เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 32 บอกว่าฆ่าก็ฆ่า
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตนี้หรือโลกแห่งความวินาศ เย่เทียนเฉินก็เป็นคนที่ทำอะไรตามหลักเหตุผลไม่ใช้อารมณ์ เขาไม่ชอบหาเรื่องใส่ตัว และกลัวความยุ่งยาก แต่ว่านั่นก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าใครไม่ยุ่งกับฉันฉันก็ไม่ยุ่งกับใคร หากว่าใครกล้ามาตอแยหรือกล้ามายุ่งกับครอบครัวและเพื่อนฝูงของเย่เทียนเฉิน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษที สิ่งที่รอคุณอยู่มีเพียงหมัดเหล็กกล้าคู่นี้เท่านั้น
เย่เทียนเฉินใช้มือขวาบีบคอตำรวจอันธพาลที่ถือปืนคนนั้นเอาไว้ แล้วลากเขาไปจนถึงประตูห้อง ตำรวจคนที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะปลิวไปก่อนหน้านี้ตกใจจนหน้าถอดสี ในใจก็รู้สึกตกตะลึงป็นอย่างยิ่ง หรือว่าคนคนนี้จะกล้าฆ่าตำรวจจริงๆ?
ตระกูลเย่แม้ว่าจะยังมีอำนาจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงระดับระกูลชั้นสอง ถ้าหากว่าเย่เทียนเฉินฆ่าตำรวจในสถานีตำรวจจริงๆ ตระกูลเย่คงจะปกป้องเขาไม่ได้ ถึงอย่างไรที่นี่คือเมืองหลวง กฏหมายเบื้องหน้าเข้มงวดกว่าที่อื่นมาก
ตอนที่เย่เทียนเฉินลากตำรวจที่ถือปืนพกคนนั้นกำลังจะเปิดประตูเหล็กของห้องสอบสวนเดินออกไป ประตูเหล็กก็ถูกคนจากด้านนอกผลักเปิดออกก่อน ชายวัยกลางคนหนึ่งที่อ้วนลงพุง สวมเครื่องแบบตำรวจเดินเข้ามา แม้หน้าตาจะดูธรรมดา แต่กลับมียศเป็นถึงผู้กำกับ โดยเฉพาะดางตาคู่นั้นที่ดูราวกับว่าสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้
คนคนนี้ก็คือผู้กำกับประจำสถานีตำรวจสันติบาลมีชื่อว่าหลูเซิ่งต๋า และเป็นพ่อของชายสวมแว่นกรอบทองที่ยืนอยู่ข้างๆ ในวันที่เย่เทียนเฉินทำร้ายลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียน ชายสวมแว่นกรอบทองมีชื่อว่าหลูวั่ง ซึ่งถูกขนานนามจากคนใกล้ชิดว่า ‘ซิ่วไฉ[1]ผู้รอบรู้’แม้ว่าศักดิ์ฐานะของหลูวั่งจะไม่ได้สูงส่งดั่งเช่นเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่อย่างลั่วเหลย แต่ชายผู้นี้ฉลาดมาก สามารถพิจารณาและประเมินความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ระมัดระวังตัวอยู่เสมอ นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมวันนั้นเขาถึงไม่ได้แจ้งตำรวจ เขามองออกว่าเย่เทียนเฉินไม่ธรรมดา ไม่ได้เป็นคนไม่เอาไหนหรือเศษสวะเหมือนกับข่าวลือในเมืองหลวง พ่อของตนมีฐานะเป็นผู้กำกับกองตำรวจสถานีตำรวจสันติบาล ถ้าหากว่าทำอะไรไม่รอบคอบ ยืนอยู่ผิดฝั่ง มีหวังได้จบเห่แน่
หลังจากที่หลูวั่งกลับบ้านก็ได้พูดคุยกับหลูเซิ่งต๋าผู้เป็นพ่อถึงเรื่องนี้ หลูเซิ่งต๋าตกใจจนอ้าปากตาค้าง เรื่องของเย่เทียนเฉินทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีใครที่ไม่รู้ อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนร้ายกาจเช่น คงไม่มีใครไม่ตกตะลึงหรือสงสัย
คราวนี้เย่เทียนเฉินถูกตำรวจอันธพาลสองคนจับตัวมาที่สถานี เรื่องนี้หลูเซิ่งต๋าทราบดี แม้ว่าหลูวั่งจะบอกว่าอย่าเพิ่งไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน แต่หลูเซิ่งต๋าก็ยังไม่เชื่อว่าคนที่เคยเป็นคนไม่เอาไหนและเศษสวะ อยู่ดีๆ จะกลายเป็นคนร้ายกาจขึ้นมา อีกอย่างเขารู้ว่านายตำรวจทั้งสองที่เป็นลูกน้องของเขาถูกหลี่เถียซื้อตัวไป แม้ว่าหลี่เถียจะเป็นหัวโจกของอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวง แต่หลูเซิ่งต๋าไม่เห็นอยู่ในสายตา เขาที่สามารถขึ้นเป็นผู้กำกับกองตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลแห่งเมืองหลวงได้นั้นย่อมไม่ใช่คนไม่เอาไหน ส่วนสำคัญคือผู้มีอำนาจที่หลี่เถียพึ่งพาก็คือตระกูลฉิน เรื่องนี้ทำให้หลูเซิ๋งต๋าต้องระวังตัว
