เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 406 ปรมาจารย์กระบี่พูดถึงดาวจักรพรรดิ
กระบี่เซวียนหยวนก่อกำเนิด ปรมาจารย์กระบี่ถูกลอบฆ่าด้วยฝ่ามือเดียว นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึงจริงๆ คนที่ปรากฎตัวออกมาท้ายสุดนั้นจะอย่างไรก็ไม่เผยใบหน้าออกมา ทำเพียงใช้พลังอันยิ่งใหญ่แปรสภาพเป็นฝ่ามือมโหฬารสองฝ่ามือ ฝ่ามือหนึ่งจับหัวมังกรสายฟ้าจากนั้นจึงบี้มันจนระเบิด อีกฝ่ามือหนึ่งซัดลงมาจากท้องฟ้าทำให้ปรมาจารย์กระบี่ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะในระดับนักรบขั้นต้นตายในฝ่ามือเดียว เหลือเพียงรอยฝ่ามือที่ลึกจนไม่เห็นก้นไว้บนพื้น
จากการคาดเดาของเย่เทียนเฉิน คนที่โผล่มาฆ่าปรมาจารย์กระบี่ในตอนสุดท้ายและแย่งชิงกระบี่เซวียนหยวนไปนั้น ความสามารถในการบ่มเพาะของเขาอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับนักรบจักรพรรดิขั้นสุดท้าย เป็นไปได้มากว่าอีกเพียงก้าวเดียวก็จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทพราชันแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่มีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ นอกจากนั้น คนคนนี้ไม่ใช่เทพราชันอย่างแน่นอน ผู้ที่จะกลายเป็นเทพราชันที่แท้จริงย่อมไร้ผู้ต่อกรในจักรวาล ไม่ว่าเบื้องหน้าจะเป็นสิ่งใดล้วนใช้พลังอำนาจเข้าจัดการ เหนือสวรรค์ใต้หล้าไม่มีอะไรที่จะขวางการโจมตีของเทพราชันได้ นี่ก็คือเทพราชัน ดังนั้นกล่าวได้ง่ายมาก หากเทพราชันต้องการแย่งชิงกระบี่เซวียนหยวน ไม่จำเป็นต้องหดหัวโผล่แต่หางเช่นนี้ และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาวางแผน แค่ปรากฎตัวออกมาใช้พลังกดดันปรมาจารย์กระบี่แล้วแย่งกระบี่เซวียนหยวนไปโดยตรงก็ได้ ส่วนมังกรสายฟ้าตัวใหญ่ ถึงแม้ทัณฑ์สวรรค์จะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่รุนแรงเท่าทัณฑ์สวรรค์ที่ต้องพบในตอนที่จะกลายเป็นเทพราชัน
“ข้าไม่เพียงแต่ตายเช่นนี้ แต่ยังถูกผู้อื่นแย่งชิงกระบี่เซวียนหยวนไปด้วย โชคยังดีที่เลือดหยดหนึ่งของข้าซึมเข้าสู่ภายในของกระบี่เซวียนหยวนจึงรักษารอยประทับจิตวิญญาณของข้าไว้ได้ กระทั่งผู้ใดนำกระบี่เซวียนหยวนไป เขาหน้าตาเป็นอย่างไร และแข็งแกร่งขนาดไหน ข้าเองก็ไม่รู้หลาย พันปีมานี้ข้าตื่นขึ้นมาช้าๆ แต่กระบี่เซวียนหยวนก็เกือบจะหลับไหลแล้ว ทั้งยังผ่านมือคนมามากมาย ก่อนหน้าเจ้ามีอยู่หกคนจริงๆ แต่พวกเขาก็ตายทั้งหมด ไม่มีใครปราบกระบี่เซวียนหยวนได้เลย!” ปรมาจารย์กระบี่พูดพลางส่ายหน้า
เย่เทียนเฉินมองปรมาจารย์กระบี่ ชายชราคนนี้ดูไม่เหมือนกำลังโกหกตน ท่าทางการที่เขาย้อนกลับสู่เหตุการณ์เมื่อปีนั้นอีกครั้งจะทำให้เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวและรับรู้ถึงความรู้สึกโศกฌสร้าอีกครั้ง ตนเองถูกผู้อื่นฆ่า ที่สำคัญก็คือในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งในใต้หล้า เขาเพิ่งจะจับกระบี่เซวียนหยวนซึ่งเป็นกระบี่เทพที่ทำให้ฟ้าดินต้องสั่นสะเทือน ยังไม่ทันได้ตรวจสอบความลับของมันก็ถูกผู้อื่นซัดจนตายในฝ่ามือเดียว จึงรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจ
“แต่นี่มันเรื่องเมื่อหมื่นปีก่อน หากคิดจะตรวจสอบให้ชัดเจนคงไม่ง่าย คนที่ลอบสังหารคุณคนนั้นคงตายไปนานแล้ว อย่าได้ดื้อด้านเกินไปเลย!” เย่เทียนเฉินรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง เขาสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าและความไม่ยินยอมพร้อมใจของปรมาจารย์กระบี่ เขาเองก็เป็นคนที่มีความโศกเศร้าและไม่ยินยอมพร้อมใจเช่นเดียวกัน ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก คนสนิทและสหายของเขาตายทั้งหมด ตัวเขาเองก็ตาย แต่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ มิฉะนั้นเขาเย่เทียนเฉินคงหายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง และเพราะแบบนี้เขาจึงหวงแหนโอกาสครั้งใหม่นี้มากเป็นเท่าตัว กดข่มความโศกเศร้าและความไม่ยินยอมพร้อมใจทั้งหมดออกไว้ในใจ ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง การไล่ตามพลังที่แข็งแกร่งที่สุดและสืบหาความลับของการมีชีวิตยืนยาวเป็นเรื่องจำเป็น แต่ในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง การกลับไปแก้แค้นให้สหายที่ตายไปของตนที่ดาวสิ้นโลกก็เป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน
“ไม่ ข้ารู้สึกได้ว่าคนคนนี้ยังไม่ตาย!” ปรมาจารย์กระบี่เอ่ยปากกล่าวอย่างดุดัน
“กระบี่เซวียนหยวนถูกผนึกเอาไว้ในโลงศพหินมาหลายพันปีแล้ว คุณรู้ได้ยังไงว่ายอดฝีมือที่ลอบสังหารคุณเมื่อปีนั้นยังไม่ตาย?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัย
“สัญชาตญาณ! เจ้าอายุน้อยเช่นนี้ก็มีพลังบ่มเพราะขนาดนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีศักยภาพไร้ขีดจำกัด เชื่อว่าเจ้าเองก็ต้องเคยได้ยินเรื่องดาวจักรพรรดิมาก่อน!” ปรมาจารย์กระบี่มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง
“ดาวจักรพรรดิ? สมัยโบราณของโลกนี้มีคนเดินทางไปดาวจักรพรรดิจริงๆ และดาวจักรพรรดินี้มีตัวตนอยู่จริงๆ เหรอครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความตื่นตะลึง
จางอีเต๋อเคยบอกเขาเรื่องเกี่ยวกับดาวจักรพรรดิมาบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นการคาดเดาของจางอีเต๋อ เขาไม่กล้ามั่นใจว่ามีการดำรงอยู่ของดาวจักรพรรดิจริงๆ หรือไม่ เพียงแต่กล่าวได้ว่ามีความเป็นไปได้ ในสมัยโบราณ ตอนนั้นพลังหลิงชี่ในโลกยังสมบูรณ์ ช่วงหลายหมื่นปีก่อน บนโลกเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมสำหรับการบ่มเพาะ ผู้แข็งแกร่งหลากหลายโผล่ออกมาจำนวนมาก ในยุคสมัยที่แข็งแกร่งเช่นนั้นเป็นยุคสมัยที่คนกินคน ความสามารถคือทุกสิ่งทุกอย่าง หากคุณไม่แข็งแกร่งมากพอก็เป็นได้เพียงเนื้อปลาให้ผู้อื่นกลืนกิน ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้หรือเมื่อก่อน ผู้ที่เดินบนเส้นทางการบ่มเพราะทุกคนล้วนตามหาพลังที่แข็งแกร่งที่สุด แสวงหาชีวิตที่ห้าวหาญและชีวิตอันยืนยาว หากไม่อาจมีชีวิตยืนยาวได้ ต่อให้คุณเป็นลูกรักของสวรรค์ เป็นผู้มีอำนาจสูงส่งก็ยังไม่อาจหนีจุดจบที่ต้องกลายเป็นเศษดิน ทำได้เพียงเสียใจเท่านั้น
