เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 46 ตระกูลฉิน สองพ่อลูกฉินเหิง
“พี่ใหญ่ ผมรู้ว่าฝีมือของผมไม่แข็งเกร่ง อาจจะเป็นตัวถ่วงของพี่ ตระกูลฉินกับตระกูลลั่วผมคนเดียวสู้ไม่ได้ ช่วยอะไรพี่ไม่ได้เลย…”
หูหลงรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง เขาคิดว่าฝีมือของตนเองไม่แข็งแกร่งพอ ช่วยอะไรพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินไม่ได้เลย อำนาจอิทธิพลของตระกูลใหญ่เหล่านั้น ยังไม่ทันมีเรื่องอะไรก็ส่งอู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตูมาแล้ว เกรงว่าภายภาคหน้าจะมีคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ปรากฏ ตัวออกมา ด้วยฝีมือของหูหลงในตอนนี้ยังไม่มีประโยชน์อะไรมากมายนัก
เย่เทียนเฉินมองหูหลง เขาชื่นชมจิตวิญญาณลูกผู้ชายของหูหลง ต่อให้พ่อแม่ตายไปหมดแล้ว เขาในฐานะพี่ชายก็สาบานว่าจะปกป้องน้องสาวด้วยชีวิต บุคคลิกอันกล้าหาญของผู้ชายที่มีเลือดอันเร่าร้อนเช่นนี้ช่างทำให้ผู้คนอยู่ไม่สุขจริงๆ แต่ว่าหูหลงยังขาดความบ้าเลือดและความโหดเหี้ยม มิฉะนั้นด้วยฝีมือของเขา คนหลายคนที่หลี่เถี่ยส่งมาในวันนั้นย่อมไม่ใช่คู่มือของเขา จะได้รับบาดเจ็บที่ไหนกัน
“เสี่ยวหลง ในเมื่อฉันตอบรับให้นายติดตามฉัน ฉันก็จะเห็นนายเป็นพี่น้อง มีบางเรื่องที่ฉันไม่อยากปิดบังนาย ครั้งนี้ที่ฉันได้ล่วงเกินก็คือตระกูลใหญ่ของจิงตูสองตระกูล ตระกูลฉินและตระกูลลั่ว โดยเฉพาะตระกูลฉินที่มีแนวโน้มว่าจะได้กลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะไปหาเรื่องได้ ส่วนตระกูลลั่วก็มีอิทธิพลเข้มแข็ง ดังนั้นตระกูลใหญ่สองตระกูลนี้จะไม่ปล่อยฉันไปแน่นอน ต่อไปนี้จะมีเรื่องอันตรายมากมาย ฉันไม่รู้ แล้วก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่อย่างไรก็หลีกเลี่ยงการนองเลือดไม่ได้ พวกเราเป็นพี่น้อง แน่นอนว่าฉันไม่อยากให้นายต้องเสี่ยงอันตราย แล้วก็ไม่ได้ดดูถกนายหรือคิดว่านายเป็นภาระ!” เย่เทียนเฉินมองหูหลงอย่างจริงจังพลางกล่าว
“พี่ใหญ่ ผมไม่กลัวตาย ผมเต็มใจจะติดตามพี่ ขอเพียงสามารถช่วยพี่ได้ ต่อให้ตายผมหูหลงก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว!” หูหลงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
หูหลงเป็นชายเลือดร้อนคนหนึ่ง รู้จักตอบแทนบุญคุณความแค้น ตั้งแต่ตอนที่เย่เทียนเฉินช่วยชีวิตพวกเขาพี่ชายน้องสาว เขาก็ได้สาบานอยู่ในใจว่าจะตอบแทนเย่เทียนเฉิน อีกทั้งเขายังถูกฝีมืออันแข็งแกร่งทำให้สั่นสะท้าน ขนาดอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งจิงตูก็ถูกเย่เทียนเฉินทำให้พ่ายแพ้มาแล้ว หูหลงจะไม่ตื่นเต้นฮึกเหิมได้ที่ไหนกัน ติดตามพี่ใหญ่เช่นนี้ต้องมีอนาคตอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าสิ่งที่หูหลไม่ทราบก็คือ ตอนที่เย่เทียนเฉินต่อสู้กับอู๋เสวี่ยนั้น พลังพิเศษได้ทะลวงไปถึงระดับจอมราชันแล้ว พริบตาเดียวก็กระโดดไปถึงหนึ่งขอบเขตพลัง ความสามารถย่อมไม่เหมือนเดิม มิฉะนั้นหากต้องการเอาชนะอู๋เสวี่ยก็ยังมีความยากลำบากอยู่บ้างจริงๆ