เมื่อสักครู่นี้หลูเซิ่งต๋าสังเกตการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเย่เทียนเฉินอยู่ในห้องสังเกตการณ์ รวมถึงการเข้าไปบีบบังคับให้เย่เทียนเฉินเซ็นหนังสือยอมรับผิดของตำรวจชั่วทั้งสอง ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของเขา เขาอยากจะดูว่าเย่เทียนเฉินในวันนี้จะร้ายกาจเหมือนในข่าวลือจริงหรือไม่ อีกทั้งเขายังมีแผนอยู่ในใจตั้งแต่แรก ถ้าหากเย่เทียนเฉินยังเป็นสวะอยู่เหมือนเดิม เขาก็จะให้คนของหลี่เถียฆ่าเย่เทียนเฉินให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนล่วงเกินหลี่เถียหาและตระกูลฉิน แต่ถ้าหากว่าเย่เทียนเฉินมีความสามารถล่ะก็ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้หลูเซิ่งต๋ารู้สึกคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินเหี้ยมถึงขนาดกล้าลงมือแม้กระทั่งตำรวจ ดูท่าทางแล้วมีแนวโน้มว่าจะฆ่าด้วย ตอนนี้เองเขาก็เริ่มนั่งอยู่ในห้องสังเกตการณ์ไม่ติด หากว่าเย่เทียนเฉินฆ่าตำรวจเข้าจริงๆ คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แน่ จึงรีบออกมาจากห้องสังเกตการณ์ ผลักประตูห้องสอบสวนเพื่อหยุดเย่เทียนเฉินไว้
“น้องเย่ หยุด หยุดก่อน มีอะไรก็พูดกันดีๆ พูดกันดีๆ!” หลูเซิ่งต๋ากล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะมีวิธีการหรือเบื้องหลังอะไรที่เหนือมนุษย์ แค่เขากล้าลงมือกับตำรวจก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว ดังนั้นหลูเซิ่งต๋าต้องรับมืออย่างระมัดระวัง
“คุณก็คือผู้กำกับกองตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลแห่งเมืองหลวงเหรอ?” เย่เทียนเฉิมถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ถูกแล้ว ถูกแล้ว ฉันคือหลูเซิ่งต๋า” หลูเซิ่งต๋ายังคงพูดด้วยรอยยิ้ม。
“ลูกน้องของคุณมีตำรวจเลวๆ อย่างสองคนนี้ ผมเตรียมจะจัดการพวกมันอยู่ โดยเฉพาะเจ้าหมอนี่ มันใช้ปืนจ่อหัวผม ถึงคราวตายของมันแล้ว” เย่เทียนเฉินเปิดกล่าวอย่างไม่แยแส
พอหลูเซิ่งต๋าได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว เมื่อสักครู่นี้เขาเพียงแค่แสดงออกถึงเกรงใจก็แค่นั้น คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งกร้าวขนาดนี้ มาพูดว่าจะฆ่าตำรวจต่อหน้าผู้กำกับกองตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลที่มีเกียรติอย่างเขา บ้านเมืองยังมีขื่อมีแปอยู่อีกหรือไม่?
“น้องเย่ ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนของตระกูลเย่ แม้ตระกูลเย่ตกต่ำลงตั้งนานแล้ว แต่จะอย่างไรผู้อาวุโสตระกูลเย่ก็ยังคงมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ดังนั้นฉันจึงไว้หน้าเธอ ตอนนี้เธอไปได้แล้ว!” หลูเซิ่งต๋ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“งั้นเหรอครับ? ผมไม่สนหรอก ผมรู้แต่ว่าใครมันกล้าเอาปืนมาจ่อหัวผม มันจะต้องตาย” เย่เทียนเฉินจ้องมองไปยังดวงตาของหลูเซิ่งต๋าพลางกล่าว
เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีอะไรต่อหลูเซิ่งต๋า แม้ว่าคนที่ลงมือกับตนเองจะเป็นตำรวจอันธพาลทั้งสอง แต่หากว่าไม่มีการเห็นชอบจากหลูเซิ่งต๋า พวกเขาจะกล้าทำเช่นนี้ได้เหรอ? พูดให้ฟังดูดีหน่อยก็คือ หลูเซิ่งต๋าถูกบีบบังคับ พูดให้ฟังดูแย่ก็คือ หลูเซิ่งต๋ากับหลี่เถียผู้เป็นหัวโจกของกลุ่มอิทธิพลมืดช่วยเหลือกันอยู่
“ฉันขอเตือนเธอว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ที่นี่คือสถานีตำรวจ ถ้าเธอฆ่าตำรวจ จะไม่มีใครปกป้องเธอได้อีก!” หลูเซิ่งต๋าเตือนพร้อมกับมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน
กร๊อบ!
