เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 378 เรื่องของความรัก ใครจะกล่าวได้ชัดเจนบ้าง?
เย่เทียนเฉินใช้วิชาลับอย่างเคล็ดวิชาหวนระลึกคืนสภาพ ทำให้หวนคืนรูปภาพทั้งสี่ที่ถูกทำลายในห้องหินด้านขวาได้ ซึ่งแน่นอนว่านี่เกิดขึ้นในสมองของเขาเท่านั้น รูปภาพทั้งสี่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ายังคงอยู่ในสภาพถูกทำลาย ไม่สามารถทำให้มันฟื้นคืนจากสภาพที่ถูกกระบี่ฟาดฟันจนไม่รู้ว่ามีรูปอะไรอยู่ได้
เมื่อได้เห็นสภาพดังเดิมของรูปภาพในห้องหินด้านขวาและนำไปรวมกับภาพที่อยู่ในห้องหินด้านซ้าย เย่เทียนเฉินจึงเข้าใจถึงเรื่องราวของเด็กสาวคนนี้แล้ว นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณซึ่งมีทั้งความสุขและความเศร้า
เย่เทียนเฉินรับรู้ได้จากรูปภาพในห้องหินด้านขวาแล้ว เด็กสาวที่เติบโตมามีหน้าตางดงามเป็นอย่างยิ่งคนหนึ่ง มีความน่ารักบริสุทธิ์ มีความสามารถในการเรียนรู้สูงส่ง ทั้งยังมีเพลงกระบี่เก่งกาจเหนือระดับ มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอได้บังเอิญช่วยชายคนหนึ่งที่ติดกระบี่อยู่ที่หลังเอาไว้บริเวณน้ำตก ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะบาดเจ็บสาหัส เด็กสาวจึงพาเขาไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งและดูแลอย่างใส่ใจทุกวัน มาเยี่ยมชายคนนี้ทุกวัน ทั้งยังหาอาหารมาให้เขาด้วย เมื่อนานไปจึงเกิดความรู้สึกรักใคร่ ทั้งสองเกิดความรักต่อกัน แต่ในตอนที่คนทั้งสองเตรียมจะตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยกันจนถึงวาระสุดท้ายกลับมีคนร้ายกาจหลายคนปรากฏตัวขึ้น เมื่อพบเด็กสาวและผู้ชายคนนั้นก็เกือบจะฆ่าผู้ชายคนนั้นจนตาย แต่เพราะการขอร้องอย่างยากลำบากของเด็กสาว ผู้ชายคนนั้นจึงถูกครอบครัวของเด็กสาวปล่อยตัวไป
หลังจากที่ผู้ชายจากไป เด็กสาวก็คิดถึงเขาทุกค่ำเช้า ไม่กินไม่ดื่ม นั่งเหม่ออยู่ริมน้ำตกทุกวัน ทุกครั้งที่คิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันกับชายคนนั้นก็มักจะอดร้องไห้ไม่ได้ หัวใจของเธอมอบให้ชายคนนั้นไปหมดแล้ว แต่ทั้งสองกลับไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ครอบครัวของเด็กสาวไม่อนุญาตให้พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกัน หากไม่ใช่ว่าเด็กสาวขอร้องอย่างยากลำบาก ใช้ความตายมาบีบบังคับ ผู้ชายคนนั้นคงถูกฆ่าไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวซูบผอมลงทุกวันจนเกือบจะป่วยตาย เด็กสาวที่เดิมทีเป็นคนร่าเริงน่ารักกลับมีสภาพหดหู่เศร้าโศรกขนาดนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะเบิกบานใจอีกต่อไป แม่ของเด็กสาวก็รู้สึกปวดใจ ในที่สุดจากการช่วยเหลือของแม่ของเธอ เด็กสาวจึงออกไปจากตระกูลได้ เธอยืนอยู่บนภูเขาสูงบริเวณไม่ไกล มองไปยังตำแหน่งที่ครอบครัวของตนอาศัยอยู่ คุกเข่าลงโขกหัวสามครั้ง เธอรู้ว่าการออกไปครั้งนี้เป็นการไม่เคารพต่อกฎของตระกูล ภายภาคหน้าจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก และจะไม่ได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่อีก เพื่อความรัก เธอจำเป็นต้องออกไปตามหา
