงหวังเป็นคนซื่อตรง พูดกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม
หลัวเยี่ยนมองไปรอบๆ ไม่ได้กลับมาบ้านตระกูลหลัวยี่สิบ ปีแล้ว ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่เธอใช้ชีวิตอยู่ และกล่าวได้ว่าเป็นบ้านหลังแรกของเธอ ความรู้สึกย่อมลึกล้ำเป็นธรรมดา ต้นหญ้าทุกต้นต้นไม้ทุกต้นต่างก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะศาลาเล็กๆ บริเวณไม่ไกลนั้น เมื่อหลัวเยี่ยนเห็นก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป
ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลัว เมื่อมองไปก็สามารถพูดได้ว่ายิ่งใหญ่มีแบบแผน มีสิ่งปลูกสร้างทันสมัยมากมาย ต่อให้เมื่อก่อนจะมีบ้านแบบโบราณของเมืองหลวงล้อมรอบสิ่งปลูกสร้างในยุคปัจจุบันอยู่มาก มีเพียงศาลาเล็กๆ แห่งเดียวเท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจน ทั้งหมดต่างใช้หินและกระเบื้องทำขึ้นมา เมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ตระการตารอบๆ แล้ว ดูโทรมลงมาก แต่ก็ยังรักษาเอาไว้ได้ คิดว่าจะต้องมีความหมายอันลึกซึ้งอะไรอยู่แน่นอน
“ศาลานี้…” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
“เป็นแม่เฒ่าที่ยืนหยัดให้รักษาเอาไว้ ท่านกล่าวว่าตอนคุณหนูเด็กๆ มักจะจูงท่านมาเล่นที่นี่ คุณไม่อยู่ในตระกูลหลัวแล้ว ทุกวันท่านก็จะมานั่งเล่นที่นี่ คิดถึงคุณหนูตอนเด็กๆ นับว่ามีความคิดถึงคุณแล้ว!” ลุงหวังพูดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ
หลัวเยี่ยนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้อีก คุณแม่ของเธอจากโลกนี้ไปแล้วคุณพ่อก็กลายเป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว ทุกวันต่างก็ยุ่งมาก ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจเธอ มีเพียงคุณย่าคนเดียวที่ดูแลเธอจนเติบใหญ่ ใส่ใจเธอ รักและปกป้องเธอ
เย่เทียนเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างเองก็รู้สึกหวั่นไหว เมื่อได้ยินคำพูดของลุงหวัง ต่อให้แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยได้พบกับคุณยายทวดมาก่อน แต่ก็สามารถจินตนาการได้เลยว่า จะต้องเป็นหญิงชราที่ใจดีและเมตตาคนนึงแน่นอน ให้ความสำคัญกับความรักของครอบครัว ผู้สูงอายุแบบนี้อยู่กับความเป็นจริง เป็นคนที่น่านับถือ
“แม่ครับ พวกเรารีบเดินเถอะ ไปเยี่ยมคุณยายทวดกัน!” เย่เทียนเฉินมองหลัวเยี่ยนที่หันหลังให้เขากับลุงหวังและกำลังเช็ดน้ำตาอยู่ เย่เทียนเฉินจะอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้นเสียงเบา
“อืม!” หลัวเยี่ยนพยักหน้า เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา เดินตามหลังลุงหวังมุ่งหน้าไปยังบ้านที่มีคุณยายทวดอาศัยอยู่ด้วยความรวดเร็ว
หลัวเยี่ยนมองลุงหวังที่เดินอยู่ด้านหน้าสุด มือเท้าคดงอไปหมดแล้ว จึงทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจแทนเฒ่าชราคนนี้ จากลากันไปยี่สิบปีแล้ว ในตอนที่เธอยังอยู่ในบ้านตระกูลหลัว ลุงหวังดีกับเธอมาก และยังแอบเปิดประตูให้เธอ ทำให้เธอได้ไปตามนัดที่นัดเอาไว้กับเย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉิน เป็นผู้สูงวัยที่ดีมากคนนึง
