เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 33 สาวงามผู้ขับเฟอร์รารี่
“เย่เทียนเฉิน ตอนนี้คุณไปได้แล้ว!”
สุดท้ายแล้วหลูเซิ่งต๋าก็ทำได้เพียงปล่อยเย่เทียนเฉินไป เขาไม่อาจสร้างปัญหาให้กับเฉินเซิงผู้เป็นหัวหน้าและเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา และยิ่งไม่อาจสร้างปัญหาให้แก่ตระกูลซูซึ่งเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ในประเทศได้
“หือ? พูดจริงงั้นเหรอ?” เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงว่าหลูเซิ่งต๋าจะปล่อยตนเองไป เดิมทีเขาก็เตรียมจะมาวิวาทและก่อเรื่องในสถานีตำรวจอันสกปรกโสมมแห่งนี้อยู่แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าาจะมีผลลัพธ์เช่นนี้
“สหายเย่ เรื่องนี้เกิดความเข้าใจผิดเล็กน้อย ผมเป็นคนที่ละเลยไปเอง ไม่ควบคุมลูกน้องให้ดี ขออภัยด้วยนะครับ!” หลูเซิ่งต๋าจำเป็นต้องลดท่าทีลง ขอโทษเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินชะงักไปชั่วครู่ เขาไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนัก ใครกันแน่ที่โทรมาบอกให้หลูเซิ่งต๋าปล่อยตนเองไป? อีกอย่างดูจากสถานการณ์แล้ว คนที่โทรศัพท์มาค่อนข้างน่าเกรงขามด้วย
เย่เทียนเฉินหมุนกายจากไปโดยไม่พูดอะไร เรื่องที่ควรจะทำความเข้าใจให้ชัดเจนก็มักจะเข้าใจเอง ยังไงก็รีบกลับบ้านก่อนดีกว่าเพื่อไม่ให้แม่ต้องกังวล
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินออกไปจากห้องสอบสวนแล้ว หลูเซิ่งต๋าก็นั่งลงบนเก้าอี้ ทั่วทั้งร่างสั่นเล็กน้อย เนื่องจากเขาทราบดีว่า เมื่อสักครู่นี้ตนเองเกือบจะสร้างหายนะครั้งใหญ่เสียแล้ว หากว่าลั่นไกยิงเย่เทียนเฉินตายจริงๆ ผลลัพธ์คงเลวร้ายจนไม่กล้าที่จะคิด รัฐมนตรีเฉินเซิงโทรถึงกับโทรมาหาด้วยตัวเอง อีกอย่างตระกูลซูก็ปกป้องเย่เทียนเฉินอยู่เบื้องหลัง ต้องใช้แผนการระดับไหนถึงจะทำได้กัน?
แต่สิ่งที่หลูเซิ่งต๋าไม่เข้าใจก็คือ ตระกูลซูที่สูงส่งย่อมมองตระกูลเย่เหมือนคนที่มองจากที่สูงกว่า พวกเขามีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับตระกูลเย่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ถึงกับโทรหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างเฉินเซิงด้วยตัวเอง เพื่อให้เขาปกป้องเย่เทียนเฉิน คนเช่นนี้จะเป็นคนขี้แพ้ที่น่าขบขันและเศษสวะของเมืองหลวงจริงๆ หรือ? ยากจะเชื่อจริงๆ
เดินออกมาจากสถานีตำรวจสันติบาลสาธารณะแล้ว เย่เทียนเฉินก็ควักบุหรี่ออกมาสูบมวนหนึ่ง ตอนนี้เอง หมีภูเขาที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งบริเวณประตูก็จ้องมองมายังเย่เทียนเฉินด้วยดวงตาชั่วร้าย ในแววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาซื้อตัวตำรวจสองคนนั้นให้ลงมือฆ่าเย่เทียนเฉินแล้วชัดๆ ทำไมเจ้าหมอนี่ยังมีชีวิตออกมาอีก
“รอนานแล้วสินะ มีของขวัญแรกพบจะให้แกด้วย!”
“แก…”
เปรี้ยง!
กว่าที่หมีภูเขาจะได้สติกลับมา เย่เทียนเฉินก็ใช้หมัดซัดเขาจนกระเด็นออกไป หมัดนี้ต่อยเข้าที่ใบหน้าของหมีภูเขาอย่างรุนแรง เขากระอักเลือดที่มีฟันผสมปนเปอยู่ด้วยออกมา รู้สึกเจ็บปวดจนแยกเขี้ยว พยายามลุกขึ้นจากพื้น
“แม่งเอ๊ย ตายซะเถอะ!”
หมีภูเขาไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินจะลงมือกับตนเองโดยฉับพลัน เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ตะโกนใส่เย่เทียนเฉินพลางพุ่งเข้าไปหา น่าเสียดายขณะที่พุ่งเข้าไปก็ถูกอัดกลับมา ล้มลงก้นกระแทกพื้น พยายามฝืนลุกขึ้นแต่ก็ถูกเย่เทียนเฉินใช้เท้าเหยียบศีรษะเอาไว้
“สหายไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย พวกเราไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน ทำไมอยู่ดีๆ ต้องทำร้ายด้วย?” พอหมีภูเขารู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉิน จึงคิดจะแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เพื่อให้เย่เทียนเฉินปล่อยตนไป
“ไม่มีความแค้นต่อกัน? เมื่อกี้แกซื้อตัวตำรวจสองคนนั่นให้ฆ่าฉันไม่ใช่หรือไง? ยังจะมาบอกว่าไม่มีความแค้นต่อกันอีกไหม?” เย่เทียนเฉินสูบบุหรี่ครั้งหนึ่งก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น
“แก…แกรู้ได้ไง?” หมีภูเขาตกใจจนหน้าถอดสี เขาเห็นเย่เทียนเฉินถูกขังอยู่ในห้องสอบสวน จากนั้นเขาก็พูดคุยกับตำรวจอันธพาลทั้งสองคนอยู่ด้านนอก แล้วเย่เทียนนเฉินรู้ได้อย่างไรกัน?
มุมปากของเย่เทียนเฉินประดับด้วยรอยยิ้มเย็น แม้ว่าพลังพิเศษของตนในตอนนี้จะอยู่ในระดับราชันย์ แต่หลังจากผ่านการฝึกฝนในหลายวันมานี้ ก็เริ่มค่อยๆ มีแนวโน้มในการทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์ได้ ไม่เพียงแต่รับรู้สถานการณ์รอบๆ ตัวในระยะหนึ่งร้อยเมตรได้ ยังสามารถได้ยินเสียงสนทนาของผู้คนได้อีกด้วย ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงได้ยินการสนทนาระหว่างหมีภูเขาและตำรวจอันธพาลทั้งสองตั้งแต่แรกแล้ว พอออกมาเจอหมีภูเขาที่ยังรอฟังข่าวอยู่ ย่อมต้องใช้หมัดดูแลเสียหน่อย
“แกอย่ามาสนใจเลยว่าฉันรู้ได้ไง ฉันรู้แต่ว่ามือทั้งสองของแกหักแน่ๆ…”
“อย่า…อ้าก!”
ตูม! ตูม!
เสียงสองเสียงดังขึ้นเบาๆ เย่เทียนเฉินใช้เท้ากระทืบแขนทั้งสองข้างของหมีภูเขาจนหัก พลางกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มโดยที่ไม่สนใจหมีภูเขาที่เจ็บจนร้องจะเป็นจะตายอยู่กับพื้นว่า “กลับไปบอกหลี่เถียคืนนี้ฉันจะไปหามันด้วยตัวเอง ให้มันซื้อโลงศพรอไว้ได้เลย!”
สองมือของหมีภูเขาถูกกระทืบจนหัก เลือดออกเต็มปาก กว่าจะคลานขึ้นมาจากพื้นด้วยความยากลำบากได้ เย่เทียนเฉินก็เดิออกจากประตูสถานีตำรวจสันติบาลไปแล้ว ใบหน้าของหมีภูเขาซีดเซียว ไม่เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดที่มือทั้งสองถูกหัก ทั้งยังรู้สึกช็อกเป็นอย่างมากด้วย เขาคิดไม่ถึงเลยว่า เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจและแข็งกร้าวขนาดนี้ เขาคิดที่จะไปจัดการกับหลี่เถียแถมยังเป็นการลงมือแบบโจ่งแจ้งอีกด้วย บอกเวลาที่จะลงมือให้หลี่เถียรู้อย่างไม่เกรงกลัว นี่ต้องใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขนาดไหนจึงจะทำได้กัน
เย่เทียนเฉินที่กำลังคาบบุหรี่อยู่ในปากมวนหนึ่ง เดินออกมาจากประตูสถานีตำรวจสันติบาล เขาไม่ได้พูดเล่น แต่ต้องการจะลงมือจัดการกับหลี่เถียจริงๆ หลี่เถียเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลฉิน ทั้งยังกล้าส่งมือสังหารมาลอบฆ่าพ่อของตน คนคนนี้สมควรตาย และเป็นการเตือนสติตระกูลฉินว่าอย่าได้มารังควานตระกูลเย่
เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินออกมาจากประตูสถานีตำรวจสันติบาลได้ไม่ทันไร รถสปอร์ตยี่ห้อเฟอร์รารี่สีแดงคันหนึ่งก็ขับเข้ามา กระจกนั่งด้านหลังค่อยๆ ลดลงช้าๆ หญิงสาวที่ทั้งงดงามและเซ็กซี่คนหนึ่งโผล่ศีรษะออกมา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขึ้นรถมาสิ!”