ในตอนนั้นบนโลกยังมีของเช่นค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ สามารถไปถึงดาวจักรพรรดิได้ในพริบตาเดียวโดยใช้ค่ายกลนี้ และที่ดาวจักรพรรดิมีชื่อเช่นนี้เป็นเพราะ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ดูเหมือนจะมีคนที่พิสูจน์ตัวเองจนเรียกได้ว่าเป็นจักรพรรดิเพียงไม่กี่คนที่อยู่บนดาวดวงนั้น ไม่ว่าจะต้องการกลายเป็นเทพราชันที่นั่นหรือต้องการทิ้งร่องรอยไว้ที่นั่น ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิต่างต้องการไป ดังนั้นจึงถูกผู้บ่มเพาะทุกคนในจักรวาลเรียกด้วยความเคารพว่าดาวจักรพรรดิ เป็นสถานที่ที่ผู้บ่มเพาะต้องการไป เนื่องจากที่นั่นมีความลับที่ทำให้ผู้คนไม่อาจคาดคิดอยู่ เย่เทียนเฉินเองก็อยากไปดูมาก อยากไปดูว่าเป็นโลกแบบไหน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการคาดเดาของจางอีเต๋อเท่านั้น และเป็นเพียงจินตนาการของเย่เทียนเฉิน แต่ตอนนี้เมื่อถูกพูดออกมาจากปากของปรมาจารย์กระบี่เย่เทียนเฉินจึงเชื่อมั่นโดยไม่สงสัย ไม่ได้จะกล่าวว่าเขาเชื่อปรมาจารย์กระบี่หมดใจ แต่การที่ปรมาจารย์กระบี่กล่าวถึงดาวจักรพรรดิ นั่นเป็นการพิสูจน์แล้วว่าการคาดเดาของจางอีเต๋อถูกต้อง ไม่แน่ว่าบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีความสามารถล้ำเลิศหลายคนในโลกแห่งนี้อาจจะไปที่ดาวจักรพรรดิในช่วงสุดท้ายของชีวิต ต้องการไปยังโลกที่แตกต่างเพื่อตามหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ที่สำคัญก็คือ ปรมาจารย์กระบี่เป็นคนที่มีชีวิตอยู่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน โลกในตอนนั้นมีผู้บ่มเพาะจำนวนมาก ไม่เหมือนตอนนี้ที่สืบทอดกันน้อยจนเกือบจะสูญสิ้น ที่เหลืออยู่มีแค่พรรควรยุทธโบราณจำนวนหนึ่งเท่านั้น เขาซึ่งเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกเมื่อหลายหมื่นปีก่อนและเคยเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งในใต้หล้าย่อมรู้ความลับมากมายที่ไม่อาจเผยบนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ บางทีเขาอาจจะรู้ความลับเกี่ยวกับค่ายกลเคลื่อนย้ายก็เป็นได้ ในจุดนี้ต้องทำให้แน่ใจ เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องถามให้แน่ชัดเพื่อทำการเตรียมตัวไปดาวจักรพรรดิในภายหลัง
“ดูแล้วเจ้าเคยได้ยินเรื่องของดาวจักรพรรดิมาจริงๆ อยากรู้หรือไม่?” ปรมาจารย์กระบี่มองเย่เทียนเฉินยิ้มๆ แล้วถามขึ้น
“ไม่อยาก!” เย่เทียนเฉินพยายามอดกลั้นความกระหายใคร่รู้ แสร้งทำเป็นกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ
ปรมาจารย์กระบี่กรอกตาใส่เย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงพูดว่า “ วางใจเถอะ ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าหรอก ข้าจะบอกเรื่องทั้งหมดกับเจ้า ตอนนี้ข้าเองก็รู้ดี ถ้าในกระบี่เซวียนหยวนไม่มีช่องว่างอันแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่ รอยประทับจิตวิญญาณของฆ่าคงถูกทำลายไปแล้ว และไม่อาจอยู่บนโลกใบนี้ได้อีก ผ่านไปหลายปีแล้ว กระบี่เซวียนหยวนควรจะมีเจ้านายได้แล้ว ข้ามีข้อเรียกร้องเพียงข้อเดียว นำเคล็ดวิชาของข้าไป หากมีโอกาสแก้แค้นแทนข้าด้วย!”