“ลุงหวัง คนนี้คือลูกชายของหนูชื่อว่าเทียนเฉิน…” หลัวเยี่ยนแนะนำให้ลุงหวังด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายน้อยดูเป็นคนมีความสามารถ ได้เห็นคุณชายน้อยก็เหมือนได้เห็นคุณหนู จะต้องเป็นผู้มีวาสนาแน่นอน!” ลุงหวังมองเย่เทียนเฉิน พูดออกมาด้วยรอยยิ้มชื่นชม
“ปู่หวัง สวัสดีครับ!” เย่เทียนเฉินเองก็พยักหน้าให้อย่างมีมารยาท
“รับไม่ไหวหรอกครับ คุณชายน้อยคุณเรียกผมว่าลุงหวังก็พอแล้ว ทุกคนต่างก็เรียกผมแบบนี้กันทั้งนั้น!” ลุงหวังตกใจจนพูดเป็นพัลวัน
เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่า ลุงหวังเป็นคนรับใช้ของตระกูลหลัว แม้ว่าต่อหน้าของผู้อื่นเขาจะเป็นผู้จัดการทั่วไปตระกูลหลัวที่มีศักดิ์มีศรีอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าญาติมิตรของคนตระกูลหลัว เกรงว่าคงได้รับความลำบากไม่น้อย เพราะว่าบนทางที่เดินผ่านมา เย่เทียนเฉินได้ยินแม่พูดถึงเรื่องของคนในตระกูลหลัวอยู่บ้าง รู้ว่าคนเหล่านี้ยโสโอหัง หากไม่ใช่ว่าตระกูลหลัวมีคำสั่งสอนของบรรพบุรุษว่า ปฏิบัติต่อคนให้ค้อมต่ำ ปฏิบัติงานให้ทะยานสูง เกรงว่าลูกหลานรุ่นหลังเหล่านี้คงบินไปสวรรค์นานแล้ว
“ลุงหวัง ขาของคุณเป็นอะไรไปคะ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะถามอย่างใส่ใจ
“อ้อ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ…ผมล้มโดยไม่ทันระวังเท่านั้นเอง แก่แล้ว ใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ฮ่าๆ!” ลุงหวังพูดแล้วหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องปิดบัง ไม่เต็มใจที่จะบอกหลัวเยี่ยน
เมื่อเห็นลุงหวังไม่เต็มใจพูด หลัวเยี่ยนก็ไม่ได้ถามมาก ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือไปเจอคุณย่า ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจะยังรอตัวเองอยู่หรือไม่
“คุณหนูถึงแล้วครับ หลังจากที่คุณไปจากตระกูลหลัว แม่เฒ่าก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ ท่านบอกว่าท่านชอบอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า!” ลุงหวังหยุดอยู่เบื้องหน้าบ้านหลังเก่าแห่งหนึ่ง
เมื่อคนเราแก่ตัวลงก็มักจะนึกถึงความทรงจำเก่าๆ อาลัยอาวรณ์กับสิ่งของเดิมๆ ก็เหมือนกับความรู้สึกที่มีต่อหลัวเยี่ยน แม่เฒ่าตระกูลหลัวคิดถึงมาโดยตลอด เพียงแต่หลานสาวโตแล้ว ส่วนเธอเองก็แก่แล้ว ไม่สามารถไปวุ่นวายอะไรได้มากมาย คิดที่จะได้พบหน้าหลัวเยี่ยนสักครั้งเท่านั้น อยากจะเห็นว่าเธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนั่นก็เพียงพอแล้ว
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” หลัวเยี่ยนหันไปมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่หลัวเยี่ยน เย่เทียนเฉิน และลุงหวัง เตรียมที่จะเดินเข้าไปในบ้านสไตล์โบราณแห่งนี้ รถออร์ดี้คันนึงก็มาขวางเอาไว้เบื้องหน้าพวกเขา ชายวัยรุ่นคนหนึ่งลงมาจากรถ อายุประมาณยี่สิบกว่าปี สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาฬิกาที่เขาสวมบนมือขวา อย่างน้อยก็มีค่าเป็นล้าน เชื่อว่าต้องทำให้คนธรรมดาตกใจจนอ้าปากค้างแน่นอน
