เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 39 ฆ่าซะก็หมดเรื่อง!
สิงอี้แปดทิศสังหาร เป็นกระบวนท่าโจมตีที่รุนแรงที่สุดของมวยสิงอี้ แม้ว่าอู๋เสวี่ยจะฝึกฝนมวยสิงอี้สิบกว่าปีแล้ว ก็ไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนถึงขั้นสูงสุด
ในโลกแห่งความวินาศเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระกับพระเจ้า เคยประมือกับปรมาจารย์มวยสิงอี้ เคยมีประสบการณ์พบกับอานุภาพของวิชาวรยุทธ์โบราณวิชานี้ การต่อสู้ในครั้งนั้นแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ลองนึกดูก็จะรู้เลยว่าอันตรายแค่ไหน
เย่เทียนเฉินยืมสิงอี้แปดทิศสังหารที่อู๋เสวี่ยโจมตีออกมา เพื่อกระตุ้นพลังพิเศษทั้งหมดที่อยู่ในชีพจรทั่วร่าง ขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนแก่นพลังพิเศษในสมอง ภายใต้วิกฤตที่อันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ จึงสามารถทะลวงระดับพลังจากระดับราชันย์ไปขึ้นสู่ระดับจอมราชันย์ การเพิ่มระดับชั้นขึ้นหนึ่งเป็นความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงตวาดแค่หนึ่งครั้งก็สามารถทำลายมวยสิงอี้แปดทิศที่ยังไม่ถึงระดับสูงสุดของอู๋เสวี่ยได้แล้ว
เย่เทียนเฉินยกยิ้ม สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง เดินไปยังเบื้องหน้าของอู๋เสวี่ย ความจริงแล้วฝีมือของอู๋เสวี่ยก็ไม่ได้อ่อนแอ เพียงแต่ว่าสิงอี้แปดทิศสังหารยังไม่ไปถึงระดับสูงสุด รวมกับเย่เทียนเฉินสามารถทะลวงระดับพลังของตนได้ในฉับพลัน ทำให้อู๋เสวี่ยเตรียมการไม่ทั มิฉะนั้นคงไม่ถึงกับแพ้เร็วขนาดนี้
“ฉันแพ้แล้ว ฆ่าฉันซะสิ!” อู๋เสวี่ยกล่าวพลางเช็ดเลือดที่มุมปากในขนะที่มองเย่เทียนเฉิน
อู๋เสวี่ยก็คิดไม่ถึงเลยว่า ตนที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ซึ่งไม่เคยมีประวัติการแพ้มาก่อน ทุกครั้งที่ได้รับการจ้างวาน ก็จะลงมือฆ่าศัตรูได้ในพริบตา แต่ครั้งนี้พอได้พบกับเย่เทียนเฉิน แม้ว่าลงมืออย่างเต็มกำลัง ใช้กระทั่งวิชามวยสิงอี้ ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเย่เทียนเฉินที่ใช้แค่ตะโกนออกมาเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้จิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของอู๋เสวี่ยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง รู้สึกท้อแท้
เย่เทียนเฉินไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงแค่พิงต้นไม้ด้านข้าง ควักบุหรี่ออกมาสองมวน จุดให้ตนเองมวนหนึ่งแล้วสูบเข้าไป จากนั้นก็โยนอีกมวนหนึ่งให้อู๋เสวี่ย นักฆ่าอันดับหนึ่งเห็นดังนั้นก็ตกตะลึง ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินต้องการอะไร
“ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ฉันอู๋เสวี่ยแพ้แล้ว ฉันยอมรับ ลงมือเถอะ” อู๋เสวี่ยเอ่ยเสียงทุ้มต่ำในขณะที่มองเย่เทียนเฉิน
“ฉันไม่ฆ่าแกหรอก แกไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินยิ้มมองไปยังอู๋เสวียพลางกล่าว
อู๋เสวี่ยตกตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ฆ่าตนเอง นี่ทำให้เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ
“แกไม่ฆ่าฉัน? ฉันอาจจะฆ่าคนของแก…” อู๋เสวี่ยกล่าวถามอย่างแปลกใจ
“ฉันไม่ได้มีนิสัยชอบฆ่าคน อีกอย่างแกก็เป็นลูกผู้ชาย เปิดเผยตรงไปตรงมา ไปฝึกมาอีกสองสามปีค่อยมาสู้กับฉันใหม่!”