“ฉันรู้ว่านายไม่กลัวตาย แต่ว่าพี่ใหญ่ไม่อยากให้นายเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ รอให้ฉันมีเวลาว่างสอนนายสักหลายกระบวนท่า จนฝีมือแข็งแกร่งพอแล้ว ฉันจะให้นายช่วยงานฉันแน่นอน อีกอย่างนายยังมีน้องสาวต้องดูแล ชีวิตคนเรามีห่วงมากขึ้นหนึ่งห่วง ก็จะมีความกังวลในเรื่องต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับคู่ต้อสู้ที่แข็งแกร่ง จำเป็นต้องคิดให้รอบคอบ ไม่สามารถใช้เส้นทางแห่งการฆ่าแก้ปัญหาได้”
เย่เทียนเฉินกล่าวคำพูดประโยคนี้ราวกับพูดให้หูหลงฟัง และก็ราวกับพูกให้ตนเองฟังด้วย ก็เหมือนกับตนเองที่ตอนนี้เผชิญหน้ากับการคุกคามของอำนาจจากตระกูลลั่วและตระกูลฉินซึ่งเป็นสองตระกูลใหญ่ หากเขาเดินบนเส้นทางแห่งการฆ่าฟันสุดโต่งและฆ่าคนของตระกูลลั่วและตระกูลฉินทั้งหมด เกรงว่าคงจะสั่นสะเทือนทั่วทั้งจีน ถึงตอนนั้นชีวิตแต่ละวันของตระกูลเย่คงไม่ได้ผ่านไปด้วยดีแน่ ถึงอย่างไรตระกูลลั่วและตระกูลฉินยังมีคนในระดับสูงอยู่ด้วย ส่วนเย่เทียนเฉินต่อให้ตอนนี้แข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด เขาได้เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ยังไม่ทราบว่าในหมู่พรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษ จะมีผู้แข็งแกร่งเช่นไรปรากฏตัวอยู่
หากว่าเขาทำการฆ่าตระกูลลั่วและตระกูลฉินครั้งใหญ่จริงๆ แล้วเวลานั้นปรากฏคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้จะทำอย่างไร? บางทีเขาอาจจะสามารถปกป้องตนเองได้ หรืออาจถึงกับฆ่าคู่ต่อสู้ทั้งหมดได้ แต่ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง พ่อแม่และน้องสาวก็เกรงว่าจะไม่มีโชคขนาดนั้น เย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง เป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาด หลักการของเขาคือกระทำตามหลักการมิสนใจตัวคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสมอง ไม่ว่าจะเวลาใด ยอดฝีมือที่ไม่มีสมองก็ถูกเรียกได้แค่เพียงชายมุทะลุเท่านั้น คนฝีมือแข็งแกร่งและรู้จักใช้สมองยามเผชิญเรื่องต่างๆ ถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง
“พี่ใหญ่ ผมรู้แล้ว ผมจะไม่ทำให้พี่ต้องผิดหวัง!” หูหลงกล่าวพลางพยักหน้า
“อืม พรุ่งนี้นายก็ออกเดินทางจากจิงตูไปเถอะ ไม่ได้รับโทรศัพท์ของฉันก็ไม่ต้องกลับมา เพราะช่วงนี้ฉันคงมีการต่อสู้จริงๆ กับตระกูลลั่วและตระกูลฉิน รอให้ถึงตอนที่จวนจะจัดการเรื่องต่างๆ ได้แล้ว ฉันจะบอกให้กลับมาที่จิงตู” เย่เทียนเฉินกล่าวกับหูหลงด้วยรอยยิ้ม
“ครับพี่ใหญ่!”
