เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 45 ความแข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นของพรรควรยุทธโบราณ
ยังคงเป็นร้านข้างทางเช่นเดิม ยังคงเป็นร้านบาร์บีคิวเช่นเดิม เย่เทียนเฉินเป็นคนหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดีและพอใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ซึ่งแตกต่างจากสังคมจริงที่มีหลายคนพูดจาใหญ่โต พูดจาโอ้อวด มีท่าทางที่อยากจะแสดงความเหนือกว่าผู้อื่นของตนเองในทุกๆ ที่ อดไม่ได้ที่จะทำตัวหยาบคาย!
หากไม่ใช่เป็นเพราะวิกฤตของตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินจะไม่ลงมือฆ่าคนโดยเด็ดขาด ได้เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เขาคิดเพียงแค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล อ่านหนังสือ อ่านหนังสือพิมพ์ ศึกษาหาความรู้สักเล็กน้อย หากเป็นไปได้ก็จะเป็นอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต ใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างมีความสุข
เนื่องจากในโลกเดิมนั้น ตั้งแต่เย่เทียนเฉินอายุสิบขวบก็ใช้เวลาไปกับการต่อสู้อันโหดร้าย เขาเป็นลูกชายคนเดียว ถูกคนรับมาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ พลังพิเศษตื่นขึ้น ก็เดินอยู่บนเส้นทางแห่งการฆ่าฟันจนไปถึงขอบเขตระดับพระเจ้า ความสามารถแข็งแกร่ง หาคนต่อกรได้ด้วยยาก แต่ในโลกก่อนเป็นโลกที่คนกินคนอย่างแท้จริง มลภาวะทางสิ่งแวดล้อมสาหัส ขาดแคลนอาหารและน้ำ ผู้มีพลังพิเศษอาละวาดไปทั่วโลก ผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธโบราณเคลื่อนไหว ทั้งยังมีมนุษย์และสัตว์กลายพันธุ์ มีกระทั่งซอมบี้ พวกเขาใช้มนุษย์เป็นอาหาร นองเลือดอย่างโหดร้าย ไม่ทราบว่ามีกี่คนที่ถูกกินทั้งเป็น
ส่วนในหมู่ของผู้มีพลังพิเศษและผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธโบราณต่างก็มีทั้งดีชั่วเช่นเดียวกัน บางคนช่วยชีวิตคนใกล้ตายรักษาคนเจ็บและปกป้องมนุษยชาติ ต่อสู้จนตัวตาย แต่บางคนกลับใช้ฝีมืออันแข็งแกร่งของตนแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ฆ่าฟันคนกันเอง ทำลายมนุษยชาติ
ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงเหนื่อยกับชีวิตที่ต้องรบราฆ่าฟัน ต้องการเพียงความสงบ เต่ว่าไม่ว่าจะยุคใดก็ตาม ขอเพียงมีมนุษย์ ก็จะมีความขัดแย้งอยู่ คุณไม่ฆ่าเขาเขาก็ฆ่าคุณ เป็นสัจธรรมที่เรียบง่ายมาก เพื่อปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองมีในตอนนี้ เพื่อให้สามารถปกป้องครอบครัวของตนเองได้ เย่เทียนเฉินไม่อาจไม่กำหมัดอีกสักครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่อยากลงมือฆ่าคน แต่หากใครกล้ามารุกราน ก็ต้องขอโทษด้วยที่ต้องลงมือ!
“พี่ใหญ่ ครั้งนี้พี่ฆ่าหลี่เถี่ย เกรงว่าตระกูลฉินจะสะเทือนมาก ถ้าหากพวกเขารู้ว่าพี่เป็นคนทำ เป็นไปได้มากว่าจะส่งยอดฝีมือมาฆ่าพี่!” หูหลงกล่าวอย่างเป็นกังวล
“เรื่องนี้เด็กอย่างนายไม่ต้องกังวลไปหรอก กินเยอะๆ หน่อยเถอะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อหูหลงดีมาก แม้ว่าฝีมือของหูหลงจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่กลับมีหัวใจเร่าร้อน เป็นชายชตรีคนหนึ่ง นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ฝีมือไม่ดียังสามารถฝึกฝนได้ ฝึกไปสิบปีแปดปีก็จะชำนาญแล้ว แต่ว่านิสัยดั้งเดิมแต่กำเนิดนั้นไม่มีวันที่จะเปลี่ยนได้ คนบางคนถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นคนชั่วไปตลอดชีวิต คนบางคนถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะเป็นคนดีไปชั่วชีวิต นี่เป็นคำที่กล่าวกันมาแต่โบราณ สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก!