เด็กสาวตามหาอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายจึงพบกับชายคนนั้นที่เขาจงหนาน ในตอนที่ทั้งสองพบหน้ากัน ผู้ชายคนนั้นกลับกลายเป็นลูกศิษย์คนสำคัญที่พรรคของตนชุบเลี้ยงมา เป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป ตอนที่ถูกเด็กสาวช่วยชีวิตไว้ก็เพียงแค่ออกไปฝึกฝนเท่านั้น
ชายคนนั้นรักเด็กสาวมากเช่นเดียวกัน และอยากอยู่ด้วยกันสองคน แต่พรรคที่เขาอยู่เป็นพรรคทางเต๋า เขาถูกพรรคเลี้ยงดูสั่งสอนมาตั้งแต่ เด็กอาจารย์ก็เปรียบเสมือนพ่อแท้ๆ ชายชราที่ถือไม้ปัดฝุ่นอยู่ในมือเข้มงวดเป็นอย่างมาก หลังจากที่ชายชรารู้เรื่องนี้ก็บอกกับชายคนนั้นถึงความผิดหวังที่เขามี หากเขาต้องการอยู่ด้วยกันกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ก็ให้ละทิ้งวรยุทธทั้งหมดของเขาและออกไปจากพรรค อย่าได้มีความเกี่ยวข้องกันอีก
จากการบีบบังคับเช่นนี้ ชายคนนั้นจึงยอมถอย เขาไม่สามารถทอดทิ้งอาจารย์ที่มีบุญคุณเลี้ยงดูสั่งสอนเขาได้ ไม่อาจละทิ้งการบ่มเพาะอย่างยากลำบากในหลายปีมานี้ได้ เขาเลือกตัดขาดกับเด็กสาวคนนั้น ชั่วขณะนั้นเด็กสาวผิดหวังมากจนอดไม่ได้ที่จะร้องให้ออกมา เธอคิดไม่ถึงว่าชายที่ตนรักจะทรยศ เธอไม่คิดเลยว่า ชายที่ตนยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมละทิ้งได้ทั้งหมด แม้แต่ครอบครัวก็ไม่ต้องการ ชายที่ตนเดินทางตามหานับพันลี้ สุดท้ายเขากลับไม่ต้องการเธอ
ท่ามกลางความสิ้นหวัง เดิมทีเด็กสาวต้องการฆ่าตัวตาย แต่กลับพบตำแหน่งที่ตั้งของพรรคสุสานโบราณในปัจจุบันนี้เข้าโดยบังเอิญ หลายปีผ่านไป ชายคนนั้นกลายเป็นหัวหน้าพรรคของตนซึ่งอยู่บนยอดเขาไม่ไกล เธอจึงก่อตั้งพรรคสุสานโบราณขึ้นมา เด็กสาวกลายเป็นผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณ อยู่ตัวคนเดียวจนตาย
นี่คือสิ่งที่เย่เทียนเฉินเข้าใจจากรูปภาพในห้องหินด้านซ้ายขวาทั้งสองห้อง เขาเข้าใจผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณเป็นอย่างดี เด็กสาวน่ารักและงดงามอย่างยิ่งยวดคนนี้เจ็บปวดจากความรักมาชั่วชีวิต เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาแต่กลับถูกการทอดทิ้ง สุดท้ายจึงก่อตั้งพรรคสุสานโบราณตั้งอยู่ตรงข้างเขาชั่วชีวิต แต่ก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกตลอดกาล ทำได้เพียงทอดมองไปยังที่ไกลๆ ในยามค่ำคืน ไม่รู้จะกล่าวว่าชื่นชมหรือนับว่าเป็นการปลอบใจดี
“แต่ละคนก็มีความจนใจของตัวเอง ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีความรักต่อกันจะอยู่ด้วยกันได้ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ควรรักษาคนข้างกายของตนในปัจจุบันและรักษาเรื่องราวความรักเอาไว้ให้ดี ไม่งั้นอาจเสียใจไปชั่วชีวิต!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
