เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 388 ต้องการอะไรมักได้อย่างนั้น
“เธอคิดว่าฉันมองไม่ออกหรือไงว่าพวกเธอต้องการถ่วงเวลา? ฉันจะส่งพวกเธอสองคนไปสวรรค์ซะ ศิษย์น้องเล็ก อย่ามาโทษฉันเลยแล้วกัน!”
เสียงไพเราะของหลี่ชิวสุ่ยดังขึ้น แต่กลับเจือไปด้วยไอสังหารอันเข้มข้น การโจมตีครั้งที่สองของเธอย่อมต้องลงมือเต็มที่ ภายในอุโมงค์น้ำแข็งฟุ้งกระจายไปด้วยบรรยากาศแห่งความตาย กำแพงน้ำแข็งที่เปราะบางจำนวนหนึ่งถึงกับพังทลายลงมา ส่วนน้ำแข็งหมื่นปีมิแปรเปลี่ยนเหล่านั้นต่างพากันส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ไม่อาจรองรับปริมาณพลังภายในอันโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้ ฝ่ามือสลายกระดูกนั้นเดิมทีก็เป็นลมปราณที่รวมความตายไว้ด้วยกัน เพียงพริบตาเดียวก็สามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้ ดังนั้นเพียงฝ่ามือเดียวก็สามารถทำให้ผู้คนกลายเป็นกองเลือดได้แล้ว นับเป็นเคล็ดวิชาที่น่าหวาดกลัวและโหดเหี้ยมเกินไปจริงๆ มิน่าล่ะหลายพันปีก่อนหน้านี้ ผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณจึงถ่ายทอดคำสั่งอย่างเข้มงวด ห้ามผู้ใดฝึกฝนวิชาฝ่ามือสลายกระดูกโดยเด็ดขาด
มือซ้ายของเย่เทียนเฉินจับมือซ้ายของตงฟางเมิ่งแน่น ตอนนี้เป็นนี่เป็นสิ่งเชื่อมโยงเพียงหนึ่งเดียวระหว่างพวกเขาสองคน หากมือซ้ายของพวกเขาทั้งสองผละออกจากกัน เช่นนั้นผลลัพธ์ของพวกเขาคงมีเพียงถูกธาตุไฟเข้าแทรก ไม่ต้องให้หลี่ชิวสุ่ยลงมือก็คงสิ้นชีพไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลี่ชิวสุ่ยที่มีฝีมือที่แท้จริงแข็งแกร่งกว่าพวกเขา เย่เทียนเฉินรู้สึกรับมือได้ยากจริงๆ ทางด้านตงฟางเมิ่งดำลังหลับตาแน่น พยายามทะลวงขั้นสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกให้สำเร็จ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอทำได้
ตู้มๆๆ…
เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกัน เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นในอุโมงค์น้ำแข็งซึ่งเป็นสถานที่ปิดทำให้เสียดแทงหูเป็นพิเศษ แขนซ้ายของเย่เทียนเฉินโอบอุ้มตงฟางเมิ่งเอาไว้ ส่วนฝ่ามือซ้ายยังคงประสานกับฝ่ามือมือซ้ายของตงฟางเมิ่งอยู่ตลอด เขาถอยหลังไม่หยุด แต่ไม่ว่าเขาจะถอยไปที่ใด ที่นั่นก็จะมีพลังฝ่ามือของฝ่ามือสลายกระดูกตามไป พริบตาเดียวสรรพสิ่งรอบด้านก็ถูกระเบิด หากไม่ใช่ว่าการเคลื่อนไหวของเย่เทียนเฉินรวดเร็ว เกรงว่าทั้งสองคงกลายเป็นกองเลือดไปแล้ว มีหลายครั้งที่เกือบจะถูกฝ่ามือเข้าแล้ว
เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินต้องการถ่วงเวลาจริงๆ ดังนั้นจึงพูดจาไร้ยางอายเหล่านั้นออกมา ต้องการหยอกล้อหลี่ชิวสุ่ยเสียหน่อย ดูว่าผู้หญิงคนนี้จะตกหลุมพรางหรือไม่ อย่างน้อยก็สามารถแย่งชิงเวลาได้มากขึ้นเพื่อให้ตงฟางเมิ่งทำการทะลวงพลัง จากการประเมินของเย่เทียนเฉิน ต่อให้เขาไม่ถูกตงฟางเมิ่งพัวพันและลงมือต่อสู้กับหลี่ชิวสุ่ยเต็มกำลัง ก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะผู้หญิงคนนี้ได้ ตอนนี้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้อย่างแท้จริงแล้วว่า เคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณลึกล้ำกว้างใหญ่จริงๆ ลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดา พรรควรยุทธโบราณในโลกใบนี้สืบทอดกันมายาวนานนับ 1000 ปี สืบทอดกันมาตลอดไม่สูญหาย สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นส่วนที่เหนือผู้อื่น ท่าทางความแข็งแกร่งที่แท้จริงจะอยู่ในพรรควรยุทธโบราณ จะอย่างไรช่วงเวลาที่ผู้มีพลังพิเศษปรากฏตัวและดำรงอยู่ก็ไม่ยาวนานเท่าเวลาที่พรรควรยุทธโบราณดำรงอยู่ มีหลายอย่างที่เทียบไม่ได้โดยสิ้นเชิง
สรุปแล้วต่อให้คนธรรมดาพบว่าตนเองมีพลังพิเศษก็จะถูกเรียกขานว่าเป็นผู้มีความสามารถพิเศษเท่านั้น โดยปกติล้วนไม่แข็งแกร่ง ไม่มีพลังสังหารอะไร ไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร และไม่รู้ว่าจะพัฒนาอย่างไร เนื่องจากเดิมทีผู้มีพลังพิเศษที่มีอยู่ในโลกนี้มีน้อยมาก ต่อให้เป็นประเทศที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ประเทศหนึ่งก็ยังอยู่ในช่วงศึกษาและพัฒนา แล้วคนที่พบว่าตนมีพลังพิเศษล่ะจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร แต่พรรควรยุทธโบราณนั้นไม่เหมือนกัน ทุกปีล้วนมีการคัดเลือกบุคคลผู้มีความสามารถจำนวนหนึ่งอย่างลับๆ เพื่อมาทำการบ่มเพาะในพรรควรยุทธโบราณ นอกจากนี้ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่บนโลกนี้ย่อมรู้ถึงการดำรงอยู่ของพรรคพรรควรยุทธโบราณ และรู้ถึงความร้ายกาจของพรรควรยุทธโบราณ จึงคิดทุกวิถีทางเพื่อให้คนของตนเข้าไปฝึกฝนเคล็ดวิชาวรยุทธโบราณเหล่านั้น จะอย่างไรคนกลุ่มนี้ถึงจะถูกเรียกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง มีพลังการต่อสู้ที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึง
กล่าวเพียงประโยคเดียวก็คือ ผู้มีพลังพิเศษไม่มีใครสั่งสอน ส่วนคนของพรรควรยุทธโบราณมีคนสั่งสอน มีเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมานับ 1000 ปีรอให้คุณไปฝึกฝน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ดีกว่าการที่คุณคลำทางไปกับเคล็ดวิชาพลังพิเศษด้วยตัวเองมากใช่หรือไม่?
เย่เทียนเฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิวสุ่ย เขาเองก็คิดเช่นนี้อยู่ในใจ นี่เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนี้มีความโหดเหี้ยมผิดปกติ ฝีมือร้ายกาจเป็นอย่างมาก ต่อให้ปะทะกับชิงเฉิงเยว่ก็ไม่แน่ว่าจะแพ้ แข็งแกร่งจนวิปลาสจริงๆ
ตู้ม!