พอเย่เทียนเฉินกล่าวจบก็หมุนตัวเดินจากไป เขาไม่อยากจะลงมือฆ่าอู๋เสวี่ยจริงๆ เพราะตอนที่อู๋เสวี่ยปรากฏตัว เขาก็รู้สึกได้ว่าอู๋เสวี่ยไม่ใช่นักฆ่าที่มีนิสัยชอบทำลายล้าง หากว่าเป็นนักฆ่าคนอื่นที่มีฝีมือเฉกเช่นอู๋เสวี่ย คงจะไม่ตรงไปตรงมาแบบนี้แน่ กล่าวได้ว่าอู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าที่มีมนุษยธรรมคนหนึ่ง และไม่ใช่คนที่รักตัวกลัวตายด้วย
ในขณะที่มองเย่เทียนเฉินหมุนตัวเดินจากไป อู๋เสวี่ยก็ตกตะลึงครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าชายผู้ที่เป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวงคนนี้ มีความแข็งกร้าวของผู้ทรงอำนาจที่อธิบายไม่ถูก เขาไม่กลัวการถูกคนลอบสังหาร มีหลักการของตนเอง ฝีมือสูงส่ง ไม่แยแสใครจะว่าอย่างไร
“ตระกูลลั่วส่งฉันมา ครั้งนี้ฉันฆ่าแกไม่ได้ ตระกูลลั่วคงยังมีทางอื่นอีก” อู๋เสวี่ยลุกขึ้นยืน เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองแนหลังของเย่เทียนเฉิน
“ด้วยฝีมือของแก ฉันคิดว่าแกคงไม่ขาดเงิน พ่อลูกตระกูลลั่วล้วนต่ำช้าไร้ยางอาย แต่แกดันยอมรับการว่าจ้างของพวกมัน ฉันประหลาดใจจริงๆ” เย่เทียนนเฉินหันมามองอู๋เสวี่ยพลางกล่าว
อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง พร้อมกับถอนหายใจ พูดว่า “ตั้งแต่เด็กฉันก็เป็นเด็กกำพร้า ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อบุญธรรมจนเติบใหญ่ พ่อบุญธรรมถูกขังอยู่ในคุกของเมืองหลวง ลั่วซงเฉิงรับปากกับฉันว่าขอแค่ฉันฆ่าแกได้ จะช่วยปล่อยพ่อบุญธรรมของฉันออกมา!”
“พ่อบุญธรรมของนายชื่ออะไร?” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งก่อนจะถาม
“หยางไห่!”
“เอาแบบนี้แล้วกัน แกไปช่วยฉันฆ่าคนสองคน ฉันจะหาวิธีทำให้พ่อบุญธรรมแกออกจากคุก” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฆ่าใคร?” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินพลางถาม
“ลั่วเหลยกับลั่วเทา” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยก็อดตกตะลึงไม่ได้ เขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะให้เขาไปฆ่าหลานทั้งสองของลั่วซงเฉิงจริงๆ ตระกูลลั่วนับว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวง อีกทั้งลั่วซงเฉิงอาจจะได้เข้าร่วมคณะคณะกรรมาธิการทหารจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย หากว่าลั่วเหลยและลั่วเทาแห่งตระกูลลั่วถูกคนฆ่าตายไป จะเป็นการโจมตีตระกูลลั่วอย่างหนัก อีกทั้งยังก่อให้เกิดความครึกโครมขึ้นในเมืองหลวงด้วย
ความจริงตอนที่ประทะกับอู๋เสวี่ยเย่เทียนเฉินก็คิดถึงจุดนี้ไว้แล้ว ด้วยฝีมือของอู๋เสวี่ย หากต้องการไปฆ่าคนในตระกูลลั่ว เป็นเรื่องง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เจ้าเฒ่าลั่วซงเฉิงรักพวกพ้องมาก ย่อมไม่ยอมปล่อยให้จบง่ายๆ แน่ ในเมื่อเขากล้าซื้อตัวนักฆ่าให้มาฆ่าตน ทำไมเย่เทียนเฉินยังต้องเกรงใจเขาอก ทำลายฐานของตระกูลก่อนค่อยว่ากัน ให้ลั่วซงเฉิงรู้ว่า เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
“ทำไม? ไม่กล้าเหรอไง?” พอเย่เทียนเฉินเห็นว่าอู๋เสวี่ยยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่แกเคยคิดถึงผลที่จะตามมาไหม ฉันช่วยแกฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทา แบบนี้ตระกูลลั่วกับตระกูลเย่ก็จะมีความแค้นจนไมอาจอยู่ร่วมกันได้ คิดว่าแกก็คงเข้าใจดี ตอนนี้ตระกูลเย่ตกต่ำ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลลั่ว ถึงตอนนั้นตระกูลเย่จะต้องเจอกับวิกฤตร้ายแรงแน่นอน” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมา
