เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 446 ตระกูลฟ่านยกลูกสาวให้เย่เทียนเฉิน?
เมืองหลวง บ้านเดิมตระกูลเย่
เย่หย่วนซานยังนั่งจิบชาอยู่ในห้องโถงใหญ่ เย่มู่ไป๋ลูกชายคนโตและเย่เฮ่อกั๋วลูกชายคนรองนั่งอยู่เป็นเพื่อนซ้ายขวา ระยะนี้ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานมีความสุขมาก ดูเหมือนว่ากลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงจะรู้กันแล้วว่าตระกูลเย่ที่เดิมทีตกต่ำลงแล้วมีหลานชายเย่เทียนเฉินที่ทำลายตระกูลฉินและตระกูลลั่ว นี่ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงและสั่นสะท้านเพียงใด!
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้ที่มีตำแหน่งอยู่บ้างล้วนได้รับข่าวสารบางอย่าง ซึ่งก็คือเรื่องที่เย่เทียนเฉินได้เข้าพบผู้นำระดับสูงของทางการหลายครั้ง กระทั่งท่านผู้นำสูงสุดก็ดีกับเย่เทียนเฉิน นี่มากเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนอิจฉา แน่นอนว่าท่าทางของเย่เทียนเฉินคนนี้ผ่อนคลายมาก
“ไม่เลว ไม่เลว ใบชาที่ตระกูลฟ่านส่งมาพิถีพิถันมากจริงๆ!” เย่หย่วนซานกล่าวอย่างยินดี
“ยังพอได้ ยังพอได้!” เย่มู่ไป๋กล่าวคล้อยตามคำพูดของเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อ
“ใช่แล้วเฮ่อกั๋ว ส่งไปให้น้องสามของแกสักหน่อย บอกไปว่าตระกูลฟ่านส่งมา” เย่หย่วนซานมองเย่เฮ่อกั๋วผู้เป็นลูกชายคนรองแล้วพูดขึ้น
“พ่อครับ ให้น้องสามมาเอาเองเถอะ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีมือมีเท้าสักหน่อย อีกอย่าง ตระกูลฟ่านส่งใบชาล้ำค่ามามากขนาดนี้หมายความว่ายังไงกัน? ดูเหมือนก่อนหน้านี้ตระกูลเย่ของพวกเราไม่เคยไปมาหาสู่กับตระกูลฟ่านของพวกเขา…” เย่เฮ่อกั๋วถามอย่างรู้สึกไม่เข้าใจ
ตระกูลฟ่านนั้นเป็นตระกูลที่ดูถูกไม่ได้ตระกูลหนึ่งในเมืองหลวง หากพูดถึงเรื่องสถานะและอำนาจของตระกูลแล้ว เหนือกว่าตระกูลเย่แน่นอน ต่อให้เป็นตอนผู้อาวุโสเย่ยังอยู่ในตำแหน่ง ตระกูลเย่ก็ยังเทียบตระกูลฟ่านไม่ได้ สำหรับตระกูลใหญ่เหล่านี้แล้ว ไม่ขาดเงิน ไม่ขาดของ ไม่ขาดแคลนอะไรทั้งนั้น แต่หากตระกูลหนึ่งต้องการมอบของขวัญให้อีกตระกูลหนึ่ง ทั้งยังส่งมาโดยไม่มีเหตุผลยังนับว่าเป็นเรื่องใหม่
ต้องทราบว่าระหว่างตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่เหล่านี้ เบื้องหน้าต่างก็กลมเกลียวกันมาโดยตลอด แต่ลับหลังมีการต่อสู้กัน ต่างให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีหน้าตากว่าอะไรทั้งสิ้น ตระกูลที่มีตำแหน่งและอำนาจสูงกว่าส่งของขวัญมาให้ตระกูลที่มีตำแหน่งอำนาจต่ำกว่าดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สถานะของตระกูลฟ่านยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่ ถึงกับมอบใบชาที่หาได้ยากในโลกมาให้กล่องหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นใบชาธรรมดา แต่ความหมายที่แฝงอยู่ด้านในไม่น้อยเลยทีเดียว
