เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 408 ความลับของโลกที่ผู้คนไม่รู้
ปรมาจารย์กระบี่เป็นคนที่มีชีวิตอยู่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เขาตายไปแล้ว เหลือเพียงรอยประทับจิตวิญญาเท่านั้น รวมกับลักษณะพิเศษของช่องว่างอันแปลกประหลาดภายในกระบี่เซวียนหยวน สร้างโลกของตนขึ้นมา จึงยังรักษารอยประทับจิตวิญญาณของปรมาจารย์กระบี่ให้อยู่ต่อไปได้ มิฉะนั้นปรมาจารย์กระบี่คงหายไปจากจักรวาลแห่งนี้นานแล้ว
ที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ โลกเมื่อหลายหมื่นปีก่อนอาจจะเป็นเหมือนดาวจักรพรรดิและดาวสิ้นโลก เป็นโลกของผู้บ่มเพาะอย่างแท้จริง ในตอนนั้นไม่ว่าจะคน สัตว์ประหลาด ปีศาจ ต่างแสวงหาพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในขณะที่ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งก็ตามหาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวไปด้วย ในตอนนั้นมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน มีการฆ่าฟันนองเลือดมากมาย เป็นโลกของคนกินคน มีผู้คนตายกลายเป็นเศษฝุ่นอยู่ในจักรวาลทุกเวลา ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเดินทางไปดาวจักรพรรดิด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้ว เพียงแต่ในดาวจักรพรรดิมีอักขระอันแข็งแกร่งที่ยากจะลบล้างอยู่ ตอนไปสามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย แต่ตอนกลับทำไม่ได้ จำเป็นต้องทำลายอักขระที่อยู่นอกดาวจักรพรรดิเท่านั้น แต่นี่มีเพียงเทพราชันถึงจะทำได้ เวลาหลายพันล้านปี คนที่สามารถพิสูจน์ความยิ่งใหญ่จนเป็นเทพราชันได้มีเพียงไม่กี่คน ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนต่างถูกขังอยู่ในเวลาเหล่านี้ ต้องการไปถึงขอบเขตเทพราชันจะง่ายที่ไหนกัน
ในกาลเวลา โลกเปลี่ยนไป กลายเป็นโลกที่ไม่เหมาะกับผู้บ่มเพาะ ขาดพลังหลิงชี่ ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงค่อยๆ เดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย ส่วนผู้แข็งแกร่งที่อ่อนแอที่เหลือก็ค่อยๆ ตายไป เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ปรมาจารย์กระบี่แปลกใจก็คือ จากการคาดเดาของเขา ต่อให้กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติของโลกเปลี่ยนแปลงไปก็ไม่อาจเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใดเป็นคนทำลายค่ายกลเคลื่อนย้ายกัน? ต้องทราบว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เดิมที่อยู่บนโลกนั้นถูกหลอมมาจากพลังของผู้แข็งแกร่งในระดับนักรบจักรพรรดิขั้นปลายหลายคน หากต้องการทำลาย ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่คุยกับเย่เทียนเฉิน ปรมาจารย์กระบี่พบว่าสภาพของโลกด้านนอกในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่มาก นี่มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ ภายหลังบนโลกเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก ทำให้ค่ายกลเคลื่อนย้ายพัง และต่อมาผู้แข็งแกร่งก็โค่นล้มอำนาจบนโลก ปิดบังทุกสิ่งนี้ไว้
“ตกลงแล้วเป็นการต่อสู้สะเทือนโลกเช่นไรกันแน่? แล้วทำไมถึงต้องต่อสู้กันด้วย?” ปรมาจารย์กระบี่อดไม่ได้ที่จะพึมพำถามกับตัวเอง
“สามารถสู้กันจนถึงขั้นทำลายค่ายกลเคลื่อนย้ายได้ ผมคิดว่าต้องเป็นยอดฝีมือในระดับนักรบจักรพรรดิขั้นปลายขึ้นไป จะเป็นเทพราชันสองคนหรือเปล่า…” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะคาดเดา ทอดถอนใจด้วยความเย็นยะเยือก
