เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 267 วันหลังจะไม่อยู่บ้านแล้ว?
“พี่ ถ้ามีความสามารถก็อย่าโผล่ออกมาตลอดไปเลยแล้วกัน หึ!” น้องสาวถีบประตูห้องนอนของเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่อย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงทำแก้มป่องเดินลงมาจากชั้นสองด้วยความโกรธเคือง
เมื่อบ้านเย่มีฉีหรูเสวี่ยมาหา อาหารเช้าจึงอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เดิมทีหลัวเยี่ยนก็เป็นแม่บ้านคนหนึ่งอยู่แล้ว ทำอาหารได้อร่อยมาก ส่วนฉีหรูเสวี่ยก็ไม่ใช่คุณหนูสูงศักดิ์ที่ทำอะไรไม่เป็น เธอมีความชำนาญในการทำอาหารเป็นอย่างมาก จึงได้รับความเอ็นดูจากหลัวเยี่ยนอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นอาหารเช้าที่ยกขึ้นโต๊ะของบ้านตระกูลเย่ซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันทำของแม่ครัวมือฉมังทั้งสอง จึงอลังการขึ้นมาก หากเป็นเมื่อก่อนถ้าไม่ใช่นมก็ต้องเป็นไข่ ไม่เช่นนั้นก็เป็นบะหมี่ผัดซอส แต่วันนี้มีอาหารครบครัน
“แม่คะ พี่เขาจะเลวร้ายเกินไปแล้วจริงๆ แม่ดูสิ บิชองฟรีเซ่ของหนูท้องเสียจนน่าอนาถแล้ว ฮือๆ …”
เย่เชี่ยนเหวินอุ้มบิชองฟรีเซ่ออกมาอย่างน่าสงสาร เจ้าบิชองฟรีเซ่ที่เดิมทีก็ตัวเล็กอยู่แล้ว ตอนนี้ดูไม่ได้เลย ตัวเหลวเหมือนกับดินโคลนไม่มีชีวิตชีวาสักนิด ถ่ายท้องไปทั่วภายในบ้านสุนัขของมัน นั่นเป็นเพราะเมื่อคืนเย่เทียนเฉินต้องการจะหาวิธีทดสอบจึงได้นำแตงโมเย็นๆ ให้บิชองฟรีเซ่กิน ทำให้มันท้องเสีย กินอะไรไม่ได้
“เอาล่ะ รีบวางมันกลับไปเถอะ อีกสักครู่ก็ไม่เป็นไรแล้ว รอพี่ชายของลูกลงมาก่อนแม่จะพูดกับเขาเอง!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“น้องเชี่ยนเหวินวางใจเถอะ รอให้พี่ชายของเธอออกมา พี่จะต้องช่วยน้องสั่งสอนเขาแน่ จะร้ายกาจเกินไปแล้ว บิชองฟรีเซ่ที่น่ารักขนาดนี้ก็ยังลงมือได้!” ฉีหรูเสวี่ยก็เข้าข้างเย่เชี่ยนเหวิน เอ่ยปากพูดอย่างดุดัน
“อืม พี่หรูเสวี่ย พี่รู้วิธีลงโทษพี่ชายของหนูมากที่สุดแล้ว อีกครู่หนึ่งจะต้องช่วยหนูสั่งสอนเขาให้ดีด้วยนะคะ!” เย่เชี่ยนเหวินลูบบิชองฟรีเซ่ที่น่าสงสารของตนแล้วพูดขึ้น
“วางใจเถอะ ไม่มีปัญหา!” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้มน่ารักอย่างเจ้าเล่ห์
“เทียนเฉิน รีบลงมากินข้าวเถอะ มีบะหมี่ผัดซอสกับไข่หมักที่ลูกชอบกินที่สุดด้วยนะ กินเสร็จแล้วก็ไปเรียน!” หลัวเยี่ยนยกบะหมี่ผัดซอสขึ้นโต๊ะ ตะโกนขึ้นไปยังชั้นสองเสียงดัง
“รู้แล้วครับแม่ ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้!” เมื่อได้ยินว่ามีของอร่อย เย่เทียนเฉินก็ไม่สนใจแล้วว่าน้องสาวจะแก้แค้นตนเองอย่างไร คงจะใช้ท่าทางราวกับจะฆ่าคนมองมาที่ตนแน่นอน แต่อย่างไรก็ไม่สามารถอยู่แต่ในห้องได้ไปตลอด เรื่องใหญ่แบบนี้ก็ทำเป็นไม่ยอมรับไปแล้วกัน!
