เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 498 จนใจที่มีแม่นางดอกท้อห้อมล้อม
ฟ่านรั่วเซวียนมาที่ตระกูลเย่ยังจะมีจุดประสงค์อะไรได้อีก? ตั้งแต่ที่เธอใช้กระบองตีหลีซิ่นจนสลบ ช่วยเหลือซูเฟยเฟย จนกระทั่งเย่เทียนเฉินมองมาที่เธอ สายตาของฟ่านรั่วเซวียนก็ไม่ได้เป็นมิตรอะไรเลย เย่เทียนเฉินย่อมคาดเดาได้บ้าง
ก่อนหน้านี้ไม่นานฟ่านชิงอวี่ซึ่งเป็นผู้อาวุโสตระกูลฟ่านมีความคิดที่จะให้ฟ่านรั่วเซวียนแต่งงานกับเย่เทียนเฉิน พูดให้ชัดเจนก็คือถูกใจเย่เทียนเฉิน นับเป็นการร่วมมือกันทางผลประโยชน์ระหว่างตระกูลใหญ่เท่านั้น มิฉะนั้นฟ่านรั่วเซวียนสวยขนาดนี้ ต่อให้เย่เทียนเฉินจะหล่อกว่านี้เป็นหมื่นเท่าก็เกรงว่าคงไม่อยู่ในรายชื่อเจ้าบ่าว ระหว่างตระกูลใหญ่ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์เช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องหน้าตา ดังนั้นอย่าคิดว่าเกิดในตระกูลใหญ่ที่มีเกียรติยศและความร่ำรวยให้เสพสุขไม่หมดสิ้นแล้วจะเป็นเรื่องดีทั้งหมด มีหลายเรื่องที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ถ้าโชคไม่ดีถูกคุณหนูอัปลักษณ์ของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งต้องใจ หรือบางทีทางตระกูลออกคำสั่งมา ถ้างั้นคุณก็จะต้องร้องไห้ไม่จบสิ้นไปชั่วชีวิต มีหลายเรื่องที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ยังสู้คนธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำ
เย่เทียนเฉินรู้ว่าฟ่านรั่วเซวียนมาหาถึงประตูเพราะตนกล่าวว่าเธอเป็นผู้หญิงอัปลักษณ์ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินไม่เข้าใจก็คือ ทำไมผู้หญิงถึงได้ใจแคบขนาดนี้? โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงสวยๆ ยิ่งใจแคบ วันนั้นตนไม่คิดจะแต่งงานกับตระกูลฟ่านดังนั้นจึงพูดไปตามใจ คิดไม่ถึงว่าหลังจากน้ฟ่านรั่วเซวียนรู้เข้าจะมาหาด้วยตัวเอง ทำให้เย่เทียนเฉินไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจริงๆ
“ไม่ใช่คนดีงั้นเหรอ งั้นให้ฉันดูหน่อยสิว่านายจะไม่ดีถึงขนาดไหนกันแน่…” ในขณะที่ฟ่านรั่วเซวียนพูดก็วางมือขวาลงบนกระดุมด้านหน้ากี่เพ้าปักลายมังกรสีแดงของตน
“นี่…เธอจะทำอะไร เรื่องไร้มโนธรรมฉันไม่ฟัง ไม่ดู ไม่พูด…ฉันไม่ใช่คนง่ายๆขนาดนั้น ไม่ดูหรอก อย่าทำแบบนี้!” เย่เทียนเฉินคิดว่าฟ่านรั่วเซวียนจะถอดเสื้อของตัวเองจึงรีบพูดเสียงดัง
ฟ่านรั่วเซวียนกรอกตาใส่เย่เทียนเฉิน เนื่องจากในตอนที่เจ้าหมอนี่พูดประโยคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “เรื่องไร้มโนธรรมไม่ดู” แต่เขากลับไม่ทำแบบนั้นเลย กลับเบิกตาทั้งสองกว้าง จ้องมาที่หน้าอกตระหง่านของฟ่านรั่วเซวียน สองดวงตาทั้งสองเปล่งประกายตามสัญชาตญาณผู้ชาย
“นายคิดว่าฉันจะทำอะไร ฉันแค่อยากจะบอกนะว่า ไม่ได้เห็นฉันนับเป็นความสูญเสียของนายแล้ว…”
พูดจบฟ่านรั่วเซวียนก็หมุนตัวไป พริบตาเดียวชุดกี่เพ้าสีแดงปักลายมังกรบนร่างก็ถูกถอดออก เย่เทียนเฉินพลันเบิกตาทั้งสองกว้างแล้วมองไป ได้ดูสาวงามฟรีๆ ไม่นับเป็นการสูญเสียอะไรกับตน แล้วทำไมจะไม่ดูล่ะ? ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากฟ่านรั่วเซวียนถอดชุดกี่เพ้าปักลายมังกรสีแดงไปแล้ว ด้านในยังสวมชุดนอนเดรสสีชมพูเอาไว้อีกตัวหนึ่ง ผิวงามคล้ายปรากฏคล้ายปิดซ่อน ร่างกายมีส่วนโค้งเง้า โดยเฉพาะก้นใหญ่ๆของเธอที่ดูจะมากมายเป็นพิเศษ สำหรับเย่เทียนเฉินที่ชอบบั้นท้ายของผู้หญิงนับเป็นสิ่งล่อตาล่อใจจริงๆ
“ก้นไม่เลวเลย สมบูรณ์จริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะ
“น่ารังเกียจ!”