เย่หย่วนซานมองลูกชายคนรองที่ค่อนข้างโง่งม ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายไม่ได้ดั่งใจ ท่ามกลางลูกชายสามคนของตน คนที่ฉลาดที่สุดและซื่อสัตย์ที่สุดก็คือลูกชายคนโตเย่มู่ไป๋และลูกชายคนที่สามเย่หง ทั้งๆ ที่ลูกชายคนโตและลูกชายคนรองร่วมมือกันโจมตีเย่หง แม้เย่หย่วนซานจะรู้เรื่องเหล่านี้ แต่จะหน้ามือหรือหลังมือก็เป็นเนื้อ เขาไม่อาจกดดันลูกชายสองคนเพื่อลูกชายคนเดียวได้ ขอเพียงไม่ทำอะไรมากเกินไปก็จะหลับตาข้างลืมตาข้าง โชคดีที่ลูกชายคนที่สามเย่หงเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง ไม่แข่งขันแย่งชิงอะไรกับพี่ใหญ่และพี่รองของเขา มิฉะนั้นเกรงว่าจะกูลใบไม้นี้คงพลิกคว่ำไปนานแล้ว ทำได้เพียงเรื่องน่าตลกเท่านั้น
“พ่อครับ ผมคิดว่าที่ตระกูลฟ่านมาหาตระกูลเย่ของพวกเราเพราะมีธุระละมั้งครับ? ไม่งั้นผู้อาวุโสฟ่านที่มีใจยโสโอหังมาโดยตลอดคงไม่ส่งคนมามอบใบชานี้ด้วยตัวเอง!” เย่มู่ไป๋ให้คิดคู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม
“ธุระน่ะต้องมีอยู่แล้ว แล้วยังเป็นข่าวดีด้วย!” เย่หย่วนซานพูดด้วยรอยยิ้ม
“ข่าวดี? พ่อครับ ข่าวดีอะไร?” เย่เฮ่อกั๋วดวงตาสว่างวาบ ต้องทราบว่าอำนาจของตระกูลฟ่านยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่ การที่มาหาด้วยเรื่องน่ายินดีแบบนี้ไม่ธรรมดาเลย ไม่แน่ว่าอาจจะหาผลประโยชน์ในเรื่องนั้นได้
“แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ผู้อาวุโสตระกูลฟ่านโทรมาหาก่อนหน้านี้ ดูแล้วคงมีความคิดที่จะเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลเย่ของพวกเราด้วยความแต่งงาน หลานสาวของเขาฟ่านรั่วเซวียนปีนี้ก็อายุ 20 ปีแล้ว!” เย่หย่วนซานจิบชาแล้วพูดขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่หย่วนซาน เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วก็ตื่นตะลึง คิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นั้นเรียกได้ว่าเป็นการร่วมมือกันที่แข็งแกร่งที่สุดระหว่างตระกูลใหญ่ จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าตระกูลฟ่านถึงกับต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลเย่
“พ่อครับ เฉียนซวนก็อายุไม่น้อยแล้ว ทั้งก็ยังไม่มีแฟนสักคนเดียว ครั้งนี้ตระกูลฟ่านเสนอเรื่องการแต่งงานขึ้นมาด้วยตัวเอง ผมว่าเฉียนซวนก็เหมาะสมดี!” เย่มู่ไป๋ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
“ไม่ได้นะพี่ใหญ่ เฉียนซวนไม่มีแฟนจริงๆ แต่ดาราที่พัวพันกับเขามีไม่น้อย หากตระกูลฟ่านรู้เรื่องจะต้องคิดว่าตระกูลเย่ของพวกเราไม่มีความจริงใจ ถึงตอนนั้นเรื่องที่ควรจะเป็นเรื่องน่ายินดีคงพังหมดเพราะพวกเราไปล่วงเกินตระกูลฟ่าน ทำไม่ได้เด็ดขาด!” เย่เฮ่อกั๋วรีบพูดหยุดเอาไว้
“งั้นตามความเห็นของแก ใครเหมาะสมที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลฟ่านล่ะ?” เย่มู่ไป๋มองไปยังเย่เฮ่อกั๋วอย่างดุดันแล้วถามออกมาด้วยความไม่พอใจ
“ย่อมต้องเป็นฉีเอ๋อร์ลูกชายของฉัน” เย่เฮ่อกั๋วพูดอย่างจริงจัง
“งั้นเหรอ? น้องรอง แกคิดจะใช้ลูกชายของแกไปเกาะต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลฟ่าน นี่พี่ใหญ่เข้าใจได้ จะอย่างไรที่ผ่านมาแกก็เอาแต่เที่ยวเล่นว่างานเป็น คนไม่มีตำแหน่งหน้าที่อะไรแต่ เย่ฉีปีนี้เพิ่งจะอายุ 18 ไม่รู้สึกว่าเด็กเกินไปเหรอ? ดังนั้นตัดเย่ฉีออกไปได้เลย แกคิดว่าในหมู่หลานหลานของตระกูลเย่ คนที่เหมาะจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับหลานสาวของตระกูลฟ่าน นอกจากลูกชายของฉันเฉียนซวนแล้ว ยังจะมีใครอีก?” เย่มู่ไป๋มองเย่เฮ่อกั๋วแล้วพูดอย่างดุดัน