เมื่อสำรวจห้องหินทั้งสองแล้ว เย่เทียนเฉินก็ไม่พบวิธีการฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกใดๆ เขาแบกตงฟางเมิ่งเดินไปเบื้องหน้าต่อไป ในพรรคสุสานโบราณมีห้องหินอยู่เป็นจำนวนมาก เกรงว่าจะนับได้ไม่ครบ ห้องแล้วห้องเล่า มีห้องหินจำนวนมากอยู่ทั้งสองฝั่งของทางเดิน ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินพบว่ามีบางห้องที่ประตูเปิดค้างเอาไว้ แต่ด้านในกลับไม่มีอะไรอยู่เลย และในห้องหินก็มีประตูเชื่อมต่อไปยังห้องอื่นๆ มิน่าล่ะจางอีเต๋อถึงได้บอกว่าถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีจะหลงทางได้ เดินไปจนตายก็หาทางออกไม่ได้
ตลอดทางที่เดินมา เย่เทียนเฉินผ่านห้องหินมากมาย แต่ไม่ว่าห้องจะเปิดอยู่หรือยังไม่เปิดเย่เทียนเฉินก็จะเข้าไปดู เขาไม่ปล่อยให้พลาดไปแม้แต่ห้องเดียว เนื่องจากวิธีการฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกจะอยู่ที่ไหนกันแน่เขาเองก็ไม่รู้ ถ้ามองข้ามไปห้องหนึ่ง อาจเป็นการทำร้ายตงฟางเมิ่งจนตายได้ มาถึงขั้นนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องตรวจสอบ
แต่สำรวจห้องหินมานับสิบห้องติดต่อกันแล้ว เย่เทียนเฉินก็ไม่พบสถานที่ที่มีอะไรพิเศษอยู่เลย ทั้งหมดเป็นห้องว่าง กระทั่งบนกำแพงหินก็ไม่มีรูปภาพอะไรอยู่อีก ในตอนที่เย่เทียนเฉินเข้าไปในแต่ละห้องก็ระมัดระวังเป็นอย่างมาก ด้วยกลัวว่าจะมีอาวุธลับกลไกอะไรอยู่ และตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย แต่เมื่อดูแล้วพบว่าไม่มีกลใจลับอะไร เคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกคงไม่หาเจอง่ายๆ แบบนั้นแน่ ในส่วนนี้เย่เทียนเฉินเข้าใจดี ดังนั้นการมีกลไกลับจึงเป็นเรื่องที่พิเศษมาก จำเป็นต้องตรวจสอบให้ละเอียดทุกที่
เย่เทียนเฉินแบกตงฟางเมิ่งเดินไปจนสุดทางเดินหิน เบื้องหน้ามีประตูหินบานใหญ่อยู่บานหนึ่ง เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ใช้มือลองสัมผัสลงไปบนประตูหินแล้วออกแรงดัน พบว่าประตูหินหนักเหมือนขุนเขา ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ท่าทางหากคิดจะเปิดประตูหินบานนี้คงยากแล้ว
“แต่ประตูนี้ไม่มีที่จับและไม่มีที่ให้ดันหรือดึง ท่าทางคงจะมีกลไกอยู่!” เย่เทียนเฉินมองประตูบานใหญ่ครู่หนึ่งพลางพึมพำกับตัวเอง เนื่องจากทางประตูหินนี้ไม่ใช่ประตูแบบที่เปิดได้จากสองฝั่ง เป็นแค่ก้อนหินก้อนใหญ่วางอยู่เท่านั้น หากเข้าไปในประตูหินบานนี้ได้ ต้องมีกลไกบางอย่างแน่ มิฉะนั้นคงทำได้เพียงฝืนทำลายมันทิ้ง แต่เย่เทียนเฉินไม่อยากทำเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างของพรรคสุสานโบราณเป็นของตงฟางเมิ่ง หากตนทำลายทิ้งคงไม่ค่อยดี ยิ่งไปกว่านั้นเป็นไปได้มากว่าจะมีเรื่องอันตรายอะไรเกิดขึ้น ในเมื่อผู้ออกแบบทำเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีวิธีฝ่าไป มิฉะนั้นคนที่เข้ามาถึงด้านในจะออกไม่ได้ไปตลอดกาลเหรอ?