“ไอ้แก่หวัง สองคนนี้เป็นใคร? ไม่รู้หรือไงว่าคุณยายทวดของฉันป่วยอยู่ ไม่อนุญาตให้ไอ้พวกว่างงานเข้าไป?” ชายวัยรุ่นคนนี้มองเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น
“คุณชายอวิ๋น คนคนนี้คือหลัวเยี่ยน เป็นย่าของคุณ ได้ยินว่าแม่เฒ่าป่วยเลยมาดู กลับมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ!” ลุงหวังพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของลุงหวัง คุณชายอวิ๋นผู้นี้ก็เดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอย่างวางมาด ใช้สายตาดูถูกมองไปยังพวกเขา จากนั้นก็ทำท่าทางยิ่งใหญ่ออกมา พูดอย่างนึกสนุกกว่า “หลัวเยี่ยน? ฉันเคยได้ยินแม่ของฉันพูดถึงคนคนนี้มาก่อน นี่ไม่ใช่คนที่ตายไปจากพวกเราตลอดกาลหรอกเหรอ? ทำไมยังวิ่งกลับมาที่ตระกูลหลัวอีก? ไอ้ยามเฝ้าบ้านพวกนั้นก็จริงๆ เลย ไม่ว่าใครก็ปล่อยเข้ามาด้านในทั้งหมด ไม่รู้หรือไงว่าตระกูลหลัวกลัวจะถูกคนอื่นทำให้สกปรกมากที่สุด?”
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ทันใดนั้นพลันเกิดความต้องการที่จะเดินเข้าไปสั่งสอนเจ้าลูกหลานรุ่นสองของตระกูลคนนี้ขึ้นมา เขาไม่สนใจว่าไอ้ปากหมานี้เป็นใคร มีฐานะอะไรในตระกูลหลัว แต่ถ้ามารังแกแม่ของเขา ในสายตาของเย่เทียนเฉินคนคนนี้สมควรตายแล้ว
“เทียนเฉิน…เทียนเฉิน…” หลัวเยี่ยนขวางเอาไว้เบื้องหน้าลูกชายในพริบตา เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรที่นี่ โดยเฉพาะตอนนี้ที่คุณย่ากำลังป่วยนะ เธอต้องการรีบเข้าไปดูคุณย่าเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนชายวัยรุ่นตรงหน้าก็สามารถรู้ได้จากคำพูดของลุงหวังว่า เขาเป็นหลานชายคนหนึ่งในตระกูล เป็นลูกชายของน้องสาวของเธอชื่อว่าจางอวิ๋น
“แกคิดจะทำอะไร? จะอัดฉันเหรอ? เบื่อชีวิตแล้วหรือไง? ไอ้เดรัจฉานน้อย!” จางอวิ๋นชี้ไปที่เย่เทียนเฉินอย่างโอหังและเอาแต่ใจ
“เอาอย่างนี้เถอะ นายก็ไปบอกแม่ของนาย บอกว่าพี่สาวของเธอซึ่งเป็นหลานสาวคนโตของตระกูลกลับมาแล้ว ให้พวกเขามาคารวะซะ!” เย่เทียนเฉินรู้ว่าแม่ไม่ยอมให้เขาลงมือแน่ ดังนั้นจึงมองจางอวิ๋นอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
“แก…แกะนับเป็นตัวอะไรได้ มาพูดกับฉันแบบนี้ ระวังจะตาย!” จางอวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จางอวิ๋นคิดไม่ถึงเลยว่า เย่เทียนเฉินจะกล้าพูดกับเขาแบบนี้ทั้งๆ ที่อยู่ในตระกูลหลัว จะไม่รู้สึกอับอายเลยสักนิดได้อย่างไร เดิมทีหลังจากที่จางอวิ๋นรู้ว่าคนคนนี้ก็คือหลัวเยี่ยน ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นย่าของเขาเลย มารยาทที่ผู้น้อยควรจะทำต่อผู้ใหญ่ห็ไม่มี กลับคิดว่าเป็นการอับอาย ทางที่ดีรีบไล่พวกเขาออกไปจากตระกูลหลัวจะดีกว่า