เย่เทียนเฉินและหูหลงทั้งสองดื่มเบียร์กินบาร์บีคิวอยู่ที่ร้านบาบีคิวข้างทาง พูดคุยกันถึงเรื่องราวในจิงตู อีกทั้งในส่วนของหูหลงยังขอให้เย่เทียนเฉินชี้แนะเกี่ยวกับปัญหาว่าทำอย่างไรจึงจะเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างสะดวก เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ตระหนี่ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ ถนัดการยกระดับพลังพิเศษมากกว่า แต่ไหนแต่ไรก็ใช้กระบวนท่าพลังพิเศษอันแข็งแกร่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับความสามารถแบบใด สุดท้ายก็เป็นการทำเพื่อให้ร่างกายของตนแข็งแกร่ง ผู้มีพลังพิเศษก็ดี ยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณก็ใช่ ต่างก็สามารถหล่อหลอมร่างกายตนเองได้ กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ผู้มีพลังพิเศษสามารถขับเคลื่อนพลังธรรมชาติมาหล่อหลอม ยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณก็ฝึกฝนพลังภายในและวรยุทธเพื่อหล่อหลอม ทั้งสองต่างกันแต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างคล้ายกัน ดังนั้น เย่เทียนเฉินจึงนำวิธีการฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสอนให้หูหลงไป
ในเวลานี้ ท่ามกลางเขตคฤหาสน์ที่พิเศษมากเขตหนึ่ง คฤหาสน์หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณภายศูนย์กลางยังคงมีแสงไฟสว่างจ้า นั่นก็คือบ้านหลักตระกูลฉิน
ที่บอกว่านี่เป็นเขตคฤหาสน์ที่พิเศษมากเขตหนึ่ง ก็เพราะผู้ที่อาศัยอยู่ภายในเขตคฤหาสน์นี้ หากไม่ใช่บุคคลสำคัญของจิงตูก็เป็นเหล่าผู้มีอำนาจอิทธิพลและตระกูลใหญ่ต่างๆ และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นถึงจะได้เสพสุขกับการปฏิบัติเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ตระกูลลั่วก็ไม่สามารถมีได้ ตระกูลเย่ที่ตกต่ำก็ยิ่งสัมผัสไม่ได้
บริเวณบ้านหลักตระกูลฉิน ภายในคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ชายวันกลางคนคนหนึ่งมองไปเบื้องหน้าด้วยใบหน้าชั่วร้ายพลางขมวดคิ้ว ดูราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เบื้องล่างยังมีชายวัยรุ่นคนหนึ่งสวมชุดแบรนด์เนมทั้งตัว พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นพ่อลูกกัน ชายวัยกลางคนชื่อฉินเทาหยวน ชายวัยรุ่นนชื่อฉินเหิง สองพ่อลูกคู่นี้เพิ่งจะได้รับข่าวว่า หลี่เถี่ยสมุนที่เป็นสุนัขรับใช้ถูกคนฆ่าตายไปแล้ว
“ลูกเหิง เรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไอ้เศษสวะหลี่เถี่ยทำไมจู่ๆ ก็ถูกคนฆ่าตายได้ล่ะ?” ฉินเทาหยวนมองฉินเหิงลูกชายของคนพลางกล่าวถาม
“พ่อ เรื่องนี้ ผม ผมก็ไม่ทราบแน่ชัด กะ…ก็ได้ยินคนข้างล่างรายงานขึ้นมาเหมือนกัน…” ทุกครั้งที่ฉินเหิงกล่าวจมูกของเขาจะกระตุกเล็กน้อย ราวกับเพิ่งจะเสพกัญชามาก็มิปาน
เพียะ!
ฉินเทาหยวนใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ กล่าวด่าอย่างโหดร้ายว่า “ไอ้ลูกคนนี้ทั้งวันรู้จักแต่เสพของเล่นพวกนั้นกับเล่นดาราหญิง ไม่ก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง คิดถึงอนาคตในภายภาคหน้าบ้างไหม?”
ฉินเหิงเห็นว่าบิดาของตนโกรธเช่นนั้น ก็ราวกับชินไปตั้งนานแล้ว นั่งลงบนโซฟา ขาทั้งสองไขว่ห้าง หยิบซิการ์ออกมามวนหนึ่ง ในซิการ์มวนนี้ใส่ของบางอย่างที่ทำให้คนล่องลอยได้เอาไว้ เขาควบคุมอาการลงแดงของตนเองไม่ได้อีกแล้ว ต้องอัพยาสักหน่อยถึงจะดีขึ้น
เห็นท่าทางเช่นนี้ของลูกชาย ฉินเทาหยวนโกรธจนทนไม่ไหว เดินเข้าไปใช้มือตบซิการ์ในมือฉินเหิงจนร่วง ใช้เท้าเหยียบลงบนโซฟาอย่างรุนแรงพลางกล่าวด่าต่อไปว่า “แกตื่นสักหน่อยได้ไหม? ตอนนี้มันเวลาอะไรแล้ว แกอยากจะให้ชีวิตทั้งชีวิตของแกถูกไอ้ของนี่ทำลายรึไง?”
“พ่อ ทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วย ตอนนี้ตระกูลฉินของพวกเรามีพ่อเป็นผู้นำ พ่อมีผมเป็นลูกชายคนเดียว พอถึงเวลาก็ต้องส่งต่อตระกูลให้ผมแน่นอนอยู่แล้ว ด้วยอำนาจของตระกูลฉินของพวกเรา ใครจะกล้ามาหาเรื่อง? ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเสื้อผ้าไปชั่วชีวิต ทำไมต้องกังวลขนาดนี้ด้วย สู้เล่นของ เล่นหญิง มีความสุขจะตาย!” ฉินเหิงหยิบซิการ์ออกมาจากบริเวณอกอีกมวนขึ้น คราวนี้ไม่รอให้ฉินเทาหยวนได้ห้ามก็จุดขึ้นสูบเข้าไปแล้ว
“แก…แกรู้ไหม เดือนหน้าแกก็จะต้องหมั้นกับฉีหรูเสวี่ยแห่งตระกูลฉีแล้ว ถ้าหากว่าถูกตระกูลฉีเห็นท่าทางแบบนี้ของแก เกรงว่าเรื่องการหมั้นครั้งนี้จะยากซะแล้ว!” ฉินเทาหยวนคำรามเสียงดังด้วยความโกรธ
“ตระกูลฉี? พ่อ อำนาจของตระกูลฉีสู้ตระกูลฉินของพวกเราไม่ได้ ถ้าหากไม่เป็นเพราะได้ยินมาว่าความงามของฉีหรูเสวี่ยไม่เป็นรองหลิ่วหรูเหมยสาวงามอันดับหนึ่งแห่งจิงตู ผมก็คงไม่เต็มใจที่จะหมั้นกับตระกูลฉีหรอก แต่ก็ดี ลิ้มลองรสชาติของฉีหรูเสวี่ยคนนี้สักหน่อยว่าเป็นไง ถ้าหากว่าเป็นไปได้ล่ะก็ ทำให้หลิ่วหรูเหมยมาอยู่ในมือด้วยก็ยิ่งดี!”