ฝ่ามือเรียวบางซัดลงมา เย่เทียนเฉินพาตงฟางเมิ่งถอยไปยังมุมหนึ่งของอุโมงค์น้ำแข็งจนไม่มีทางให้ถอยอีกต่อไป ไม่มีหนทางแล้ว เย่เทียนเฉินทำได้เพียงโบกมือขวาครั้งหนึ่ง กำแพงน้ำแข็งใหญ่พลันพุ่งมาขวางอยู่เบื้องหน้าเขากับตงฟางเมิ่ง
ตู้ม!
กำแพงน้ำแข็งที่หนาราว 10 เมตรหนักอย่างน้อย 1000 จินกลับไม่สามารถหยุดหลี่ชิวสุ่ยได้แม้เพียงชั่วครู่ เพียงฝ่ามือเดียวก็ทำให้กำแพงน้ำแข็งระเบิดออก เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ความสามารถไม่อาจสู้หลี่ชิวสุ่ยผู้โหดเหี้ยมได้ก็จำเป็นต้องเข้าปะทะ ยืนหยัดได้นานแค่ไหนก็เท่านั้น มิฉะนั้นเขากับตงฟางเมิ่งคงทำได้เพียงรอความตายแล้ว
“ไปตายซะ!” หลี่ชิวสุ่ยตะโกนอย่างเย็นชา ตามมาด้วยเงาร่างในชุดคลุมสีแดงตัวใหญ่ที่ปรากฏขึ้น ฝ่ามือซัดไปบริเวณศีรษะของเย่เทียนเฉิน
“คนที่จะตายคือเธอ!”
ในตอนนี้เย่เทียนเฉินเองก็โกรธเป็นอย่างยิ่งแล้ว หลังจากที่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนอื่นอัดจนมีสภาพน่าอนาจเช่นนี้ ในใจรู้สึกทึ่งกับเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณ ในขณะเดียวกันก็เกิดเพลิงแห่งโทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตนเองเป็นคนที่ไม่เคยหวาดกลัว ต่อให้เป็นตอนที่อยู่ในดาวสิ้นโลก เมื่อพบกับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุด แม้ตนไม่ใช่คู่มือของมัน แต่ก็ไม่เคยถอยแม้แต่ครึ่งก้าว ในความคิดของเย่เทียนเฉิน นี่ถึงจะเป็นนิสัยของลูกผู้ชายที่แท้จริง
มือขวากำแน่น ในเวลาเพียงชั่วพริบตา พลังสายฟ้าก็ปะทุออกมาอย่างรุนแรงโดยมีหมัดขวาของเย่เทียนเฉินเป็นศูนย์กลาง ส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ออกมา ทำให้หลี่ชิวสุ่ยตกตะลึงจนชะงักไป เธอคิดไม่ถึงว่าตอนที่ไอ้หนุ่มหน้าขาวเบื้องหน้าระเบิดโทสะออกมาอย่างกะทันหันจะถึงกับแข็งแกร่งห้าวหาญขนาดนั้น ในฝ่ามือมีพลังสายฟ้ากำลังโหมกระหน่ำ
“ฝ่ามือสลายกระดูก!”
“หมัดอัสนีสวรรค์!”