เนื่องจากแม่ของเขาซึ่งก็คือหลัวชิง ซึ่งเป็นน้องสาวของหลัวเยี่ยน ตั้งแต่เด็กก็เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนจิตใจคับแคบ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่เคยเชื่อฟัง รู้จักแค่ก่อเรื่องเท่านั้น ดังนั้นในตอนนั้นหลายคนในตระกูลจึงได้รักใคร่หลัวเยี่ยน โดยเฉพาะคุณยายทวดที่รักหลัวเยี่ยนที่สุด นี่ทำให้หลัวชิงเกลียดชังอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะลงเมืองกับหลัวเยี่ยนอยู่บ่อยครั้ง หลัวเยี่ยนเองก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย จะอย่างไรก็เป็นน้องสาว เมื่อปีนั้นที่ถูกไล่ออกจากตระกูลหลัว ย่อมมีแผนการของน้องสาวหลัวชิงอยู่ด้วย เพียงแต่หลัวเยี่ยนไม่เคยเก็บมาใส่ใจ
“ไปเรียกแม่ของแกมาคารวะเถอะ ไม่เช่นนั้นแกคนเดียวไม่มีทางออกไปจากตระกูลหลัวได้หรอก!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
“แก…”
จางอวิ๋นโกรธจนปอดแทบระเบิด ตลอดมาเขาก็วางอำนาจบาตรใหญ่กับพี่น้องรุ่นเดียวกับเขามาโดยตลอด และต่างก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา เนื่องจากเย่เทียนเฉินเดิมทีก็เป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลัว แต่ไม่ได้อยู่ในตระกูล ดังนั้นจางอวิ๋นจึงเป็นหลานคนโตสุด รวมกับที่อำนาจของตระกูลหลัวยิ่งใหญ่มาก ถึงแม้ว่าพ่อของหลัวเยี่ยนซึ่งเป็นคุณปู่ของเย่เทียนเฉินจะเชื่อฟังและส่งเสริมคำสั่งสอนของบรรพบุรุษและเข้มงวดกับคนรุ่นหลังเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นเรื่องของรุ่นก่อนก่อน ที่ไม่สามารถดูแลได้มากมายขนาดนั้น
“ไสหัวไป!” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินตะโกนออกมา ทำให้จางอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป จนเกือบจะชนเข้ากับรถ โกรธจนหน้าแดงก่ำ
“ไอ้แก่หวัง ฉันขอสั่งแก ระ รีบไล่แม่ลูกคู่นี้ออกไปจากตระกูลหลัวซะ…ไม่นั้นงั้นฉันก็จะให้แม่ของฉันมาตีขาสุนัขแกให้หักอีกข้าง!” จางอวิ๋นตกลงสั่งกับลุงหวัง
พลั่ก!
ทนได้ก็ทนทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน เย่เทียนเฉินตบไปครั้งหนึ่ง ตบลงบนใบหน้าของจางอวิ๋นอย่างรุนแรงจนเขาปลิวออกไป เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินอยากจะลงมือมาก หากไม่ใช่ว่าแม่ขวางเอาไว้ด้วยกลัวว่าคุณยายทวดได้ยินแล้วจะส่งผลกระทบจะกระทบกับคุณยายทวด เย่เทียนเฉินก็คงลงมือแล้ว ตอนนี้เห็นจางอวิ๋นด่ากราดลุงหวังที่มีอายุมากพอที่จะเป็นปู่ของเขา และยังได้รู้ว่าขาของลุงหวังพิการก็เพราะแม่ของไอ้สัตว์นรกตัวนี้เป็นผู้กระทำ เย่เทียนเฉินจะไม่ทนอีกต่อไป
“แก…แกกล้าตีฉัน…” จางอวิ๋นตกใจจนตะลึง จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะกล้าลงมือกับตัวเอง ตัวเองเป็นคุณชายของตระกูลหลัว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้าลงมือกับเขา
“ฉันขอเตือนให้แกไสหัวไปซะ สหัวไปได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี ตอนนี้ฉันแค่ตบแกเท่านั้น อย่าบังคับให้ฉันต้องฆ่าแก…” เย่เทียนเฉินไม่ได้ล้อเล่น เขามองไปยังจางอวิ๋นอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
………………..