ไม่นานเย่เทียนเฉินก็ลงมาชั้นล่างด้วยความเร็วที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อ และไม่ทักทายหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ อีกทั้งยังไม่สนใจเย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยเลยด้วย นั่งลงบนเก้าอี้แล้วหยิบบะหมี่ผัดซอสขึ้นมาถ้วยหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มกินคำใหญ่ ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะกินไปไม่กี่คำเย่เทียนเฉินก็แทบจะอาเจียนออกมา รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
“เทียนเฉิน ลูกเป็นอะไรไป? ไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลัวเยี่ยนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มองไปยังทิศทางของห้องน้ำแล้วตะโกนถาม
“แหวะ แม่ครับ นายบะหมี่ผัดซอสของแม่ใส่อะไรลงไป ผมแทบจะไฟลุกอยู่แล้ว เผ็ดมาก…” เย่เทียนเฉินพูดเสียงดังในห้องน้ำ
“ฮ่าๆ เจ้าบ้าหลงกลแล้ว!” ฉีหรูเสวี่ยพูดแล้วหัวเราะ
“สมน้ำหน้า นี่เป็นการแก้แค้นให้บิชองฟรีเซ่ของหนู!” เย่เชี่ยนเหวินเองก็พูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“เย่!”
เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยสองคนทำท่าชนะขึ้นพร้อมกัน ยกนิ้วโป้งให้กันแล้วแตะมือแสดงความยินดี ท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก ทำให้หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังพวกเธอทั้งสองด้วยความสงสัย ในใจเข้าใจกระจ่างชัดขึ้นมาทันที จะต้องเป็นเด็กสาวทั้งสองคนนี้แน่นอนที่ก่อเรื่อง มิเช่นนั้นเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกจะหลงกลได้อย่างไร
ที่แท้ในตอนที่หลัวเยี่ยนหมุนตัวเดินเข้าไปในครัวแล้วยกบะหมี่ผัดซอสถ้วยสุดท้ายมา ฉีหรูเสวี่ยและเย่เชี่ยนเหวินก็แอบนำวาซาบิใส่ลงไปในบะหมี่ผัดซอสถ้วยหนึ่งแล้วคนเล็กน้อยก่อนจะวางมือทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่บอกแม้แต่หลัวเยี่ยน จากนั้นจึงกินอาหารของตนเอง
เด็กสาวสองคนนี้เข้าใจเย่เทียนเฉินเป็นที่สุด รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นตัวตะกละตะกลาม ขอเพียงมีของอร่อยก็จะพุ่งเข้ามาทันที และบะหมี่ผัดซอสก็เป็นของที่เย่เทียนเฉินชอบกินที่สุดอย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อใส่วาซาบิเข้าไปด้านในจึงทำให้เขาไม่สามารถป้องกันได้
จริงดังคาด หลังจากที่เย่เทียนเฉินพุ่งลงมาจากชั้นสอง เมื่อเห็นบะหมี่ผัดซอสก็รีบนั่งลงโดยไม่ล้างหน้าแปรงฟันและไม่พูดพร่ำทำเพลง กินเข้าไปคำใหญ่ทันที ทำให้แผนประสบความสำเร็จ
“พวกเธอสองคนนี่ ตอนนี้ดีใจแล้วหรือยัง? คิกๆ!” หลัวเยี่ยนเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นพลางส่ายหัว แล้วหัวเราะออกมา
จนกระทั่งเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากห้องน้ำ หลัวเยี่ยน ฉีหรูเสวี่ยและเย่เชี่ยนเหวิน ก็กินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่เขาคนเดียว เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายออกมา เย่เชี่ยนเหวินเดินเข้าไปหาอย่างลำพองใจ พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “พี่ รสชาติของวาซาบิไม่เลวเลยใช่ไหม? อร่อยหรือเปล่า?”