“พี่ใหญ่ ผมรู้ดีว่าฝีมือผมอ่อนแอ ช่วยอะไรไม่ได้ เพียงแค่อยากจะติดตามพี่ ต่อให้ช่วยพี่ได้แค่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี!” หูหลงมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังพลางกล่าว
“น้ำใจของนายฉันเข้าใจดี ในเมื่อฉันรับนายให้ติดตาม ฉันก็จะนำนายไปสู่ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ แต่นี่เป็นสิ่งที่นายต้องพยายามด้วยตัวเอง ถ้าหากนายไม่เหมาะสมล่ะก็ ฉันจะให้นายจากไป” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สำหรับหูหลง เย่เทียนเฉินต้องการช่วยเขาจริงๆ นี่เป็นพี่น้องคู่หนึ่งที่มีชีวิตขมขื่น พ่อแม่ก็ตายไปแล้ว มีเพียงสองพี่น้องที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่หูหลงมีเลือดอันร้อนรุ่ม เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีหนทางที่จะเลื่อนตำแหน่ง ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงคิดที่จะช่วยเขาสักหน่อย แน่นอนว่านี่ต้องดูความสามารถของหูหลงด้วย
“ผมจะพยายามครับพี่ใหญ่!” หูหลงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
“ใช่แล้ว นายเคยได้ยินเรื่องอู๋เสวี่ยรึเปล่า?” เย่เทียนเฉินนึกถึงอู๋เสวี่ย อยากจะทำความเข้าใจอู๋เสวี่ยสักเล็กน้อย เนื่องจากเขาคิดว่าอู๋เสวี่ยเองก็ไม่ใช่นักฆ่าที่ชั่วร้าย มิฉะนั้นคงไม่ต่อสู้แตกหักกับตนเองอย่างเปิดเผยเช่นนั้น ทั้งยังไม่ลอบโจมตีอีกด้วย
ตัวเย่เทียนเฉินเองก็เป็นคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาคนหนึ่ง เป็นคนกล้าทำกล้ารับ นิสัยโดยกำเนิดก็เป็นเช่นนี้ ย่อมที่จะชื่นชมคนเช่นนี้ เขาให้อู๋เสวี่ยไปฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทา ไม่รู้ว่าอู๋เสวี่ยจะขายตนเองหรือจะไปฆ่าคนที่ตระกูลลั่วจริงๆ
“อู๋เสวี่ย? พี่ใหญ่ พูดถึงอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตูใช่ไหมครับ?” หูหลงมองเย่เทียนเฉินอย่างแปลกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเรื่องอู๋เสวี่ยขึ้นมา
“ใช่แล้ว รู้เรื่องเกี่ยวกับเขาไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางดื่มเบียร์ไปอึกหนึ่ง
หูหลงแม้จะไม่ทราบว่าเหตุใดพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินจู่ๆ ถึงได้ถามเรื่องเกี่ยวกับอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตูขึ้นมา แต่เรื่องของอู๋เสวี่ยนั้นเขาเคยได้ยินมาบ้าง หูหลงใช้ชีวิตอยู่ที่จิงตูไม่ใช่แค่วันสองวัน จะอย่างไรก็นับเป็นคนที่อยู่บนเส้นทางนี้ไปครึ่งตัว ดังนั้นช่องทางข่าวการก็ยังมีอยู่บ้าง
“รู้อยู่บ้างครับ อู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตู ได้ยินว่าเป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนจากพรรควรยุทธโบราณด้วย ตั้งแต่เด็กก็เป็นลูกชายคนเดียว ถูกชายเก็บขยะเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ จนอู๋เสวี่ยอายุได้สิบสองปี พ่อบุญธรรมของเขาก็อายุห้าสิบแล้ว เพราะฆ่าข่มขืนเลยโดนจับเข้าคุก จำคุกตลอดชีวิตอู๋เสวี่ยต้องการช่วยพ่อบุญธรรมของเขาออกมาโดยตลอด ดังนั้นจึงคอยช่วยกลุ่มอิทธิพลใหญ่และตระกูลใหญ่กระทำเรื่องราวต่างๆ ไม่งั้นด้วยฝีมือของเขา ไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นนี้!” หูหลงเปิดปาดพูด
“อืม พูดแบบนี้อู๋เสวี่ยเองก็เป็นคนเลือดร้อนคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะต้องการช่วยพ่อบุญธรรมของตนเองออกมา ก็จะไม่ช่วยพวกกลุ่มอิทธิพลใหญ่และตระกูลใหญ่ทำเรื่องต่างๆ สินะ”
“ใช่แล้วครับพี่ใหญ่ ผมได้ยินมาว่าอู๋เสวี่ยไม่ถือว่าตนเองเป็นพวกอิทธิพลใหญ่และตระกูลใหญ่พวกนี้ หากไม่ใช่เพราะจะช่วยพ่อบุญธรรมของตน ก็คงไม่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน อีกอย่างผมได้ยินว่าทุกครั้งที่เขาฆ่าคน ก็ล้วนแต่ไปอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และยังทำให้ความปราถนาของคนที่ถูกฆ่าสำเร็จอีกด้วย ช่างเป็นคนที่พิเศษจริงๆ!” หูหลงกล่าวพลางคิดว่าน่าเหลือเชื่อจนอยากหัวเราะอยู่บ้าง
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ตอนที่เขามาฆ่าฉัน ก็ใช้วิธีการเช่นนี้” เย่เทียนเฉินกล่าวหลางพยักหน้า
“อะไรนะ? พะ…พี่ใหญ่ อู๋เสวี่ยมาฆ่าพี่? เป็นตระกูลฉินส่งมาเหรอครับ?”
ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หูหลงก็มองเย่เทียนเฉินด้วยความสั่นสะท้านเป็นอย่างยิ่ง อู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งจิงตู ต่อให้เป็นฝีมือของพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินก็เกรงว่าหากต่อสู้กับอู๋เสวี่ยก็ต้องมีการต่อสู้ใหญ่ที่โหดร้าย ดังนั้นหูหลงอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับพี่ใหญ่เย่เทียนเฉิน
“ไม่ใช่ตระกูลฉินที่ส่งเขามาหรอก ฝีมือของอู๋เสวี่ยแข็งแกร่งมากจริงๆ แล้วเขาก็เป็นผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชามวยสิงอี้ของพรรควรยุทธโบราณด้วย ฉันเองก็ไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะเขามาได้ แต่เกี่ยวกับเขาคนนี้ออกจะแปลกๆ อยู่บ้าง นักฆ่าทั่วๆ ไปพอได้รับภารกิจมาก็ไปฆ่าคนเท่านั้น แต่เขากลับบอกคนที่จะถูกฆ่าว่าจะทำให้ความปราถนาของคนๆ นั้นสำเร็จและให้ทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ นี่ก็แปลกๆ อีกย่างดูท่าทางแล้วเขาไม่ต้องการฆ่าคนมั่วๆ ดังนั้นฉันก็เลยถามดูสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินอธิบาย
“พี่ใหญ่ พะ…พี่ร้ายกาจจริงๆ ขนาดอู๋เสวี่ยก็ไม่ใช่คู่มือของพี่ ต่อจากนี้พี่ก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของจิงตูแล้ว!” หูหลงกล่าวอย่างชื่นชม
“นายนี่นะ จะมายอดฝีมืออันดับหนึ่งไม่อันดับหนึ่งอะไรกัน ล้วนแต่เป็นชื่อเสียงจอมปลอม ฉันเชื่อว่าในโลกใบนี้ยังมีคนแข็งแกร่งอยู่มากมาย ฉันหวังว่าจะได้พบกับพวกเขา ไม่งั้นชีวิตนี้คงน่าเบื่อไม่มากก็น้อย!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางส่ายหัว
ในโลกก่อนนั้น ต่อให้เย่เทียนเฉินมีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ความสามารถแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ใช่คนที่หลงระเริงอวดดี ถึงอย่างไรในสิ่งต่างๆ ก็มีเรื่องให้เรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เหนือกว่าผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้ายังมีผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับเทพราชันอยู่ เป็นความสามารถที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว กระทั่งเย่เทียนเฉินยังต้องเงยหน้ามอง อีกทั้งในหมู่พรรควรยุทธโบราณ มนุษย์กลายพันธุ์ สัตว์กลายพันธุ์ และยังมีซอมบี้ กระทั่งสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จักชื่อ ก็ยังมีตัวตนที่แข็งแกร่งเกินพิกัดดำรงอยู่ เหนือมนุษย์ยังมีมนุษย์ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ประโยคนี้ไม่ว่าจะที่ไหนก็สามารถใช้ได้
“พี่ใหญ่ สะ…สอนผมสักหลายกระบวนท่าหน่อยได้ไหมครับ ผมรู้วาฝีมือของตัวเองยังอ่อนด้อย แต่ผมก็อยากจะพัฒนา ไม่อยากให้ตอนที่มีเรื่องอะไรก็เป็นตัวถ่วงของพี่ใหญ่…” หูหลงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างวางตัวไม่ถูก
“ฮี่ๆ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เพลงหมัดของฉันไม่เหมาะกับนาย รอคืนนี้ฉันกลับไป จะคิดเคล็ดวิชาวรยุทธโบราณที่เหมาะกับนายให้ จากนั้นค่อยมาสอนนาย!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับพี่ใหญ่!”