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นฟ้า หากไม่ใช่เพราะว่าภายในอุโมงค์น้ำแข็งแห่งนี้มีน้ำแข็งหมื่นปีมิแปรเปลี่ยนอยู่ทุกแห่ง ทำให้แข็งแกร่งมั่นคงเป็นอย่างมาก เกรงว่าการโจมตีครั้งนี้คงทำให้อุโมงค์น้ำแข็งระเบิดไปแล้ว แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังโจมตีจนทลายไปกว่าครึ่ง ฝ่ามือสลายกระดูกของหลี่ชิวสุ่ยโจมตีออกมาเต็มกำลัง ปะทะกับหมัดอัสนีสวรรค์ของเย่เทียนเฉินซึ่งมีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงอยู่ การปะทะกันอย่างรุนแรงของพลังเช่นนี้ หากมีผู้แข็งแกร่งอยู่ที่นี่คงต้องตื่นตะลึงจนสูดหายใจเย็นยะเยือกไปแล้ว คนหนึ่งคือหลี่ชิวสุ่ย ผู้หญิงโหดเหี้ยมที่ฝึกฝนฝ่ามือสลายกระดูกจนถึงขั้นเก้า อีกคนหนึ่งคือเย่เทียนเฉิน ผู้แข็งแกร่งผู้มีพลังพิเศษในระดับจอมราชันซึ่งมีอายุเพียง 20 ปี การต่อสู้ของทั้งสองถึงกับแข็งแกร่งเพียงนั้น ทำให้ผู้อื่นต้องตื่นตะลึงจริงๆ
หลี่ชิวสุ่ยปลิวออกไป บิดตัวกลางอากาศจนพลิกตัวกลับมายืนอยู่บนกำแพงน้ำแข็งที่ไกลออกไปนับ 10 เมตรได้ในที่สุด มือขวาของเธอห้อยลงมา บนหลังมือมีเส้นเลือดสีเขียวปรากฏขึ้น ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยไอสังหาร จับจ้องไปยังสถานการณ์ท่ามกลางหมอกที่เกิดจากน้ำแข็งเขม็ง
จนกระทั่งหมอกสลายไป พบว่ามือซ้ายของเย่เทียนเฉินยังโอบอุ้มตงฟางเมิ่งเอาไว้ ฝ่ามือซ้ายไม่หลุดออกแม้แต่ครึ่งส่วน มือขวาของเขาเต็มไปด้วยเลือด มุมปากมีเลือดไหลออกมา แม้ว่าการโจมตีนี้จะไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่อาจสู้หลี่ชิวสุ่ยได้
เคล็ดวิชาอันโหดเหี้ยมอย่างฝ่ามือสลายกระดูกสืบทอดมาหลาย 1000 ปี เคยทำให้เกิดการนองเลือดในยุทธภพมาแล้ว ทำให้ผู้คนที่ได้ยินต้องหน้าเปลี่ยนสี นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีมูลความจริง แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ในตอนที่หมัดของเย่เทียนเฉินสัมผัสถูกฝ่ามือขวาของหลี่ชิวสุ่ย เขาสัมผัสได้ถึงพลังกัดกร่อนที่แทรกมาตามกระดูก เพียงแต่เขาไม่ได้ถอย ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ใช่นิสัยของเขา ดังนั้นต่อให้รู้ว่าเป็นฝ่ามือที่แข็งแกร่งเย่เทียนเฉินก็ยังรีบเร้นขอบเขตพลังจนถึงขีดสุดในเวลาเพียงชั่วพริบตา ไม่สนใจว่าการฝึกฝนร่วมกับตงฟางเมิ่งจะสูญเสียพลังภายในไปมาก ซัดหมัดอัสนีสวรรค์ซึ่งเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดที่เท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ออกไป ทำให้หลี่ชิวสุ่ยต้องสั่นสะท้านจนต้องถอย ส่วนตนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“นายถึงกับสั่นคลอนฝ่ามือสลายกระดูกของฉันได้เลย นายเป็นใครกันแน่?” หลี่ชิวสุ่ยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเกิดความสนใจที่มาที่ไปของเย่เทียนเฉิน ชายหนุ่มเบื้องหน้าแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่เธอคิดไม่ถึง เกรงว่าไม่เกินสองปีคงเก่งกว่าเธอไปแล้ว
“หากต้องการคัมภีร์ดรุณีหยกก็ฝึกฝนร่วมกับฉันเป็นยังไง?” เขากล่าว มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