“พี่ใหญ่ คำพูดนี้ของพี่ผิดแล้ว ตอนนั้นที่พี่แต่งงานก็แค่อายุ 17 ปีเท่านั้น ตอนที่ฉันแต่งงานก็เพิ่งจะอายุ 19 ในฐานะที่เป็นคนตระกูลใหญ่ เรื่องการแต่งงานไม่ได้ดูที่อายุมากอายุน้อยละมั้ง?” เย่เฮ่อกั๋วไม่ยอมแพ้แม้แต่ก้าวเดียว
จากบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความทะเลาะเบาะแว้งของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ว เห็นได้ว่าพวกเขาเห็นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นี้ธรรมดาแค่ไหน สบายๆ แค่ไหน ไม่ได้ถามความเห็นของลูกชายของตนเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลใหญ่และเรื่องของการแต่งงานไม่ได้ให้เด็กพวกนี้เป็นคนตัดสินใจเอง ซึ่งรวมถึงสังคมในยุคปัจจุบันนี้ด้วย หลายคนต้องเสียสละเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล ต่อให้เป็นผู้หญิงไม่ชอบขนาดไหนก็ต้องแต่ง ต่อให้เป็นผู้ชายที่ไม่ชอบแค่ไหนก็ต้องแต่ง กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน คุณไม่ใช่คนที่มีอิสระ ไม่ได้งดงามเหมือนที่คนภายนอกเห็น ไม่ได้ทำอะไรได้ทุกอย่างตามที่ใจต้องการ
“พอแล้ว พวกแกสองคนยังไม่จบกันอีกรึไง?”
เย่หย่วนซานเห็นลูกชายทั้งสองของตนทะเลาะกัน กระทั่งคิดจะตบตีกันขึ้นมาก็รู้สึกปวดใจ ตั้งแต่ที่ตนเกษียณ ตระกูลเย่ก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ เขาคิดหลายวิธีแล้ว แต่ลูกชายทั้งสองก็เอาแต่ทะเลาะกัน รู้จักแต่วางอุบายแย่งชิงทรัพย์สมบัติและอำนาจของตระกูล ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ตระกูลเย่ไม่ถูกพวกเขาทำลายก็แปลกแล้ว คิดจะนำความหวังทั้งหมดไปไว้ฝากไว้เย่หงลูกชายคนที่สาม แต่จนใจที่คุณสมบัติของเย่หงมีจำกัดและไม่ได้มีความยิ่งใหญ่อะไร อย่างไรก็ตามตอนนี้มีเย่เทียนเฉินหลานชายผู้โดดเด่นโผล่ออกมาแล้ว ทำให้เย่หย่วนซานมองเห็นความหวัง
เมื่อได้ยินคำหยุดยั้งของเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อ เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วก็ไม่กล้าส่งเสียงอีก แต่ก็จ้องมองกันด้วยท่าทีดุดัน เกลียดชังที่อีกฝ่ายแย่งชิงโอกาสของตน ต้องทราบว่าตระกูลเย่ตกต่ำลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ากระทั่งตระกูลระดับสามก็คงเป็นไม่ได้ ครั้งนี้ตระกูลฟ่านพูดเรื่องการเชื่อมสัมพันธ์ด้วยตัวเอง นั่นเป็นโอกาสที่ดียิ่ง เย่มู่ไป๋และเย่หย่วนซานย่อมต้องคิดคว้าโอกาสไว้
“พวกแกสองคนไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว ครั้งนี้ผู้อาวุโสฟ่านแสดงออกชัดเจนว่าต้องการให้หลานสาวของแต่งงานกับเทียนเฉิน เรื่องนี้ฉันบอกเย่หงแล้ว ฉันจะบอกพวกแกสองคนให้ชัดเจน ใครกล้ามายุ่งเรื่องนี้ ฉันจะไล่ออกจากตระกูลเย่!” เย่หย่วนซานพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง
“อะไรนะ? เป็นไอ้เด็กเย่เทียนเฉินนั่น?” เย่มู่ไป๋ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“พ่อครับ…เป็นไปได้ยังไง พ่อก็เห็นด้วยเหรอ? ไอ้เด็กอกตัญญูเย่เทียนเฉินนั่น ไม่มีมารยาทไม่มีความเคารพผู้อาวุโสสักนิด กระทั่งจะเรียกพ่อว่าปู่สักคำก็ไม่เคยเรียก…” เย่เฮ่อกั๋วก็รีบเติมน้ำมันลงกองเพลิง