“นี่เป็นเรื่องของฉัน แกไปฆ่าคนก็พอ อีกอย่าง ตอนที่ฆ่าก็บอกไปเลยว่าฉันเย่เทียนเฉินเป็นคนฆ่า ง่ายๆ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อู๋เสวี่ยตกใจอย่างยิ่ง เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งกร้าวและกล้าหาญขนาดนี้ ไม่เพียงแต่จะให้ตนเองไปฆ่าหลานทั้งสองของตระกูลลั่ว ยังให้บอกว่าตนเองเป็นคนฆ่าอีกด้วย นี่ไม่ใช่การอวดดี ไม่ใช่ความเย่อหยิ่ง แต่เป็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยที่เหนือกว่าคนทั่วไป
“แกแน่ใจนะ?” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้วพลางกล่าวถาม
“แน่ใจ แน่นอน แล้วก็ยืนยันได้ ไปฆ่าเถอะ ตอนที่ฉันได้ยินข่าวว่าลั่วเทาและลั่วเหลยถูกฆ่า พ่อบุญธรรมของแกก็จะถูกปล่อยตัวออกจากคุก”
พูดจบ เย่เทียนเฉินไม่รอให้อู๋เสวี่ยพูดอะไร หมุนตัวผละไป ตอนแรกเย่เทียนเฉินเตรียมที่จะฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาด้วยตัวเอง ในเมื่อลั่วซงเฉิงไม่สนใจสถานะทหารของตนเอง ซื้อตัวนักฆ่าให้มาฆ่าเขาอย่างลับๆ ภายภาคหน้าคงจะไม่ปล่อยตระกูลเย่ไปแน่ กับคนที่ทำอะไรไม่คำนึงถึงสถานะตนเองเช่นนี้ เย่เทียนเฉินย่อมไม่เกรงใจ เขาย่อมไม่ปล่อยให้มีอันตรายต่อคนในครอบครัวของตนเอง จะต้องตอบโต้อย่างรุนแรง
หากไม่ใช่เพราะว่าวันนี้ยังต้องไปเก็บกวาดชีวิตของหลี่เถีย เย่เทียนเฉินจะต้องไปตระกูลลั่วด้วยตัวเองแน่ ถอนถอนวัชพืชก็ต้องถอนให้ถึงราก หากปล่อยไว้ก็จะเกิดปัญหาไม่สิ้นสุด และไม่ใช่นิสัยของเย่เทียนเฉิน
ในขณะที่มองดูเย่เทียนเฉินจากไป อู๋เสวี่ยก็กำหมัดทั้งสองแน่น เดินออกไปจากป่า…
การได้ต่อสู้กับอู๋เสวี่ยทำให้เย่เทียนเฉินเข้าใจถึงสิ่งๆ หนึ่ง ในโลกแห่งนี้ก็มียอดฝีมือมากมาย หากว่าความสามารถของเขาไม่แข็งแกร่งมากพอ ก็ไม่อาจปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่มีได้
เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่มีผู้ทรงอิทพลและตระกูลใหญ่อยู่มากมาย ทั้งยังมีคนเก่งกาจซ่อนตัวอยู่ทั่ว หากคิดอยากจะมีชีวิตในที่แห่งนี้ เป็นเรื่องลำบากมาก การแข่งขันกันระหว่างตระกูล การปะทะกันระหว่างขั้วอำนาจ ดูเหมือนจะสงบ แต่ความจริงแล้วทุกๆ วินาทีล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คุณไม่รุกรานคนอื่น แต่คนอื่นมารุกรานคุณ ง่ายๆ เช่นนี้เอง
เย่เทียนเฉินมองออกตั้งตั้งแรกแล้วว่า หากอยากจะมีที่ยืนในเมืองหลวงหรือสร้างความรุ่งโรจน์แก่ตระกูลเย่ ไม่สามารถขาดวิถีทางอันเปื้อนเลือดไปได้ พูดง่ายๆก็คือ ไม่ว่าอิทธิพลอะไรจะมาสรางปัญหา ล้วนต้องตอบโต้อย่างรุนแรง ให้คนพวกนี้รู้ว่า ตระกูลเย่ไม่ใช่ตระกูลที่จะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เย่เทียนเฉินที่ออกมาจากป่า ไม่ได้กลับบ้าน แต่โบกรถแท็กซี่แถวๆ คฤหาสน์ไปยังสถานที่ที่หลี่เถียอาศัยอยู่ คืนนี้เขาจะต้องฆ่าหัวโจกแห่งอิทธิพลใต้ดินของเมืองหลวงและสุนัขรับใช้ของตระกูลฉินคนนี้ให้ได้ เพื่อใช้เรื่องนี้เตือนตระกูลฉินว่า อย่าคิดว่าเป็นตระกูลชั้นหนึ่งแล้วจะสูงส่งนัก เขาเย่เทียนเฉินไม่ยินยอมแน่
ตอนนี้เอง ในคฤหาสน์ที่หลี่เถียอาศัยอยู่ สองแขนของหมีภูเขาห้อยอยู่บริเวณหน้าอก ใบหน้าขาวซีด บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลออกมาในขะที่มองหลี่เถีย
ตูม!