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชัน ไร้คู่ต่อกรในจักรวาล ทลายสวรรค์ถล่มปฐพี ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ อุปสรรคทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าสามารถกวาดจนเหี้ยนนแล้วผ่านไป นี่คือผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชัน หากเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันสองคนจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นระดับที่ไม่อาจจินตนาการได้ เกรงว่าคงสู้กันจนจักรวาลหายไปครึ่งหนึ่ง หากต้องการทำลายค่ายกลเคลื่อนย้าย อยู่ต่อหน้าพวกเขาก็เป็นเรื่องง่ายๆ
“เป็นไปไม่ได้ ผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันไร้ผู้ต่อต้าน ภายใต้ท้องฟ้าผืนหนึ่งมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันได้เพียงหนึ่งเดียว ไม่อาจมีสองคน หากมีคนที่มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ คงต่อสู้รู้แพ้ชนะไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำลายค่ายกลเลย จะทำลายโลกทั้งใบก็ยังเป็นเรื่องง่ายๆ!” ปรมาจารย์กระบี่ปฏิเสธการคาดเดาของเย่เทียนเฉินทันที
“ไม่…ผมคิดว่าไม่ได้มีคนปิดบังสาเหตุการต่อสู้ แต่โลกเคยถูกทำลายไปครั้งหนึ่งแล้ว ภายหลังก็มีผู้ลึกลับผ่านทางมา รวมโลกมันเข้าด้วยกัน ดังนั้นปัจจุบันวิทยาศาสตร์จึงตรวจสอบพบของหลายสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นของโลก ด้วยเหตุนี้โลกในปัจจุบันจึงไม่เหมือนโลกดั้งเดิมอีกต่อไป เพราะตอนหลังถูกคนรวบรวมขึ้นมาใหม่ ในเมื่อรวบรวมขึ้นมาใหม่ สรรพสิ่งบนโลกและโครงสร้างรวมไปถึงของบางอย่างจึงไม่เหมือนเดิม ทั้งยังถูกจองจำด้วยข้อจำกัดของจักรวาลจึงกลายเป็นโลกทุกวันนี้!” เย่เทียนเฉินส่ายศีรษะแล้วพูดขึ้น
“ก็มีความเป็นไปได้เช่นนี้ เมื่อครู่ที่เจ้าถามข้าง่ามีวิธีซ่อมค่ายกลเคลื่อนย้ายหรือไม่ ที่ข้าจะบอกเจ้าก็คือยากมาก นอกจากจะหาซากค่ายกลเคลื่อนย้ายในสมัยก่อนที่ถูกทำลายไปแล้วให้เจอ บางทีด้วยความสามารถของเจ้า เมื่อไปถึงระดับนักรบจักรพรรดิขั้นปลายแล้วก็ลองดูว่าจะซ่อมคนเดียวได้หรือเปล่า!” ปรมาจารย์กระบี่มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินชะงักไป ตนทำได้เพียงลองทดสอบเงื่อนไขทั้งหลายที่ปรมาจารย์กระบี่พูดถึงดูเท่านั้น ค้นหาซากค่ายกลเคลื่อนย้ายในสมัยก่อน ดูว่าจะ รวบรวมเข้าด้วยกันอีกครั้งได้หรือไม่ มิฉะนั้นก็ไม่มีโอกาสไปดาวจักรพรรดิจริงๆ แล้ว และไม่สามารถกลับไปดาวสิ้นโลกได้ด้วย เนื่องจากประการแรก หากต้องการให้เย่เทียนเฉินไปถึงขอบเขตนักรบราชันขั้นปลายก่อน เย่เทียนเฉินรู้ว่าเขาไม่สามารถทำได้ในโลกนี้ ไม่ได้จะกล่าวว่า เขาบอกว่าจะไม่ยืมพลังของจักรวาลแล้วจะไม่แปดเปื้อนแม้แต่น้อย เพียงแค่ตอนที่ต้องรับทัณฑ์สวรรค์จะไม่ยืมพลังของจักรวาลทะลวงพลัง แต่จะอาศัยพลังของตนทะลวงขอบเขตและรับทัณฑ์สวรรค์เท่านั้น ในการบ่มเพาะปกติยังต้องข้องเกี่ยวอยู่บ้าง นอกจากนั้น ต่อให้พลังความสามารถไปถึงขั้นสูงสุดของระดับนักรบจักรพรรดิขั้นปลายจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดคนหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายได้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้มีเส้นทางของมัน บางทีอาจไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องกับพลังสูงหรือต่ำมากนัก นอกจากจะไปถึงขอบเขตเทพราชันแล้ว ก็ไม่มีค่ายกลอักขระอะไรที่เพียงแค่คิดก็เดินทางไปไกลนับพันล้านลี้ได้
“ดูแล้วผมคงทำได้เพียงไปหาที่พรรควรยุทธโบราณเหล่านั้น หากยังมีซากของค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ ผมคิดว่าควรจะอยู่ในพรรควรยุทธโบราณ มีแค่การสืบทอดของพวกเขาที่นานอยู่บ้าง!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูด
ตอนนี้ปรมาจารย์กระบี่ลุกขึ้นยืน มองไปยังเย่เทียนเฉิน ยิ้มแล้วยกกาเหล้าขึ้น “มา พวกเราดื่มจอกสุดท้ายแล้วข้าจะช่วยเจ้าปราบกระบี่เซวียนหยวน!”