หูหลงกล่าวอย่างซาบซึ้ง เขาไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินจะใจกว้างเช่นนี้ ตอบรับคำขอร้องของตนเอง สำหรับพลังอำนาจของพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินนั้น หูหลงอยากที่จะไปให้ถึงจุดนั้นมากจริงๆ ขนาดอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตูก็ยังไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน จินตนาการได้เลยว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดไหน
สิ่งที่เย่เทียนเฉินกล่าวนั้นเป็นความจริง เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษ ไม่ใช่ยอดฝีมือของพรรควรยุทธโบราณ ดังนั้นจึงไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณมาก่อน ส่วนหูหลงนั้นเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษ ดังนั้นมีหลายกระบวนท่าที่ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา มีเพียงเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณของจีนที่สืบทอดกันมาหลายพันปีจึงจะเหมาะสมกับหูหลง อีกทั้งฝีมือของหูหลงแต่เดิมก็ไม่ได้อ่อนแอมากนัก หากว่าสามารถมีเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณที่เหมาะสมให้เขาฝึกฝน รวมกับการฝึกฝนพลังภายในแล้วล่ะก็ เชื่อว่าฝีมือของหูหลงในภายภาคหน้าจะต้องถูกเรียกว่าเป็นชั้นหนึ่งอย่างแน่นอน
ในโลกก่อนนั้น เย่เทียนเฉินได้ประมือกับยอดฝีมือที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณ แต่ก็ได้พบและเรียนรู้เคล็ดวิชาวรยุทธโบราณมาไม่น้อย เป็นวิชาที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หลายครั้งที่แม้กระทั่งเขาก็เกือบจะตาย ดังนั้นศิลปะการต่อสู้ของจีนกว้างขวางและลึกซึ้งมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถูกถ่ายทอดและสืบสานกันมาจนเป็นอมตะวิชา เป็นสิ่งที่มีหลักการแน่นอน มาถึงวันนี้ หลายคนคิดว่าพรรควรยุทธโบราณเลือนหายไปแล้ว ไร้การสืบทอด ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขายังดำรงอยู่โดยอาศัยวิธีการที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นหลังจากที่กลับไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็เตรียมที่จะย้อนคิดถึงความทรงจำดูสักหน่อยว่าในสมองของตนมีเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณที่ล้ำลึกอยู่บ้างหรือไม่ อย่างน้อยคิดให้ได้สักหนึ่งถึงสองกระบวนท่าที่แข็งแกร่ง ไปสอนให้หูหลง แล้วยังมีปัญหาอยู่อีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือหากไม่มีการสนับสนุนจากพลังภายใน พลังยุทธที่ฝึกฝนออกมาจะต้องลึกล้ำและหนาแน่นมากพอ ตอนที่ลงมือ โจมตีจุดตายครั้งเดียวก็มั่นใจได้ว่าจะสำเร็จ คิดไปคิดมาก็เป็นคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพรรคเส้าหลินแห่งเขาไท่ซานที่ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรภายในที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณ
ในปีนั้นที่โลกเดิม เย่เทียนเฉินก็เคยคิดอยากจะบำเพ็ญพลังยุทธ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ แต่หากว่าสามารถบำเพ็ญพลังยุทธให้แข็งแกร่ง ทำให้ร่างกายเข้มแข็ง รวมกับพลังพิเศษอันแข็งแกร่งของตนเองที่เป็นผู้มีพลังพิเศษอยู่แล้ว บางทีอาจจะสามารถพัฒนาขึ้นอีกขั้นก็เป็นได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นโลกนี้หรือโลกก่อน คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลินยากที่จะถูกคนภายนอกลอบเรียนรู้สอดแนม ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่ง อยากจะแอบดูคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลิน ก็ยังยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์
“ช่วงนี้นายกลับบ้านเก่าไปก่อนเถอะ ไม่ต้องตามฉันแล้ว” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นี่…พี่ใหญ่ พี่ไม่ต้องการให้ผมติดตามพี่แล้ว?” หูหลงกล่าวอย่างตึงเครียด
“เปล่า ช่วงนี้ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการ นายติดตามฉันตอนนี้คงไม่ค่อยสะดวกนัก รอให้ฉันแก้ไขปัญหาเบื้องหน้าหลายๆ อย่างได้ก่อน ก็จะเรียกตัวนายกลับมา” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด
………………………………………………….