“เด็กคนนี้นี่ เธอกล้าแกล้งพี่ของเธอ กรรมต้องตามสนองแน่!” เย่เทียนเฉินมองน้องสาวอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น
“ฮี่ๆ หนูก็แค่เรียกร้องความยุติธรรมให้บิชองฟรีเซ่ของหนูเท่านั้นเอง มันตัวเล็กขนาดนี้ น่าสงสารขนาดนี้ พี่ถึงกับให้มันกินแตงโมเย็นๆ ได้ จะมากเกินไปแล้ว ถ้าหากมันท้องเสียจนเกิดอะไรขึ้น หนูไม่ยอมจบกับพี่แน่!” เย่เชี่ยนเหวินพูดฟังทำแก้มป่อง
“พี่ไม่ได้ทำ ไม่เกี่ยวกับพี่!” เย่เทียนเฉินนั่งลง สำรวจอาหารบนโต๊ะอย่างละเอียด หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงเริ่มกินต่อไป
“แอบกินผลไม้ที่ฉันทำอีกแล้ว แถมยังไม่ยอมรับอีกเจ้าบ้า!” ฉีหรูเสวี่ยเองก็พูดเข้าข้างเย่เชี่ยนเหวิน
เย่เทียนเฉินมองฉีหรูเสวี่ยครั้งหนึ่ง เมื่อคิดว่าเมื่อสักครู่นี้น้องสาวและผู้หญิงคนนี้ร่วมมือกันแกล้งตน จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ฉันว่านะพวกเธอสองคน จะประหยัดกันหน่อยได้หรือเปล่า? ไม่รู้หรือว่าการประหยัดเป็นคุณธรรมที่สืบทอดกันมาของชนชาติจีน? จะนอนกันหมดแล้วยังมาทำผลไม้วางไว้ในตู้เย็นอีก สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว ฉันทำเพื่อระงับพฤติกรรมสิ้นเปลืองของพวกเธอทั้งสองคน เพื่อลดบาปกรรมของพวกเธอลงบ้าง!”
“พี่…พี่…พี่นี่เป็นยอดคนจริงๆ !” เย่เชี่ยนเหวินพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ ขนาดเหตุผลเช่นนี้พี่ชายก็ยังคิดออกมาได้ เธอนับถือจริงๆ เลย!
“นายคิดว่าฉันเตรียมไว้ให้ตัวเองหรือไง? หากไม่คิดว่าจะมีบางคนกลับมากลางดึกแล้วหิว…” ฉีหรูเสวี่ยจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วกล่าวขึ้น
ได้อยู่ที่บ้านตระกูลเย่มาเกือบเดือน ฉีหรูเสวี่ยจึงค่อนข้างเข้าใจนิสัยของเย่เทียนเฉิน คนคนนี้เป็นตัวตะกะตะกามคนหนึ่ง โดยเฉพาะกลางคืนของทุกวันถ้าหากไม่กินมื้อดึกบ้างก็จะนอนไม่หลับ ดังนั้นเมื่อคืนเมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินออกไป ก่อนนอนฉีหรูเสวี่ยจึงทำผลไม้จานใหญ่เอาไว้ คิดว่าถ้าคนคนนี้กลับมากลางดึกคงมาเปิดตู้เย็นดู ไหนเลยจะรู้ว่า ถ้าเจ้าบ้านี้แอบกินก็แล้วไปเถอะ แต่ถึงกับยังมาพูดว่าช่วยพวกเธอประหยัดอะไรอีก จะหน้าด้านเกินไปแล้ว!
“งั้นก็ขอบคุณน้ำใจของเธอมาก เด็กสาวอย่างเธอวันๆ เอาแต่จ้องจะแกล้งพี่ชายละมั้ง อีกไม่กี่วันฉันก็จะย้ายออกไปแล้ว จะไม่อยู่ในบ้านแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มลำพองใจ
“หือ? เทียนเฉิน ลูกจะย้ายไปอยู่ที่ไหน? ไม่อยู่บ้านแล้วเหรอ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“พี่ พี่จะออกไปจากบ้านเหรอ?” เย่เชี่ยนเหวินถามอย่างสงสัยเช่นเดียวกัน
“ลูกผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่ง ถึงกับหนีออกจากบ้าน น่าขายหน้าจริงๆ !” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์
เย่เทียนเฉินมองเย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยอย่างหดหู่ จากนั้นจึงเคาะศรีษะของเย่เชี่ยนเหวินเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เธอสิหนีออกจากบ้าน ฉันเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะต้องเรียนรู้ที่จะยืนด้วยลำแข้งของตน ใครจะไปเหมือนเธอที่ตอนนี้ที่ยังเรียนมัธยมปลายปีที่สามอยู่ถึงได้เอ้อระเหยแบบนี้ ฉันจะเริ่มรับผิดชอบครอบครัวแล้ว จัดต่อสู้ดิ้นรนเพื่อธุรกิจของตน!”
แหวะ!
