เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 38 ทะลวงสู่ระดับจอมราชันย์
ฝีมือของอู๋เสวี่ยแข็งแกร่งมากจริงๆ ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินซึ่งเป็นผู้มีพังพิเศษระดับพระเจ้ามาเกิดใหม่ ก็อดรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่ได้ นี่คือคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาได้พบตั้งแต่เขาได้มาเกิดใหม่
อู๋เสวี่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะสามารถหลบการโจมตีอันรวดเร็วและรุนแรงของตนไปได้ ผ่านไปสิบกระบวนท่า ก็ยังไม่สามารถโจมตีโดนเย่เทียนเฉินได้เลย ดูท่าข่าวลือของเมืองหลวงที่ว่าเศษสวะของตระกูลเย่อย่างเย่เทียนเฉินได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ใช่คนไม่เอาในกาลก่อนอีกต่อไป ข่าวนี้ใช่ว่าจะไม่มีมูล
เย่เทียนเฉินที่เผชิญกับการจู่โจมกับโหดเหี้ยมรุนแรงของอู๋เสวี่ยไม่ได้ตอบโต้ เพียงแค่หลบหลีกและสังเกต เขาสามารถรับรู้ถึงพลังภายในอันแข็งแกร่งที่ระเบิดออกมาจากร่างของอู๋เสวี่ยผ่านพลังพิเศษภายในร่างของตนได้ และทุกครั้งที่อู๋เสวี่ยลงมือล้วนเปรียบเสมือนการโจมตีของสัตว์ป่า อย่างเช่น นกสยายปีก พญาเสือลงเขา งูออกจากรัง…
“ถ้าหากว่าฉันเดาไม่ผิด แกคงจะเป็นผู้สืบทอดวิชาของพรรควรยุทธ์โบราณสินะ” เย่เทียนเฉินที่ยังคงคาบบุหรี่อยู่ในปากกล่าวพลางมองอู๋เสวี่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่คิดเลยว่าตาแกจะมีสายตาอยู่บ้าง ฉันสงสัยจริงๆ ว่าแกเสเสร้งแกล้งโง่มายี่สิบปีรึเปล่า” อู๋เสวี่ยหยุดมือ หลังจากผ่านการโจมตีเมื่อสักครู่นี้ไปแล้ว เขาก็รู้ว่าการฆ่าเย่เทียนเฉิน เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องที่จะใช้เวลาแค่ชั่วครู่อีกแล้ว
จนถึงตอนนี้ อู๋เสวี่ยก็ยังคงไม่เชื่อว่าเย่เทียนเฉินเป็นเศษสวะโง่งมคนหนึ่ง ไม่ว่าจะดูจากการพูดคุยสนทนาของเขาหรือจะดูจากฝีมือของเขา ก็ล้วนแล้วแต่ร้ายกาจเ สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่คนนี้แสร้งทำเป็นคนไม่เอาไหนมายี่สิบปี หลอกลวงคนทั้งเมืองหลวง วันนี้เขาเปิดเผยตัวตนอย่างเต็มที่ เพิ่มชื่อเสียงของตน ไม่ได้เป็นเย่เทียนเฉินในอดีตอีกต่อไป ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต้องตกตะลึง รู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในใจ
ในสถานที่ที่มีกลุ่มอิทธิพลและตระกูลใหญ่มากมายปักหลักอยู่อย่างเมืองหลวง ไม่มีเวลาไหนที่จะไม่ปรากฏการแข่งขันระหว่างขั้วอำนาจ เรื่องที่ตระกูลเย่ตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสาม เป็นเรื่องที่ทุกคนทราบ แต่ว่าการปรากฎตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันของเย่เทียนเฉิน มีแนวโน้มที่จะเพิ่มศักดิ์ฐานะของตระกูลเย่อย่างใหญ่หลวง เรื่องนี่ทำให้ตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นและผู้ทรงอิทธิพลนั่งไม่ติด เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ถ้าตระกูลเย่ของคุณเลื่อนชั้นขึ้นมา ตระกูลใหญ่ของพวกเราจะไม่ถูกลดชั้นลงไปเหรอ? ดังนั้นผู้ทรงอิทธิพลและตระกูลใหญ่มากมายจึงไม่ยอมให้ตระกูลชั้นสามตระกูลหนึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมากดหัวพวกเขาได้
“สูบบุหรี่เสร็จแล้ว พวกเรามาสู้กัน!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองอู๋เสวี่ยด้วยรอยยิ้ม
”เฮอะ แกไม่ได้สู้สักหน่อย แกกำลังหนีต่างหาก ถ้าแบบนี้ฉันคิดว่าฟ้าสว่างก็ไม่รู้ผลหรอก” อู๋เสวี่ยพูดเสียงเย็น