เมื่อเผชิญหน้ากับการคุกคามของหลูเซิ่งต๋า เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ใช่การกระทำตอบโต้ เขากระชากข้อมือขวาไปทางซ้ายเล็กน้อย คอของนายตำรวจที่เอามือจ่อหัวเขาถูกหักกลายเป็นศพกองอยู่กับพื้น หลูเซิ่งต๋าตกใจเจนรู้สึกเย็นวาบในใจ
คนที่กล้าฆ่าตำรวจในสถานีตำรวจ เกรงว่าในประวัติศาสตร์จะมีแค่เย่เทียนเฉินคนเดียว แต่ในสายตาของเขา หากปล่อยตำรวจเลวๆ เช่นนี้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไป คนดีๆ มากมายจะต้องลำบาก สู้ฆ่าทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“แกรนหาที่ตาย จงใจฆ่าคน เชื่อไหมว่าฉันสามารถยิงแกตอนนี้ได้!” พอหลูเซิ่งต๋าได้สติกลับมา ระหว่างที่พูดก็ใช้มือขวาคลำปืนพกที่เหน็บอยู่ข้างเอว กัดฟันแน่นพร้อมมองเย่เทียนเฉิน
“ผมเตือนคุณว่าอย่าใช้ปืนจะดีกว่า เพราะคนที่กล้าเอาปืนจ่อหัวผม ทุกคนกลายเป็นศพไปหมดแล้ว” เย่เทียนเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋าก็นึ่งอึ้งไป เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตนเองได้เห็น ชายหนุ่มตรงหน้าร้ายกาจถึงขนาดไหนกันแน่ มีเบื้องหลังใหญ่โตขนาดไหนกัน? ถึงได้ลงมือฆ่าตำรวจในสถานีตำรวจ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนที่ได้ยินต้องสั่นสะท้าน
หลูเซิ่งต๋าและเย่เทียนเฉินต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ เย่เทียนเฉินหันหลังให้หลูเซิ่งต๋า ส่วนมือขวาของหลูเซิ่งต๋าจับอยู่บนปืนพกข้างเอว เขาคิดจะลั่นไกยิงเย่เทียนเฉินทิ้ง แต่ไม่มีความกล้ามากพอ ก้นบึ้งจิตใจของเขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย เย่เทียนเฉินจะมีความกล้าบ้าบิ่นถึงขนาดฆ่าตนที่เป็นผู้กำกับกองตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลแห่งเมืองหลวงหรือไม่
“ถ้าหากว่าคุณไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ผมก็ขอตัวไปก่อน ไว้เจอกัน!” เย่เทียนเฉินเดิไปทางประตูห้องสอบสวนในขณะที่พูด
“หยุดนะ เย่เทียนเฉิน แกมันอวดดีเกินไปแล้ว กล้าฆ่าตำรวจในสถานีตำรวจ มีโทษประหาร ต่อให้แกเป็นคนของตระกูลเย่ ฉันก็สามารถยิงแกทิ้งที่นี่ได้ ฉันเชื่อว่าตระกูลเย่ทำอะไรฉันไม่ได้แน่…” หลูเซิ่งต๋าเอ่ยขึ้นอย่างดุร้าย
“หลูเซิ่งต๋า คุณทำให้มันชัดเจนหน่อยสิ ตำรวจเลวสองคนที่เป็นลูกน้องของคุณ จับผมมาที่สถานีตำรวจโดยไม่มีหลักฐาน แล้วยังบังคับให้ผมรับคดีอุกฉกรรจ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงช่วงหนึ่งเดือนมานี้อีก นี่เป็นสถานีตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลงั้นเหรอ? นี่เป็นท่าทีในการรักษากฏหมายของผู้กำกับหลูหรือครับ? ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่อวดดี? ผมคิดว่าคุณคงรู้ดียิ่งกว่าใคร!” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเย็น
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกก็ฆ่าตำรวจ ย่อมหนีไม่พ้นการลงโทษทางกฏหมายแน่ ฉันเตือนแกอย่าได้เดินไปข้างหน้าอีก ไม่งั้นฉันไม่รับรองว่าแกจะจะได้ออกไปจากที่นี่อย่างมีชีวิตหรือเปล่า”
หลูเซิ่งต๋าอยากจะชักปืนออกมายิงเย่เทียนเฉินจริงๆ คนคนนี้อวดดีเหลือเกิน กล้าฆ่าคนต่อหน้าผู้กำกับสถานีตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลอย่างตน อีกทั้งคนที่ฆ่ายังเป็นตำรวจ นี่ต้องมีสภาวะกดดันคนมากขนาดไหนกัน?