“หุบปาก เรื่องนี้ตัดสินใจไปแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จรอถามความเห็นของเทียนเฉินก่อนค่อยตัดสินใจ!” เย่หย่วนซานพูดอย่างไม่สบอารมณ์
เสียงแกรกดังขึ้น ประตูห้องโถงใหญ่ถูกผลักออก ชายสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งก็คือลูกชายของเย่มู่ไป๋เย่เฉียนซวน อีกคนหนึ่งก็คือลูกชายของเย่เฮ่อกั๋วเย่ฉี ทั้งสองต่างก็เป็นพวกไม่เอาไหนไม่ร่ำเรียน รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวผู้หญิง เย่หย่วนซานอายุมากแล้ว เลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ็นดูหลานชายให้มากและไม่ได้ไปวุ่นวายอะไร ตอนนี้เห็นพวกเขาสองคนเข้ามา ใบหน้าจึงเคร่งขรึมลง
“ปู่ครับ ทำไมคนตระกูลฟ่านถึงเลือกไอ้เด็กเย่เทียนเฉินนั่นได้ เขาก็แค่ไอ้ขยะปัญญาอ่อนเท่านั้น ผมสิถึงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด!” เย่เฉียนซวนพูดอย่างไม่มีมารยาท
“ผมต่างหากถึงจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เย่เทียนเฉินนับเป็นอะไรได้ ถูกไล่ออกจากตระกูลเย่ไปนานแล้ว เขาไม่มีคุณสมบัติมาแข่งกับผม ไม่มีอะไรสู้พวกเราได้เลย!” เย่ฉีก็พูดอย่างไม่พอใจ
“พวกแก…” เย่หย่วนซานโกรธจนพูดอะไรไม่ออก
“ปู่ครับ ปู่วางใจเถอะ ขอเพียงได้แต่งงานกับหลานสาวตระกูลฟ่าน ผมจะต้องใช้ประโยชน์จากตระกูลฟ่านพัฒนาตระกูลเย่ของพวกเราให้รุ่งเรืองแน่นอน!” เย่เฉียนซวนพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“พี่เฉียนซวน กลัวก็แต่พี่จะทำไม่ได้ ถ้าผมแต่งงานกับฟ่านรั่วเซวียนจะต้องทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองได้แน่ จะให้เป็นตระกูลระดับหนึ่งก็ไม่มีปัญหา!” เย่ฉีพูดโดยไม่คิด
“ไป…ไสหัวไป ไสหัวออกไปให้หมด!” เย่หย่วนซานตะโกนออกมาด้วยความโกรธจนตัวสั่น
เย่เฉียนซวนและเย่ฉีคิดไม่ถึงว่าคุณปู่ที่รักใคร่เอ็นดูพวกเขามาโดยตลอดจะถึงกับบันดาลโทสะขนาดนี้ได้ พลันนั้นจึงชะงักไป รีบเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่ ส่วนเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วเห็นว่าพูดโน้มน้าวพ่อไม่ได้ก็รีบเดินออกไปเช่นกัน เรื่องนี้พวกเขาไม่คิดจะพลาดโอกาส ย่อมต้องแย่งชิงเต็มที่
“น้องรอง เรื่องนี้แกคิดยังไง?” เย่มู่ไป๋เดินนำไปเบื้องหน้าก่อนสองก้าว ดึงเย่เฮ่อกั๋วมาถาม
เย่เฮ่อกั๋วมองเย่มู่ไป๋พูดอย่างไม่พอใจว่า “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าพี่ต้องการให้เฉียนซวนลูกชายของพี่เป็นลูกเขยตระกูลฟ่านรึไง? ต้องการจะแย่งชิงกับเย่ฉีของพวกเรา!”
“น้องรอง แก…แกพูดจาเลอะเทอะอะไร แกไม่ได้ยินที่พ่อพูดเหรอ? คนตระกูลฟ่านบอกมาแล้วว่าต้องการให้ฟ่านรั่วเซวียนแต่งงานกับไอ้เด็กเย่เทียนเฉินนั่น คนที่ตระกูลฟ่านถูกใจก็คือเย่เทียนเฉิน!” เย่มู่ไป๋พูดอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่…พี่ใหญ่ ความหมายของพี่ก็คือ…ถ้างั้นไม่ใช่ว่าพวกเราซวยแล้วเหรอ? เย่หงอาจจะพลิกฐานะด้วยเหตุนี้ได้ ตำแหน่งของพวกเราสองคนในตระกูลก็คง…”
คำพูดของเย่เฮ่อกั๋วยังไม่ทันจบก็ถูกเย่มู่ไป๋ขัด ทั้งสองเงียบกันอย่างรู้ใจ เดินไปยังศาลาที่อยู่ไม่ไกลด้วยกัน เตรียมหารือกันให้ดี ส่วนเย่เทียนเฉินกำลังขับรถมอเตอร์ไซด์มาที่บ้านเดิมตระกูลเย่
………………