เย่เทียนเฉินพยักหน้า ตั้งแต่เมื่อสักครู่จนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้ลงมือจริงๆ เพราะเอาแต่สังเหตวิธีออกหมัดและกระบวนท่าของอู๋เสวี่ย ตอนนี้ในเมื่อดูออกแล้ว เขาจึงเตรียมกระตุ้นพลังพิเซษระดับราชันย์เพื่อต่อสู้กับอู๋เสวี่ย บางทีอาจจะทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์ก็ได้
ฝีมือของอู๋เสวี่ยแข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดวิชาของพรรควรยุทธ์โบราณ ไม่เพียงได้เรียนรู้ทักษะวิชาของพรรควรยุทธ์โบราณ ยังมีการฝึกฝนพลังภายในอีกด้วย ตอนนี้หากเย่เทียนเฉินอยากจะอาศัยความสามารถของร่างกายนี้โดยไม่ใช้พลังพิเศษเอาชนะอู๋เสวี่ยแต่ก็ค่อนข้างยากลำบาก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ว่าพลังพิเศษในร่างของตนกำลังเดือดพล่าน มีสัญญาณที่จะทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์อยู่ลางๆ จึงต้องสู้กับอู๋เสวี่ยสักครั้ง ยืมพลังทะลวงไปสู้ระดับจอมราชันย์
“จากที่ฉันดู มวยสิงอี้ของนายยังฝึกไม่ถึงขั้นสูงสุด!” สายตาเย่เทียนเฉินเปลี่ยนเป็นคมกริบ เขาเอ่ยขึ้นในขณะที่มองอู๋เสวี่ย
“แก…แกรู้ได้ยังไงว่านี่คือมวยสิงอี้?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยก็อดตกใจไม่ได้ เขาเคยกราบยอดฝีมือของพรรควรยุทธ์โบราณคนหนึ่งเป็นอาจารย์จริงๆ การฝึกฝนมวยสิงอี้สิบกว่าปี ประสานกับการฝึกฝนพลังภายในของมวยสิงอี้ ทำให้ฝีมีพัฒนาไม่หยุด กลายเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยากที่จะหาคนสู้กับตนได้
สิ่งที่ทำให้อู๋เสวี่ยตกใจก็คือ แม้ว่าด้วยการพัฒนาของวิทยาการในปัจจุบันจะทำให้พรรควรยุทธ์โบราณค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาของผู้คน แต่พรรควรยุทธ์โบราณเหล่านี้ไม่ได้สูญหายไป เพียงแต่หลบซ่อนอยู่เท่านั้น น้อยนักที่จะถูกผู้คนรับรู้ วิชาวรยุทธโบราณที่หายสาปสูญไปก็ยิ่งไม่มีคนรู้จัก
ในปัจจุบันคนที่รู้ถึงพรรควรยุทธ์โบราณเหล่านี้ นอกจากผู้นำระดับสูงของประเทศ และยอดฝีมีอทั้งสายมืดสายสว่างแล้ว คนธรรมดาทั่วๆ ไปไหนเลยจะรู้จักวิชาการต่อสู้ที่หายไปของยุทธจักร วรยุทธ์ที่สืบทอดกับมานานเช่น เส้าหลิน บู๊ตึ้ง เอ๋อเหมย คงท้ง ยังคงมีเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมน่ากลัว เพียงแต่น้อยนักที่จะเปิดเผยให้เห็น คนที่เข้าใจจริงๆ ย่อมรู้ว่า เคล็ดวิชาของพรรควรยุทธ์โบราณเหล่านี้ หลังจากที่ฝึกฝนถึงขั้นสูงสุด ปืนใหญ่ของวิทยาการในยุคปัจจุบัน เกรงว่าทำให้พวกเขาบาดเจ็บได้ยาก
อู๋เสวี่ยคิดไม่ถึงว่าคนเกเรอย่างเย่เทียนเฉินจะรู้จักมวยสิงอี้ด้วย อีกทั้งยังมองวิชาหมัดของตนออกได้รวดเร็วขนาดนี้ ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจริงๆ
ในโลกแห่งความวินาศ ตอนที่เย่เทียนเฉินยังเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า เขาเคยประมือกับปรมาจารย์มวยสิงอี้จริงๆ การต่อสู้ในคราวนั้นเป็นการต่อสู้อันดุเดือดที่ไม่ค่อยได้พบในชีวิตของเย่เทียนเฉิน มวยสิงอี้ที่แท้จริงถึงขั้นสูงสุด ย่อมแข็งแกร่งกว่าอู๋เสวี่ยในตอนนี้อย่างเทียบไม่ติด จากไร้ลักษณ์แปรเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ที่จับต้องได้ นี่เป็นส่วนที่วิชา วรยุทธ์โบราณมีร่วมกันบางส่วน มวยสิงอี้ของอู๋เสวี่ยในตอนนี้ร้ายกาจจริงๆ แต่ก็มีเพียงรูปลักษณ์จับต้องไม่ได้ มวยสิงอี้ที่แท้จริง หากต่อยออกไปหนึ่งหมัด กล่าวโดยไม่เกินจริงเลยว่า สามารถแยกภูเขาทลายหินผาได้
“จะโม้ก็ดูเวลาด้วย ฉันจะทำให้แกสมใจเอง!” อู๋เสวี่ยกล่าวอย่างเย็นชา
“ฉันรู้ว่าแกยังไม่ได้ออกแรงเต็มกำลัง มาเถอะ ให้ฉันดูหน่อยว่านักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่!”