ฉินเหิงยิ่งพูดก็ยิ่งลามก ยิ่งพูดก็ยิ่งอุกอาจ ขอเพียงพูดถึงเรื่องผู้หญิง เขาก็จะตาเป็นประกาย ภายในพื้นที่ของจิงตูแห่งนี้ อำนาจของตระกูลฉินมิอาจกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่มากมาย แต่ก็ไม่นับว่าเล็ก ฉินเหิงที่มีนิสัยลามกโดยกำเนิด ไม่ทราบว่ากระทำชำเราผู้หญิงในครอบครัวที่ดีไปแล้วกี่คน ในที่สุดก็มีครั้งหนึ่ง ที่เดรัจฉานคนนี้ข่มขืนเด็กหญิงที่เพิ่งจะอายุสิบแปดปีจนเจ็บปวดถึงแก่ความตาย ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจเป็นอย่างมาก รัฐถึงได้จับฉินเหิงเข้าคุก ตัดสินจำคุกห้าปี
ฉินเหิงที่ออกมาจากคุกแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่มีความสำนึกผิด แต่กลับกลายเป็นแย่ลงกว่าเดิม ขอเพียงแค่เป็นผู้หญิงที่ถูกใจเขา ก็จะคิดทุกวิถีทางเพื่อทำให้มาอยู่ในมือให้ได้ ต่อให้เป็นการบีบบังคับจูงใจก็ดี หรือจะเป็นมอมยาลักพาตัวก็ดี ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่มีมนุษยธรรมเลยแม้แต่ครึ่งส่วน
ฉินเทาหยวนตบลงบนใบหน้าของฉินเหิงครั้งหนึ่ง ทำให้ฉินเหิงที่กำลังสูบซิการ์พลันถูกตบจนมึนงง ยังไม่ทันได้มีปฏิกริยาอะไรก็ถูกฉินเทาหยวนด่าอย่างรุนแรง
“แกบ้าไปแล้วรึไง? อยากทำร้ายตระกูลฉินให้ตายใช่ไหม? ตระกูลหลิ่วมีสถานนะยังไง? ผู้อาวุโสตระกูลหลิ่วเป็นถึงรองผู้นำระดับชาติ บิดาจะขอเตือนแกไว้ตอนนี้เลย อย่าไปสนใจหลิ่วหรูเหมย ไม่งั้นใครก็ช่วยแกไม่ได้!” ฉินเทาหยวนเปิดปากด่าอย่างโหดร้าย
ได้ยินคำพูดของฉินเทาหยวนผู้เป็นบิดา ฉินเหิงก็ยู่ปาก กล่าวตามจริงแล้วเขาอยากจะใกล้ชิดกับหลิ่วหรูเหมย สาวงามอันดับหนึ่งแห่งจิงตู ชายใดบ้างที่จะไม่อยากรักใคร่ลึกซึ้งกับเธอ? หากไม่ใช่ว่าอำนาจที่ปกป้องหลิ่วหรูเหมยนั้นยิ่งใหญ่เกินไป เกรงว่าคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างฉินเหิงก็คงกล้าลงมือกับหลิ่วหรูเหมยไปแล้ว
“หลิ่วหรูเหมยผมไม่กล้าไปสนใจหรอก แต่แม่งอยู่ดีๆ ก็ถูกไอ้เศษสวะไม่เอาไหนของตระกูลเย่แอบดู บิดาอยากจะฆ่าไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินให้ตายด้วยตัวเองจริงๆ แต่ที่ผมไม่เข้าก็คือ อำนาจของตระกูลฉีไม่อาจเทียบตระกูลฉินของพวกเรา ทำไมต้องหมั้นกับตระกูลฉีด้วย…” ฉินเหิงกล่าวอย่างไม่สบายใจอยู่บ้าง
“วันๆ แกไม่ยอมศึกษาเล่าเรียน จะไปรู้เรื่องอะไร? อำนาจของตระกูลฉีไม่อาจเทียบตระกูลฉินของพวกเรา แต่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้อาสุโสตระกูลฉีมีคนอยู่ระดับบนๆ มีความเป็นได้ว่าจะช่วยตระกูลฉินของพวกเราได้ แกเข้าใจไหม?” ฉินเทาหยวนคำรามใส่ฉินเหิงผู้เป็นลูกด้วยความโกรธจนไม่รู้จะทำอย่างไร
…………………………………………………………………..