เย่เทียนเฉินวางตงฟางเมิ่งลงด้านข้าง เริ่มสำรวจก้อนกินทุกก้อนที่อยู่รอบๆ ก้อนหินเหล่านี้ถูกขัดจนเรียบ แต่ละก้อนฝังอยู่ในกำแพงต่อเนื่องกันจนเหมือนกับหินเรียบก้อนใหญ่ก้อนเดียวอย่างไรอย่างนั้น เย่เทียนเฉินยื่นมือสัมผัสและเคาะดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อจะดูว่ามีก้อนหินที่ผิดปกติอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็คงเป็นกลไกที่ใช้สำหรับเปิดประตูหินนี้
เพียงแต่น่าเสียดาย ตรวจสอบอยู่ครึ่งค่อนวันเย่เทียนเฉินก็ยังไม่พบอะไรจนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว หรือว่าตนจะคิดผิด กลไกที่ใช้สำหรับเปิดประตูหินใหญ่นี้อาจไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่อยู่ข้างใน? ถ้าเป็นแบบนี้ หากคนด้านนอกต้องการเข้าไป จะต้องให้คนด้านในช่วยเปิด แต่ตอนนี้พรรคสุสานโบราณเหลือตงฟางเมิ่งแค่คนเดียว เป็นไปไม่ได้ที่ด้านในจะมีคนอื่นอยู่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปรอบๆ ประตูหิน เส้นทางทั่วทั้งห้องหินมีไข่มุกราตรีที่ส่องสว่างไม่ดับสิ้นไปตลอดกาลติดอยู่ ดังนั้นในพรรคสุสานโบราณจึงสว่างไสวไปทั่ว ไม่ได้มีความมืดครึ้ม แต่แน่นอนว่ามีมุมมืดอยู่บ้าง ไม่ได้จะบอกว่าไม่มีอยู่เลย จะอย่างไรที่นี่ก็มีห้องหินมากมายขนาดนี้ หากจะให้มีไข่มุกราตรีคอยส่องแสงอยู่ในห้องทุกห้องจริงๆ พรรคสุสานโบราณคงเป็นพรรคที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแล้ว เพียงแต่มีหลายแห่งที่ถูกแสงจากห้องอื่นส่องจนสว่างเล็กน้อย ส่วนใหญ่จึงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มืดมองนิ้วมือไม่เห็นแบบนั้น
ในตอนนี้เองเย่เทียนเฉินพลันชะงักไป เขาพบว่าเหนือทางเดินในห้องหิน ทุกระยะห่างของหินปูพื้นสองก้อนจะมีไข่มุกราตรีอยู่ก้อนหนึ่ง แต่ไข่มุกราตรีก้อนที่สามกลับห่างกันในระยะหินปูพื้นก้อนเดียว นี่ดูแปลกเป็นอย่างมาก จากการตรวจสอบที่เขาพบหลังเข้ามา การตกแต่งของผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณพิถีพิถันเป็นอย่างมาก เป็นผู้หญิงที่มีรถสนิยมในการใช้ชีวิตคนหนึ่ง คงไม่อนุญาตให้มีความผิดพลาดแบบนี้ปรากฏขึ้นแน่นอน ท่าทางคงจะต้องเป็นสถานที่ยุ่งยากอะไรแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้เย่เทียนเฉินจึงสะกิดตัวกระโดดขึ้นไป เท้าทั้งสองเหยียบไข่มุกราตรีกลางอากาศ เงาสะท้อนบนหินปูพื้นก้อนที่ห้าแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ยกยิ้มขึ้นที่มุมปากโดยพลัน เขาพลิกตัวหลายรอบจนมาถึงข้างประตูหินก้อนใหญ่ เริ่มพลิกหินปูพื้นตั้งแต่ก้อนแรก ทุกครั้งที่พลิกหินปูพื้นก็จะซัดฝ่ามือลงไปครั้งหนึ่ง ในตอนที่เย่เทียนเฉินซัดฝ่ามือถูกหินก้อนที่ห้าก็ได้ยินเสียงคลิกดังขึ้น ประตูหินถึงกับค่อยๆ เลื่อนขึ้นไป
แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินยังไม่ทันได้ยิ้มลำพองใจ ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้ามาจากที่ใดสักแห่ง มีพลังอำนาจรุนแรงเป็นอย่างมาก มีพลังที่ไม่อาจทำลายได้ เย่เทียนเฉินคาดเดาแล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น มือทั้งสองกำแน่น มีพลังที่แท้จริงเอ่อล้นออกมา ซัดไปยังลูกธนูจำนวนมากเหล่านั้น….
……………..