อู๋เสวี่ยตกตะลึง ในมือขวาปรากฏมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมา มือซ้ายกำแน่น เย่เทียนเฉินกล่าวไม่ผิด เขายังไม่ได้ทุ่มสุดตัวจริงๆ เดิมทียังคิดจะออมแรงไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจเช่นนี้ ดูท่าจะฆ่าโดยที่ไม่ทุ่มสุดตัวไม่ได้แล้ว
ฉัวะ!
เมื่ออู๋เสวี่ยพุ่งเข้ามา ดวงตาของเย่เทียนเฉินก็เคร่งขรึมลง เขาสัมผัสได้ว่าพลังการต่อสู้ของอู๋เสวี่ยเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า อู๋เสวี่ยมีพลังที่เก็บออมไว้จริงๆ ด้วย แม้ว่าปากจะพูดอย่างสบายๆ แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่กล้าประมาท หากว่าตอนนี้เขายังคงเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ย่อมสู้ชนะอู๋เสวี่ยได้ง่ายๆ น่าเสียดายที่ตอนนี้พลังตกลงไปสามขั้น มีเพียงพลังระดับราชันย์ที่กำลังผันแปร จะชนะอู๋เสวี่ยได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้
เปรี้ยงๆๆ…
เย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ยเริ่มสู้กัน ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ความสามารถของทั้งสองต่างก็แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอู๋เสวี่ยมือซ้ายโจมตีด้วยมวยสิงอี้ มือขวาเป็นมีดสั้นที่มีอานุภาพเกรียงไกร ทุกครั้งที่แทงออกไปต่างก็แฝงไปด้วยพลังภายในอันแข็งแกร่ง พื้นแกรนิตที่ถูกแทงใส่ ต่างก็ก็ทิ้งร่องลึกไว้หลายร่อง จินตนาการได้เลยว่าหากโจมตีไปบนร่างกายคนจะมีผลอย่างไร
การต่อสู้ดำเนินไปกว่าครึ่งชั่วโมง รอจนเย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ยหยุดมือลง ใบหน้าของอู๋เสวี่ยถูดต่อยไปสามหมัดจนหน้าบวมจมูกบวม ส่วนเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของเย่เทียนเฉินก็เป็นรอยขาดสองรอย โชคดีที่หลบได้อย่างหวุดหวิดผิวจึงไม่เป็นอะไร
ต้นไม้ที่อยู่ในรัศีหนึ่งร้อยเมตรหักโค่นไปทั้งหมด เศษหินกระจายเต็มพื้น ฝุ่นละอองฟุ้งไปทั่ว ต้นไม้ใหญ่เท่าปากชามจำนวนหนึ่งถูกตัดขาด นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของอู๋เสวี่ยและเย่เทียนเฉิน เพียงแต่พวกเขาโจมตีวืดไปโดนต้นไม้และก้อนหินพวกนี้จนกลายเป็นสภาพนี้ หากว่ามีคนมเห็นเหตุการณ์นี้เข้าล่ะก็ ต้องตกใจจนปากอ้าตาค้างอย่างแน่นอน การต่อสู้อย่างสุดกำลังของเย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ยนั้นมีสีสันมากกว่าหนังบู๊ในโทรทัศน์และภาพยนตร์เป็นร้อยเท่า
“ฉันยอมรับว่าแกเก่งมาก แต่ว่าคืนนี้ยังไงแกก็ต้องตาย!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินพลางกล่าวออกมาเสียงต่ำ
“ก็ลองดูสิ!” เย่เทียนเฉินรับมือด้วยรอยยิ้มตามเดิม
ไม่พูดอะไรมากมายอีก มีดสั้นในมือขวาของอู๋เสวี่ยก็พุ่งออกไปปักอยู่บนตนไม้ด้านข้าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ สองมือกำหมัด จ้องมองเย่เทียนเฉินไม่วางตา หมัดทั้งสองวาดออกในรูปสัญลักษณ์หยินหยาง สามารถมองเห็นการผันแปรของพลังงานได้อย่างเลือนราง ใบไม้ที่ตกอยู่บริเวณรอบๆ ของอู๋เสวี่ยถูกพัดข้นมา
“กระบวนท่านี้จนกระทั่งตอนนี้ฉันคยใช้เพียงครั้งเดียว แกเป็นคนที่สองที่เห็น” อู๋เสวี่ยเคลื่อนพลังภายในที่รวบรวมไว้ที่สองหมัดของตัวเองไปพลาง กล่าวอย่างสงบไปในขณะที่มองเย่เทียนเฉินไปพลาง
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว การต่อสู้เมื่อสักครู่จนถึงตอนนี้ ต่อให้สู้กับอู๋เสวี่ยอย่างดุเดือดมาครึ่งชั่วโมงกว่า เขาก็ไม่รู้สึกอันตรายหรือหมดแรง แต่ตอนนี้เห็นท่าทางที่อู๋เสวี่ยแสดงออกมา ในใจก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่ากระบวนท่านี้ของมวยสิงอี้ ไม่ใช่แค่เป็นเทคนิคสำหรับฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งความวินาศ ในโลกนี้เองก็มีคนฝึกจนถึงระดับนี้แล้ว
“มวยสิงอี้แปดทิศ แข็งแกร่งจริงๆ!” หลังจากเย่เทียนเฉินได้สติกลับมา ก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“ในเมื่อรู้จัก งั้นแกก็คงสัมผัสได้ถึงความตายด้วยสินะ!”