“ขอบคุณครับ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง ตอนนี้เขาและปรมาจารย์กระบี่ล้วนเผยความจริงใจต่อกัน ย่อมไม่มีอะไรให้สงสัยอีก
“เจ้าหนู อย่าได้ดีใจเร็วเกินไป ต่อให้มีความช่วยเหลือจากข้า ก็อาจจะล้มเหลวได้ ถ้าล้มเหลว เจ้าก็จะเป็นเหมือนกับหกคนก่อนหน้านี้ จิตวิญญาณแตกซ่าน ไม่เหลืออะไรเลย” ปรมาจารย์กระบี่มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“คุณก็บอกแล้วว่าถ้าไม่ลองก็จะถูกขังอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต ตอนแรกคุณต้องการหลอกผม ต้องการให้ผมช่วยคุณหาภรรยาและลูกสาว ตอนนี้ผมตอบรับคุณแล้ว ถ้าผมประสบความสำเร็จ ผมจะไปบอกพวกเธอว่าคุณรักพวกเธอมาก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
ความจริงเย่เทียนเฉินคิดนานแล้ว เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต ถึงแม้จะได้รู้เรื่องพรรควรยุทธโบราณและเรื่องดาวจักรพรรดิมากมาย และมีกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางอยู่สองเล่ม แต่ความสามารถของเขาในตอนนี้ยังไม่อาจแข็งแกร่งที่สุดในโลก มีความยุ่งยากมากมายขนาดนั้นจะเดินทางไปดาวจักรพรรดิและดาวสิ้นโลกได้อย่างไร ทำได้เพียงทำแต่ละเรื่องให้ดีก่อน ในตอนที่มีความสามารถมากพอจึงค่อยหาวิธีรวบรวมค่ายกลเคลื่อนย้ายและเดินทางไปดาวจักรพรรดิเพื่อดูให้ถึงที่สุด มิฉะนั้นด้วยพลังการบ่มเพาะในตอนนี้ หากไปดาวจักรพรรดิเกรงว่าจะกลายเป็นอาหารให้ผู้อื่นเปล่าๆ
หากไม่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของปรมาจารย์กระบี่ ดาวจักรพรรดิมีอักขระค่ายกลที่แม้แต่เทพราชันก็ยังไม่อาจทำลายได้ง่ายๆ คนที่อยู่ด้านในยากจะออกมา ดังนั้นดาวจักรพรรดิน่าจะคงสภาพอยู่ จะเป็นโลกที่เหมาะสมแก่การบ่มเพาะอย่างแท้จริง และทำให้ผู้คนคาดหวัง เนื่องจากการคงสภาพเช่นนั้นจึงทำให้เส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวจำนวนมากไม่หายไป ดาวจักรพรรดิน่าสนใจจริงๆ
“หากเจ้าตาย ข้าจะดื่มสุราคารวะเจ้าทุกวัน!” ปรมาจารย์กระบี่พูดอย่าสนใจ
“วางใจเถอะครับ ผมจะช่วยทำห่วงสุดท้ายของคุณให้สำเร็จ ตอนนี้ผมอยากให้คุณบอกผมว่าทำยังไงถึงจะปราบกระบี่เซวียนหยวนได้?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม
ปรมาจารย์กระบี่พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ตามข้ามา!”