บางครั้งก็ทำให้ผู้อื่นไม่อาจไม่นับถือเย่เทียนเฉินจริงๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว ความสามารถของหลี่ชิวสุ่ยแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างชัดเจน ส่วนตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส หากซัดมาอีกหนึ่งฝ่ามือเย่เทียนเฉินคงต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย เมื่อมองดูตงฟางเมิ่ง หากต้องการทะลวงด่านสุดท้ายเพื่อฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกให้สำเร็จยังต้องการเวลาอีกเล็กน้อย ส่วนหลี่ชิวสุ่ยหากต้องการให้พวกเขาตายก็ใช้เพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น แต่เขายังสามารถหยอกล้อหลี่ชิวสุ่ยได้ ผู้ชายคนนี้ทำให้หลี่ชิวสุ่ยรู้สึกไม่ธรรมดาจริงๆ นี่ถึงจะเป็นความสุขุมและใจเย็นที่ผู้ชายคนหนึ่งควรจะมี
หลี่ชิวสุ่ยมองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง ใบหน้าที่เดิมที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยไอสังหาร ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไป เธอแย้มยิ้มเล็กน้อย แสดงท่าทางงดงามยั่วเย้าออกมา อีกทั้งยังไม่ลืมบิดสะโพกของตนเล็กน้อย มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างยั่วยวนว่า “นายเป็นผู้ชายที่ไม่เลวจริงๆ ศิษย์น้องเล็กหานายมาร่วมฝึกคัมภีร์ดรุณีหยกได้ นับว่าไม่เสียเปล่าจริงๆ ตอนนี้ฉันจะให้โอกาสนาย ฆ่าศิษย์น้องเล็กซะ แล้วมากับฉัน ฉันจะให้โอกาสนายได้ฝึกฝนร่วมกัน…”
ในตอนนี้เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ว่าตนเองใกล้จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว เดิมทีก็ฝึกฝนร่วมกับตงฟางเมิ่งไปแล้ว ทำให้พลังในร่างกายส่วนใหญ่ถูกตงฟางเมิ่งนำไปใช้และบำรุง อีกทั้งเมื่อครู่ยังฝืนใช้หมัดอัสนีสวรรค์ออกไปอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้อวัยวะภายในมีเลือดซึมออกมา บาดเจ็บสาหัสเป็นอย่างมาก เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้น จัดให้ตงฟางเมิ่งอยู่ด้านข้าง มือซ้ายยังคงส่งพลังให้เธอ
“ใบหน้าไม่เลว หน้าอกไม่เลว บั้นท้ายไม่เลว เพียงแต่น่าเสียดาย ฉันไม่ต้องการของมือสอง…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มไร้พิษสง
เดิมทีคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องยอมรับข้อเรียกร้องของตนเพื่อรักษาชีวิตและซัดศิษย์น้องเล็กจนตายด้วยฝ่ามือเดียว ตอนนั้นตนก็จะได้รับคัมภีร์ดรุณีหยกแล้วค่อยซัดเย่เทียนเฉินจนตายในฝ่ามือเดียว ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับเหยียดหยามเธอเช่นนี้ ถึงกับสาดน้ำเกลือลงบนแผลของหลี่ชิวสุ่ยโดยตรง เนื่องจากเดิมทีเธอก็มีอายุที่ไม่มีผู้ชายมาหลับนอนด้วยแล้ว 30 ดุเหมือนหมาป่า 40 ดุเหมือนเสือ!
“ฉันให้โอกาสนายแล้วแต่นายไม่รักษาไว้เอง ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไปตายให้หมดเถอะ!”
หลี่ชิวสุ่ยพูดพลางเดินเข้ามาใกล้เย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น มือขวาของเธอปวดเล็กน้อย การปะทะกับเย่เทียนเฉินเมื่อครู่นี้เธอใช้พลังภายในฝ่ามือสลายกระดูกขั้นเก้าไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้าปะทะตรงๆ มาก่อน และไม่มีใครทำให้มือของเธอเจ็บปวดได้ ความแข็งแกร่งของกายเนื้อของเย่เทียนเฉินทำให้หลี่ชิวสุ่ยรู้สึกต่างชั้นจริงๆ ดังนั้นเธอตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องฆ่าศิษย์น้องเล็กและเย่เทียนเฉินให้ได้ เธอเป็นผู้หญิงโหดเหี้ยมคนหนึ่ง ย่อมไม่ปล่อยให้อุปสรรคชิ้นใหญ่ในอนาคตของตนหลงเหลืออยู่แน่นอน