แหวะ!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าทางเคร่งขรึมจริงจังของเย่เทียนเฉิน เห็นเขาพูดจาหนักแน่นอย่างมีเหตุมีผล การทำท่าอยากจะอ้วกออกมาก็คือปฏิกิริยาที่เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยมีให้เขา ส่วนหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ยังพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “เทียนเฉิน ลูกจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกเหรอ?”
“ใช่แล้วครับแม่ ลูกโตแล้ว ควรจะมีชีวิตเป็นของตนเอง ผมอยากจะออกไปฝึกฝนสักหน่อยครับ!” เย่เทียนเฉินกรอกตาใส่เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ย จากนั้นจึงพูดกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม
“ก็ดี แม่สนับสนุนลูก แต่อยู่เองข้างนอกก็ต้องระวังตัวให้มาก นอกจากนั้นจำไว้ว่าจะต้องกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆ!” หลัวเยี่ยนพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
ความจริงที่เย่เทียนเฉินตัดสินใจจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เป็นเรื่องที่เขาคิดมานานแล้ว ตลอดมายังคงรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัวแล้ว แต่เมื่อมีเรื่องราวเกิดขึ้นติดต่อกันทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกกังวลขึ้นมา ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่หล่านั้นจะต้องไม่ยอมปล่อยตนไปแน่ พวกเขาไม่อนุญาตให้มีใครท้าทายอำนาจของพวกเขา และยิ่งไม่ยอมมองตระกูลหนึ่งผงาดขึ้นมาเฉยๆ แน่ จะต้องมีมาตรการตอบโต้แน่ ซึ่งเป็นไปได้มากว่าจะคุกคามไปถึงความปลอดภัยของพ่อแม่และน้องสาวด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือสังหารชุดดำที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งมา เรื่องนี้มีผลกระทบกับเย่เทียนเฉินมาก แล้วทำให้เขาสัมผัสได้ว่า บนโลกปัจจุบันนี้ ถึงแม้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปมาก พลังงานที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติก็น้อยมาก จนไม่อาจทำให้ผู้ฝึกตนแข็งแกร่งถึงขั้นสุดได้ แต่ย่อมมีคนฝืนลิขิตฟ้า และมีคนกลายเป็นยอดฝีมือชั้นสูง อย่างน้อยคนที่ใช้พลังอันมหาศาลอัดเข้าไปในจดหมายนั้นก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงคนหนึ่ง เป็นยอดฝีมือที่กระทั่งตัวเขาเองก็ต้องรับมืออย่างจริงจัง
บนโลกใบนี้ที่ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้มีพลังพิเศษและผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณคนอื่นๆ จึงถูกจำกัด ไม่สามารถแข็งแกร่งจนถึงขั้นสุดได้ หลังจากที่พัฒนาไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็ไม่สามารถรวบรวมพลังธรรมชาติที่แข็งแกร่งและทำการทะลวงพลังได้ ตลอดมาเขามีพลังอยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้ว หากต้องการที่จะพัฒนาไปถึงระดับจักรพรรดิก็เรียกได้ว่ายากเย็นเป็นอย่างมาก ประการแรกเป็นเพราะพลังที่จำเป็นในการทะลวงไม่เพียงพอ ประการที่สองเป็นเพราะกายเนื้อของเขาในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ เกรงว่าต่อให้ทะลวงไปถึงระดับจักรพรรดิได้ กายเนื้อนี้ก็คงไม่อาจรับไหว และทำให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงจนร่างกายอาจจะเหลวแหลก
ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่อยากนำอันตรายใดๆ มาสู่พ่อแม่และน้องสาว เขาต้องการที่จะย้ายออกไป แล้วพยายามเผชิญหน้ากับอันตรายด้วยตัวเองเพียงลำพัง ส่วนหลัวเยี่ยนก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง ในตอนที่เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชายกล่าวว่าต้องการที่จะย้ายออกไป เธอก็คิดได้แล้ว หลังจากที่ลูกชายของตนกลับเมืองหลวงมาก็นับว่าก่อเรื่องที่สั่นสะท้านเมืองหลวงไปไม่น้อย เมื่ออยู่ในคลื่นลมแบบนี้ เธอย่อมรู้ว่ามีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่บางตระกูลเพ่งเล็ง หรือกระทั่งส่งมือสังหารออกมา อยากจะหลบก็หลบไม่พ้น ทำได้เพียงเผชิญหน้าเท่านั้น เมื่อกำจัดปัญหาทุกอย่างได้ถึงจะสามารถมีชีวิตอย่างสงบสุข
………