เสียงของอู๋เสวี่ยเพิ่งจะขาดลง นักฆ่าอันดับหนึ่งก็ระเบิดเสียงตวาด หมัดทั้งสองในตอนแรกเคลื่อนไหวมในลักษณะของมวยแปดทิศ ทันใดนั้นหมัดทั้งสองก็รวมกันเป็นหมัดเดียว พร้อมๆ กับโจมตีไปยังเย่เทียนเฉินที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร
หมัดยังไม่ทันถึง คมหมัดกลับถึงก่อน เมื่อสองหมัดของอู๋เสวี่ยโจมตีออกไป ก้อนหินรอบๆ เกิดการสั่นไหว ปะปนไปกับสภาวะของสายลมอันรุนแรงโจมตีไปทางเย่เทียนเฉิน นี่คือกระบวนท่าสังหารของมวยสิงอี้ที่โจมตีออกไป โดยที่ผสานพลังภายในของเขาทั้งหมด อู๋เสวี่ยที่ถูกบีบบังคับจนถึงขั้นนี้ ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจมากจริงๆ
เมื่อเจอกับกระบวนท่าสังหารอันแข็งแกร่งเช่นนี้ของอู๋เสวี่ย เย่เทียนเฉินเริ่มแรกก็ตกตะลึง จากนั้นจึงยิ้มอย่างไม่แยแส เขาหลับตาลง รับรู้ถึงพลังพิเศษทุกส่วนภายในชีพจร เย่เทียนเฉินรวบรวมเข้าไว้ด้วยกัน ขณะเดียวกันแก่นพลังพิเศษในสมองก็สั่นไหวไม่หยุด มีสัญญานที่จะทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์อย่างเลือนราง
“ย้าก!”
ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็ลืมตาทั้งสองขึ้น แล้วตวาดคำหนึ่ง มวยสิงอี้แปดทิศสังหารของอู๋เสวี่ยที่มีพลังภายในมหาศาลผสมอยู่ ซึ่งกำลังพุ่งใส่เย่เทียนเฉิน พัดใบไม้ของต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างใบไม้ปลิดปลิว แต่กลับถูกเสียงตะโกนของเย่เทียนเฉินทำให้สั่นสะท้านจนสลายไป
ฟู่!
อู๋เสวี่ยล้มนั่งลงกับพื้น เลือดไหลซึมออกมาที่มุมปาก เมื่อสักครู่นี้เขาใช้พลังไปจนหมดสิ้น กระตุ้นพลังภายในทั้งหมด เพื่อใช้มวยสิงอี้แปดทิศสังหารที่เดิมทีเขาก็ยังฝึกได้ไม่ชำนาญ ทำให้ร่างกายสูญเสียเรี่ยวแรง รวมกับการตวาดที่ เย่เทียนเฉินรวบรวมพลังพิเศษทั้งหมดภายในร่าง กระแทกอู๋เสวี่ยจนได้รับบาดเจ็บภายใน
เศษฝุ่นดินปลิ่วว่อนไปทั่วทุกที่ อู๋เสวี่ยทรุดลงกับพื้น มองตรงไปข้างหน้าด้วยความตกใจจนหน้าถอดสี เห็นเพียงเงาร่างของเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากละอองฝุ่น มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มเพลิดเพลินพลางกล่าวว่า
“ขอบคุณแกมากที่ทำให้ฉันทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์ได้!”
…………………………….