“ผมจะฝืนรับเคล็ดวิชาของคุณไว้ ส่วนเรื่องแก้แค้นแทนคุณ ผมขอคิดดูก่อน…” เย่เทียนเฉินพูดจาไร้อย่างอายออกมาโดยไม่เขินแม้แต่น้อย
คำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินทำให้ปรมาจารย์กระบี่เกือบโมโหจนตายจริงๆ แต่หลังจากที่ปรมาจารย์กระบี่ได้เห็นภาพเมื่อปีนั้นอีกครั้ง แม้อารมณ์ในใจจะสั่นสะท้านและโกรธมาก แต่ก็ยังค่อยๆ สงบลง เขารู้ว่าตนหลุดจากยุคสมัยไปนานมากจริงๆ ต่อให้เขาต้องการตรวจสอบให้ชัดเจนว่าคนที่ลอบโจมตีตนคือใครและต้องการแก้แค้น แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นเพียงแค่รอยประทับจิตวิญญาณ ไม่มีความสามารถในการโจมตีที่แท้จริง เมื่อออกไปจากช่องว่างอันแปลกประหลาดของกระบี่เซวียนหยวนเขาก็จะกลายเป็นผุยผงทันที ดังนั้นหากเขาต้องการแก้แค้นก็ทำได้เพียงพึ่งพาคนอื่น ซึ่งบางทีอาจจะพึ่งพาเย่เทียนเฉินได้เพียงคนเดียว
กระบี่เซวียนหยวนถูกผนึกเอาไว้ในโลงศพหินเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว เย่เทียนเฉินต้องกระเสือกกระสนถึงจะเข้ามาในช่องว่างอันแปลกประหลาดนี้ได้ ถ้าหากเย่เทียนเฉินทำไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าปรมาจารย์กระบี่อย่างเขาจะต้องรออีกนานเพียงใด เขารออยู่ในช่องว่างอันแปลกประหลาดนี้มามากพอแล้วจริงๆ
“มาเถอะ พวกเราดื่มเหล้าไปพลางคุยกันไปพลางเป็นอย่างไร?” ปรมาจารย์กระบี่มองเย่เทียนเฉินแล้วถามอย่างจริงจัง
“มีเหล้ามีเนื้อด้วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าอย่าได้ลืมไป นี่ไม่ใช่จินตภาพแต่เป็นช่องว่างที่มีอยู่จริง กระบี่เซวียนหยวนสามารถสร้างโลกได้ แล้วยังมีอะไรที่สร้างไม่ได้อีก เพียงแต่หากต้องการใช้กระบี่เซวียนหยวนสร้างจักรวาลอันกว้างใหญ่และกำหนดกฏเกณฑ์ขึ้นมาอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นเทพราชัน หากต้องการทำได้ถึงขั้นนี้ยังลำบากมาก!” ปรมาจารย์กระบี่หัวเราะ หมุนตัวเดินเข้าไปในกระท่อม
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเดินตามไป เขารู้สึกว่าปรมาจารย์กระบี่ในตอนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับชายชราที่ใกล้จะลาโลกและต้องการสั่งเสีย กล่าวถึงห่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
โต๊ะไม้หนึ่งตัว เก้าอี้ไม้สองตัว บนโต๊ะไม้มีเหล้ามีเนื้อ ทั้งหมดคือความจริง เย่เทียนเฉินจึงได้สัมผัสถึงความแข็งแกร่งของช่องว่างอันแปลกประหลาดของกระบี่เซวียนหยวนนี้แล้ว มันสามารถสร้างโลกขึ้นมาได้ แล้วยังเป็นความจริงด้วย มิน่าล่ะ ในตอนที่กระบี่เซวียนหยวนยังไม่ก่อกำเนิด ฟ้าดินจึงส่งทัณฑ์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นลงมาเพื่อมาทำลายมัน เพราะเดิมทีตัวกระบี่เองก็สามารถสร้างโลกที่แตกต่างกันออกไปได้ ในตัวกระบี่มีช่องว่างอันแปลกประหลาดที่ต่างออกไป มีพลังแห่งสวรรค์อยู่แท้จริง ซึ่งไม่เหมือนกับพลังแห่งสวรรค์ของจักรวาลแห่งนี้ หากปะทะกัน ธรรมชาติจะได้รับความกดดัน จึงไม่อนุญาตให้มันก่อกำเนิดขึ้น
คนหนึ่งคน กาเหล้าหนึ่งใบ ไม่มีแก้ว เย่เทียนเฉินและปรมาจารย์กระบี่ดื่มกันเช่นนี้ ไม่ได้กล่าวอะไรไปชั่วขณะ ราวกับทั้งสองไม่ได้ดื่มสุรามานานจึงต้องการดื่มอย่างมีความสุขเสียก่อน ดังนั้นเพียงไม่นานกาเหล้าทั้งสองในมือของคนทั้งสองก็พร่องลงไป จากนั้นปรมาจารย์กระบี่จึงหยิบออกมาอีกสองขวด
“เหล้าดี พูดมาเถอะครับ ปรมาจารย์กระบี่ เห็นแก่เหล้าทั้งสองกานี้ของคุณ ผมจะพยายามช่วยคุณเต็มที่!” เย่เทียนเฉินเป็นคนที่ตรงไปตรงมาคนหนึ่ง เพียงแต่ตอนแรกรู้สึกว่าชายชราคนนี้มีคำพูดที่ยังกล่าวกับตนไม่หมดจึงกล่าวเหลวไหลและมีการป้องกันตัวอยู่บ้าง
“ข้าอยากช่วยเจ้าปราบกระบี่เซวียนหยวนและส่งมอบเคล็ดวิชาข่ายสวรรค์ขังมังกรของข้าให้แก่เจ้า เพียงแต่หากเจ้าออกไปจากช่องว่างอันแปลกประหลาดนี้ได้และได้ครอบครองกระบี่เซวียนหยวนอย่างแท้จริง สักวันหนึ่งเจ้าต้องช่วยข้าเรื่องหนึ่ง…” ปรมาจารย์กระบี่มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง สายตาร้อนรนราวกับกลัวว่าเย่เทียนเฉินจะไม่รับปาก
…………………