“หือ? เธอเป็นใครกัน? ไม่ใช่แท็กซี่เถื่อนใช่มั้น ฉันไม่มีเงินนะ” เย่เทียนเฉินไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้โดยสิ้นเชิง รู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่าจะมีเหตุผลอะไรถึงขับรถหรูมาเรียกให้ตนเองขึ้นไปนั่งด้วย
“นาย…”
สาวงามที่ขับรถสปอร์ตยี่ห้อเฟอร์รารี่ เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็โกรธจนทนไม่ไหว คนคนนี้จำเธอไม่ได้เลยสักนิด เสียทีที่เธออยากจะตอบแทนบุญคุณมาโดยตลอด ถึงได้หาคนติดตามเรื่องของเย่เทียนเฉินทุกเรื่อง ตอนที่เย่เทียนเฉินถูกจับตัวมาที่สถานีตำรวจ ก็รีบกลับบ้านขอให้ผู้อาวุโสปกป้องเย่เทียนเฉิน ไม่งั้นเจ้าหมอนี่จะเดินส่ายอาดๆ ออกมาได้อย่างไร แต่ตอนนี้กลับพูดว่าไม่รู้จักเธอ ช่างน่าโมโหจริงๆ
“นี่ นายจะไม่ไร้จิตสำนึกเกินไปเหรอไง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะฉันช่วยนายไว้ ตอนนี้นายก็ยังถูกขังอยู่ในสถานีตำรวจอยู่นั่นแหละ”
“เธอช่วยฉันเหรอ เธอเป็นใครอ่ะ?” เย่เทียนเฉินเกาหัว มองสาวงามผู้ขับรกสปอร์ตตรงหน้า ยังคงไม่มีความทรงจำใดๆ เลยแม้แต่น้อย
“ฉัน…ฉันคือซูเฟยเฟยไง นายจำไม่ได้เหรอ?”
ที่แท้ สาวงามที่ขับรถสปอร์ตเฟอร์รารี่มูลค่าห้าล้านก็คือซูเฟยเฟยนั่นเอง วันที่เย่เทียนเฉินปลดประจำการกลับมาบ้าน ตอนที่ออกมาจากสนามบินพร้อมๆ กับกินเต้าฮวยถ้วยหนึ่งที่กำลังถืออยู่อย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็พบกับซูเฟยเฟยที่กำลังจะถูกลักพาตัวในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง ตอนแรกเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจอยากจะช่วยเหลือสาวงาม แต่คาดไม่ถึงว่าชายฉกรรณ์ผู้เป็นหัวหน้าจะปัดเต้าฮวยของเย่เทียนเฉินตกพื้น จนเกิดเรื่องราวใหญ่โต บอดี้การ์ดสิบกว่าคนถูกเย่เทียนเฉินซัดหมอบในพริบตา
เย่เทียนเฉินไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าซูเฟยเฟยที่เกิดในตระกูลใหญ่ ทั้งได้รับการสั่งสอนเลี้ยงดูเป็นอย่างดี รู้จักตอบแทนบุญคุณ ตลอดมาก็ให้คนคอยตามดูเย่เทียนเฉิน เมื่อทราบว่าชายคนนี้เกิดเรื่องใหญ่โต ถูกจับมาที่สำนักงานความปลอดภัยสาธารณะ ซูเฟยเฟยก็รีบไปขอให้ผู้อาวุโสตระกูลซูให้ปกป้องเย่เทียนเฉิน
“ซูเฟยเฟยเหรอ? จำไม่ได้เลย”
เย่เทียนเฉินจำไม่ได้จริงๆ เขาสายหัวให้ซูเฟยเฟยก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ซูเฟยเฟยโมโหจนอยากจะประเคนหมัดให้สักหลายหมัด เดินทียังรู้สึกซึ้งใจที่เจ้าหมอนี่ช่วยตนเองเมื่อวันนั้น ตอนนี้จึงอยากตอบแทน ที่ไหนได้เจ้าหมอนี่กลับไม่มีท่าทีซาบซึ้งเลยสักนิด ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ
“นาย…วันนั้นฉันเกือบจะถูกคนลักพาตัว นายเป็นคนที่ช่วยฉันไว้ที่ซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง แล้วก็ถูกปัดเต้าฮวยตกพื้นด้วย…” ซุเฟยเฟยเตือนความจำเย่เทียนเฉิน
“เต้าฮวย อ๋อ พูดถึงเต้าฮวย ท้องฉันก็หิวเข้าจริงๆ ซะแล้วล่ะสิ ไปหาที่กินข้าวดีกว่า!” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง
ตอนนี้ซูเฟยเฟยโกรธจนใบหน้างดงามแดงก่ำ เธอเธอหมัดแน่น ไม่รู้จริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจำเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ หรือว่าตั้งใจเสแสร้งแกล้งโง่ทำเป็นไม่ใส่ใจ