ในขณะเดียวกัน ขณะที่เย่เทียนเฉินเข้ามาภายในกระบี่เซวียนหยวนและได้รับรู้เรื่องราวมากมายจากปรมาจารย์กระบี่ ท่ามกลางห้องหินที่กระบี่เซวียนหยวนถูกผนึกไว้ ตงฟางเมิ่งมองไปยังโลงศพหินที่ถูกปิดเอาไว้อย่างเคร่งเครียด ไม่รู้ว่าเธอพยายามเปิดโลงไปกี่ครั้งแล้ว เพียงแต่ยังทำไม่สำเร็จ เธอร้อนใจจนน้ำตาไหลออกมา เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ที่แท้ตอนนี้เธอเพิ่งจะพบว่า ผ่านประสบการณ์มากมายมาด้วยกันกับเย่เทียนเฉิน เธอเกลียดเจ้าหมอนั่นมาโดยตลอด แต่ในใจของเธอมีตำแหน่งที่สำคัญสำหรับเขาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นเย่เทียนเฉินถูกลากเข้าไปในโลงศพและฝาโลงปิดแน่นในพริบตา ตงฟางเมิ่งถึงกับมองจนโง่งม เมื่อคิดว่าเย่เทียนเฉินอาจจะตายอยู่ด้านในจึงโคจรพลังภายในเพื่อจะเปิดฝาโลงอย่างสุดชีวิต เพียงแต่น่าเสียดาย หลังจากที่ฝาโลงปิดแล้วยังแน่นยิ่งกว่าตอนที่เย่เทียนเฉินจะเปิดก่อนหน้านี้นับหมื่นเท่า ราวกับมีภูเขาลูกใหญ่เป็นแสนลูกอยู่ด้านบน
“เจ้าโง่ ยืนหยัดเข้าไว้ ฉันจะรีบฝึกเคล็ดวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกให้สมบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะช่วยนายเอง!” ตงฟางเมิ่งนั่งขัดสมาธิลงเบื้องหน้าโลงศพหิน หลับตา โคจรพลังภายในอย่างรวดเร็ว การฝึกเคล็ดวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกของเธอถูกขัดขวางไปเพราะพบกับหลี่ชิวสุ่ยทำให้ยังฝึกไม่สำเร็จอมิฉะนั้นขอบเขตการบ่มเพาะคงไม่หยุดอยู่แค่นี้
ในขณะเดียวกันเย่เทียนเฉินก็ตามปรมาจารย์กระบี่ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ยืนตะลึง มองไปยังภาพเบื้องหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ พูดอย่างงงงวยว่า “นี่มันที่ไหนกัน? ค่ายกลหมื่นกระบี่หรือ?”
“กระบี่เซวียนหยวนอยู่ในนั้น ดูสิว่าเจ้าจะหาพบหรือไม่!” ปรมาจารย์กระบี่เอ่ยปากด้วยสีหน้าหนักแน่น
“ง่ายขนาดนี้เชียว?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม
“ง่ายหรือ? ข้าว่าเจ้าตาอย่างไรยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ภายในค่ายกล หมื่นกระบี่นี้ กระบี่ทุกเล่มไม่เพียงแต่จะเหมือนกระบี่เซวียนหยวนทุกกระเบียดนิ้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังแฝงไปด้วยไอสังหารอันเข้มข้น หากบุกเข้าไป เพียงแค่สัมผัสถูกพวกมันเล่มใดเล่มหนึ่ง กระบี่หมื่นเล่มก็จะพากันโจมตีไอต้องหารออกมา เจ้ามั่นใจกี่ส่วนว่าจะรับไหว?” ปรมาจารย์กระบี่มองไปที่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ไม่มีสักส่วน!” เย่เทียนเฉินพูด
“ดังนั้นเจ้าต้องระวังให้มาก ข้าเห็นหกคนนั้นถูกไอสังหารของกระบี่หมื่นเล่มฉีกเป็นชิ้นๆ มาแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่เป็นเช่นนั้น!” ปรมาจารย์กระบี่พูดอย่างจริงจัง
“ว้อท ปรมาจารย์กระบี่ นี่คุณจะส่งผมไปตายใช่หรือเปล่า? ไอสังหารที่เกิดจากกระบี่หมื่นเล่ม เกรงว่าต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังบ่มเพาะในระดับนักรบจักรพรรดิก็ยังไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ผมเข้าไปมีแต่ตายลูกเดียว!” เย่เทียนเฉินพูดอย่าหดหู่
ปรมาจารย์กระบี่มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ พูดด้วยท่าทีดุดันว่า “ถ้ากระบี่เซวียนหยวนถูกปราบง่ายขนาดนั้นคงไม่ต้องให้เจ้ามาแล้วกระมัง? แม้ว่าพลังบ่มเพาะของเจ้าจะต่ำกว่าหกคนก่อนหน้านี้ แต่บนร่างของเจ้ามีกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉาง ในเวลาสำคัญพวกมันควรจะช่วยเจ้า อีกอย่าง ยังมีข้าอยู่ด้านข้าง ข้าเองก็จะพยายามช่วย เจ้าจะกลัวอะไร?”
………………