หลี่เถียใช้มือตบลงไปบนโต๊ะ เอ่ยปากกล่าวอย่างดุร้ายว่า “ไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินมันพูดแบบนี้จริงเหรอ?”
“ใช่ครับพี่หลี่ ไอ้หมอนี่มันบอกว่าให้พี่เตรียมโลงศพไว้ได้เลย!” หมีภูเขากล่าวอย่างหวาดกลัว
เพล้ง!
เมื่อหลี่เถียได้ยินคำพูดของหมีภูเขา ก็ปาแก้วชาในมือลงพื้นอย่างแรงจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ตนเองอยู่ในเมืองหลวงมาแล้วหลายปี ไม่มีใครกล้าพูดกับตนเช่นนี้มาก่อน ต่อให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลและตระกูลใหญ่ ก็ไม่กล้าล่วงเกินตนเช่นนี้ ในสายตาของหลี่เถียเย่เทียนเฉินก็เป็นแค่ลูกหลานตระกูลชั้นสามเท่านั้น แต่บังอาจมาพูดกับตนเองเช่นนี้ มันจะไปทนได้อย่างไรกัน
“เฮอะ ฮ่าๆๆๆ…” หลี่เถียหัวเราะอย่างเกรี้ยวกราด หมีภูเขาเห็นดังนั้นก็เหงื่อแตกท่วมตัว
“พี่ใหญ่ พะ…พวกเราทำยังไงดีครับ?” หมีภูเขาเอ่ยถามเสียงเบา
“ดี มาได้ก็ดี ขอแค่ไอ้ลูกเต่านี่กล้ามา ฉันจะทำให้มันไม่ได้กลับไปอีก!” หลี่เถียพูดด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ที่รักคะ ฉันว่าพวกเราควรจะเตรียมตัวสักหน่อยนะคะ เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่สามารถเอาไปเปรียบกับไอ้คนโง่งมแบบเมื่อก่อนได้อีกแล้ว เขากล้าไปทำร้ายลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียน ไม่กลัวที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลลั่ว เกรงว่าเขาจะกล้ามาฆ่าคุณจริงๆ!” เสี่ยงฉิงขมวดคิ้วพลางกล่าว
“ฉันไม่กลัวมันมา กลัวมันจะไม่มามากกว่า หมีภูเขา เรียกพวกซานจีกลับมาเดี๋ยวนี้ คืนนี้จะต้องทำให้เจ้าเย่เทียนเฉินไม่มีทางกลับไปได้อีก!” หลี่เถียพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“พี่ใหญ่ จะ…จะเรียกพวกซานจีกลับมาจริงๆเหรอครับ? หากว่าใช้ปืนล่ะก็ เกรงว่า…” หมีภูเขากล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย
ซานจี(ไก่ฟ้า) เป็นลูกน้องคนสำคัญคนหนึ่งของหลี่เถีย ไม่เพียงแต่มีฝีมือแข็งเกร่ง ยังเป็นผู้ดูแลกองกำลังมือปืนอัจฉริยะของหลี่เถียอีกด้วย กองกำลังมือปืนอัจฉริยะนี้ ถูกเรียกใช้งานน้อยมาก เพราะในสถานที่อย่างเมืองหลวง แม้ว่าจะมีสถานการณ์นองเลือดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่จะร้ายดีอย่างไรก็อยู่ภายใต้กฎหมาย เบื้องหน้าก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรมั่วๆ
ในประเทศจีน การใช้มีดกับการใช้ปืนเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง การใช้ปืนในเมืองหลวงจะทำให้สถานการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น
“กลัวอะไร ฉันจะให้เจ้าลูกเต่าเย่เทียนเฉินมันได้รู้ว่า โลกใต้ดินของเมืองหลวงขึ้นอยู่กับคำพูดของฉัน!” หลี่เถียคำรามออกมา สองตาแดงก่ำ
“ทราบแล้วครับพี่ใหญ่!”
ในขณะที่มองดูหมีภูเขาหันกายเดินออกไปทำตามคำสั่ง เสี่ยวฉิงภรรยาน้อยของหลี่เถียก็กล่าวออกมาด้วยความกังวลใจเล็กน้อยว่า “ถ้าหากพวกเราฆ่าเย่เทียนเฉินไปจริงๆ ทางฝั่งตระกูลเย่จะทำยังไงล่ะคะ?”
“เฮอะ! ตระกูลเย่ตกต่ำไปตั้งนานแล้ว ฉันไม่เชื่อว่าถ้าฆ่าเย่เทียนเฉินแล้ว ตระกูลเย่จะกล้ามีปัญหากับหลี่เถียคนนี้ อีกอย่าง ตระกูลฉินก็ปกป้องเราอยู่ไม่ใช่เหรอ?” หลังจากหลี่เถียพูดจบ ที่มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา
……………………………………..