“นี่ เจ้าคนนิสัยไม่ดี นายอย่าไปนะ ไร้สามัญสำนึก ฉันว่าจะเลี้ยงข้าวเที่ยงนายนะ…” เมื่อซูเฟยเฟยเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินจากไป จึงกล่าวออกเสียงเบาอย่างหมดหวังในตอนสุดท้าย
“กินข้าวเที่ยงเหรอ กินอะไรดี? ไม่ได้กินอาหารทะเลตั้งนานแล้ว งั้นเลี้ยงอาหารทะเลฉันก็แล้วกัน!” ไม่ทันไร เย่เทียนเฉินก็โผล่มาข้างประตูรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ของซูเฟยเฟยพลางหัวเราะฮี่ๆ ซูเฟยเฟยตกใจจนสะดุ้งโหยง
“นายจำได้แล้วเหรอ?” ซูเฟยเฟยที่ได้สติกลับมาก็ยิ้มหวานพลางกล่าวถาม
“จำได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ แต่เธอคิดแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ จุดสำคัญอยู่ที่ตอนนี้ไปกินข้าวกัน”
ไม่รอให้ซูเฟยเฟยเอ่ยปาก เย่เทียนเฉินก็เปิดประตูรถเฟอร์รารี่แล้วเข้ามานั่งเรียบร้อย รถสปอร์ตคันนี้ไม่เหมือนรถทั่วๆไป ความรู้สึกตอนที่นั่งนสุดยอดมาก ทว่าเย่เทียนเฉินยังจำซูเฟยเฟยไม่ได้จริงๆ เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าซูเฟยเฟยจะเลี้ยงข้าว จะไม่กินก็เสียดายเปล่าๆ หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้ ความสำราญใจอันดับหนึ่งของเย่เทียนเฉินก็คือการกิน ตอนที่อยู่ในโลกแห่งความวินาฬนั้นมีหลายครั้งที่ต้องกินเปลือกไม้และสัตว์ป่า ไม่มีอาหารเลิศรสให้กินเหมือนโลกนี้ ดังนั้นในสถานการณ์ปกติ เย่เทียนเฉินจะสามารถกินอาหารที่มีรสชาติไม่เลวได้เยอะ เติมเต็มกระเพาะของตนเอง
ซูเฟยเฟยโกรธเย่เทียนเฉินเสียจนหน้ากลายเป็นดำคล้ำ เธอคิดว่าตนเจอยอดบุรุษเข้าให้จริงๆ แล้ว คนคนนี้คงไม่ใช่คนโง่เง่าปัญญาอ่อนหรอกนะ ตอนที่เจอกับตนที่เป็นสาวงามที่สวยขนาดนี้อย่างตน ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดเหรอ? อีกทั้งยังจำเหตุการณ์ทีตัวเองเคยทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามไม่ได้อีก จะบื้อไปหน่อยแล้วมั้ง?
เย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่บนรถเฟอร์รารี่สีแดงควักบุหรี่ออกมามวนหนึ่งอย่างสบายอกสบายใจ จัดแจงจุดไฟบริการตนเองพลางสูบเข้าไป ตอนแรกซูเฟยเฟยก็อยากจะห้าม คิดในใจว่าเจ้าหมอนี่จะไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษสักนิดเลยใช่ไหม มีสุภาพสตรีอยู่ก็ยังจะสูบบุหรี่อีก แต่ว่าตอนที่กำลังจะเอ่ยปาก ก็พบว่าเตอนที่เจ้าหมอนี่สูบบุหรี่ดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก รู้สึกถึงความเป็นลูกผู้ชย จึงไม่ได้พูดออกไป
“คุณคนสวย รถของเธอไม่เลวเลย หมดเงินไปไม่น้อยเลยสินะ?” เย่เทียนเฉินมองรถครู่หนึ่งพลางกล่าวถาม
“ฉันชื่อซูเฟยเฟย นายเรียกชื่อฉันได้ หรือจะเรียกฉันว่าเฟยเฟยก็ได้” ซูเฟยเฟยพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี
“ไม่มีปัญหา เฟยเฟยคนสวย ฉันว่ารถของเธอนี่ไม่เลวเลยนะ เมื่อกี้เธอบอกว่าฉันช่วยชีวิตเธอไว้ใช่ไหม? งั้นเอารถคันนี้ให้ฉันเป็นไง รถเมล์สาย 11 นั่งไม่ค่อยสะดวกเลย!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างหน้าด้านๆ
…………………………………