ในความคิดของหลูเซิ่งต๋า ต่อให้เย่เทียนเฉินเก่งกว่านี้ ก็ไม่สามารถฆ่าตำรวจโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ อีกอย่างตระกูลเย่ก็ตกต่ำมานานแล้ว อาศัยแค่ตำแหน่งฐานะของตนในตอนนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตา
“อยากจะลั่นไกก็เร็วๆ หน่อย ผมกำลังยุ่ง!”
หลังจากเย่เทียนเฉินกล่าวจบก็เดินตรงไปด้านหน้า หลูเซิ่งต๋าโกรธจนดวงตาทั้งสองแดงก่ำ เจ้าเด็กนี่หยิ่งผยองเกินไปแล้ว เขาไม่เห็นตนที่เป็นผู้กำกับสำนักงานตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลอยู่ในสายตาเลยสักนิดเดียว ฆ่าตำรวจในสถานีตำรวจ ไปแล้ว ยังอยากจะออกไปอย่างมีชีวิตอยู่อีก นี่มันไม่ได้เอาฮาใช่ไหม?
ตอนที่หลูเซิ่งต๋าทนไม่ไหวอยากจะชักปืนออกมายิงเย่เทียนเฉิน เสียงโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของเขาก็ดังขึ้น ทำลายภาวะที่กำลังชะงักงัน ส่วนเย่เทียนเฉินเองก็นิ่งชะงักอยู่กับที่ เขาอยากจะดูว่าจะใช่คนของหลี่เถียหรือตระกูลฉินหรือไม่ หากต้องการจัดการตระกูลฉิน ก็ต้องถอนรากถอนโคนเขี้ยวเล็บของตระกูลฉินก่อน หัวโจกของอิทธิพลใต้ดินอย่างหลี่เถียก็ต้องค่อยๆ เก็บกวาด
“ฮัลโหล ผมหลูเซิ่งต๋า คุณคือใคร?” หลูเซิ่งต๋ากล่าวถามเสียงเข้ม
“ผมเอง!” เสียงอันทรงพลังชายวัยกลางคนหนึ่งดังขึ้นจากอีกฝั่งของโทรศัพท์
“ท่าน ท่านรัฐมนตรีเฉิน มีคำสั่งอะไรรึเปล่าครับ?” หลูเซิ่งต๋าคิดไม่ถึงว่าคนที่โทรหาตนจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีเฉินเซิง
“เย่เทียนเฉินอยู่กับคุณรึเปล่า?” เฉินเซิงถามขึ้น
“อยู่ครับ รัฐมนตรีเฉิน เรื่องนี้ผมกำลังคิดจะรายงานคุณอยู่พอดี เจ้าหมอนี่มัน…”
“ปล่อยเขาไปซะ อย่าสร้างความลำบากให้เขา!” เสียงของหลูเซิ่งต๋าถูกเฉินเซิงตัดบท ด้วยการออกคำสั่งให้ปล่อยเย่เทียนเฉินไป
“นี่…ท่านรัฐมนตรีเฉินครับ เย่เทียนเฉินฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นลูกน้องของผม ปัญหาร้ายแรงมากนะครับ” หลูเซิ่งต๋ารีบรายงาน รู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะออกคำสั่งตนให้ปล่อยเย่เทียนเฉิน
“เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่งแล้ว ปล่อยเขาไปซะ…อีกอย่างผมขอเตือนคุณไว้ว่าอย่าไปหาเรื่องเขา นี่เป็นความต้องการของตระกูลซู” พอเฉินเซิงพูดจบก็วางสายไป
หลังจากหลูเซิ่งต๋าวางโทรศัพท์ บนหน้าผากก็มีเหงื่อผุดขึ้นมา มองไปยังเย่เทียนเฉิน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า เฉินเซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะโทรหาตนเองเพื่อให้เขาปล่อยคน อีกอย่างยังบอกว่านี่เป็นความต้องการของตระกูลซูอีก ตระกูลซูมีความสำคัญในเมืองหลวงถึงขนาไหน หลูเซิ่งต๋าย่อมเข้าใจดี ตระกูลซูไปถึงขั้นที่ไม่มีใครในประเทศนี้กล้าหาเรื่องอีกแล้ว แต่กลับออกหน้าปกป้องเย่เทียนเฉิน ทำให้รู้สึกเหลือเชื่อ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?
………………………………………………
[1] ซิ่วไฉ เป็นคำเรียกของนักศึกษาที่สอบผ่านราชการในสมัยโบราณ