ตอนนี้เอง ด้านข้างมีเสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้เย่เทียนเฉินตกใจ เนื่องจากซูเฟยเฟยฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่เขากลับไม่รู้ตัว มือขวายังวางแปะอยู่บนเสื้อกล้ามของซูเฟยเฟย ปต่ดวงตาทั้งสองกลับจ้องก้นของฟ่านรั่วเซวียน ความจริงรูปร่างของฟ่านรั่วเซวียนร้อนแรงมาก โดยเฉพาะบั้นท้ายของเธอ เป็นบั้นท้ายที่น่าดึงดูดที่สุดเท่าที่เย่เทียนเฉินเคยเห็น อยากจะต่อต้าน
“ฮ่าๆ เธอตื่นแล้วเหรอตื่นแล้วก็ดีไม่เป็นไรใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินหัวเราะ มองไปทางซูเฟยเฟยแล้วพูดขึ้น
ซูเฟยเฟยมองเย่เทียนเฉิน ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วหันไปมองฟ่านรั่วเซวียนที่มีร่างกายร้อนแรง พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ร่างกายของคุณฟ่านไม่เลวเลย แต่ดูเหมือนการโชว์แบบนี้จะไม่ค่อยถูกต้องนะ?”
“คนเราชีวิตสั้นแค่ไม่กี่สิบปี มีรูปร่างดีแล้วไม่โชว์จะรอให้แก่จนหนังเหี่ยวค่อยโชว์หรือไง? แน่นอนว่าถ้าไม่มีรูปร่างดีๆก็ไม่ต้องโชว์หรอก” ฟ่านรั่วเซวียนสวมชุดกี่เพ้าปักลายมังกรสีแดงของตนแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เธอ…เธอว่าใครรูปร่างไม่ดี?” ซูเฟยเฟยมองไปยังฟ่านรั่วเซวียนแล้วเอ่ยถาม
“ฉันไม่ได้พูดถึงเธอ แต่ถ้าเธอจะรับฉันก็ไม่ว่า” ฟ่านรั่วเซวียนไหวไหล่เบาๆแล้วพูดด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย
“งั้นเหรอ? ต่อให้รูปร่างของเธอจะดีขนาดไหน ก้นจะใหญ่ขนาดไหน เย่เทียนเฉินก็ไม่ถูกใจเธอหรอก ตอนนี้ตระกูลใหญ่ที่อยากจะเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลเย่เกรงว่าคงมีไม่น้อย เธอไม่เข้าตาหรอก”
“ฉันไม่เข้าตา? แล้วเธอเข้าตารึไง? ตระกูลฟ่านของเธอก็อยากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลเย่เหรอ?”
“นั่นไม่เหมือนกัน ฉันกับเทียนเฉินคบกันอย่างอิสระ เรื่องบีบบังคับแบบที่พวกเธอทำนั้นไม่มีหรอก มันไร้ศักดิ์ศรีเกินไป”
“ตกลงใครจะเข้าตากันแน่ ฉันกับเธอบอกไม่ได้หรอก ต้องให้เค้าบอก…”
ซูเฟยเฟยและฟ่านรั่วเซวียนเรียกได้ว่าไม่มีใครยอมถอยให้ใคร หากพูดกันตามเหตุผลนับเป็นเรื่องไม่สมควร พวกเธอเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลใหญ่ อุบายและความฉลาดต้องมากกว่าผู้หญิงทั่วไปอยู่แล้ว ดูเหมือนจะไม่เคยเกิดเหตุการณ์หึงหวงอะไรกันมาก่อน เพียงแต่ในตอนที่ความรักมาเยือน แม้แต่จักรพรรดิก็ยังบ้าคลั่ง ต่างก็สูญเสียสตินึกคิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย? ขอเพียงเป็นมนุษย์ ต่อให้ร้ายกาจขนาดไหนก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยเฉพาะในหลายครั้งที่การต่อสู้ระหว่างผู้หญิงยังน่ากลัวยิ่งกว่าการต่อสู้ระหว่างผู้ชายซะอีก
“นายว่าไง…”
“นายว่าไง…”
ดูเหมือนซูเฟยเฟยและฟ่านรั่วเซวียนจะหันไปคาดคั้นถามเอากับเย่เทียนเฉินพร้อมกัน ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่พวกเธอหันไปกลับพบว่าในห้องไม่มีเงาของเย่เทียนเฉินอยู่เลย เจ้าหมอนี่ไม่รู้ว่าหนีไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เหลือแค่ซูเฟยเฟยและฟ่านรั่วเซวียนสองคนที่ทะเลาะอยู่ในนี้ไม่หยุด
“เห้อ เดิมทีฉันก็เป็นคนใจดีบริสุทธิ์ จนใจที่มีแม่นางดอกท้อมาห้อมล้อม!”
บ้านเดิมตระกูลเย่ บนระเบียงทางเดินที่ไร้ซึ่งผู้คน เย่เทียนเฉินเดินไปด้านหน้าช้าๆ ส่ายหน้าพูดพึมพำกับตนเอง ทันใดนั้นเขาได้กลิ่นหอมของอาหารพลันหายไปจากที่เดิมในพริบตา ปรากฏตัวอยู่ที่ตำแหน่งบริการอาหารสำหรับต้อนรับแขกที่มาบ้านเดิมตระกูลเย่
“เชฟครับ เอาปีกไก่ย่างให้ผมสองชิ้น…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เมืองหลวง ภายในเขตคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่มีเพียงลูกพี่ใหญ่ในวงการทหารถึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะเข้ามาได้ ถ้าเป็นคนอย่างฟ่านชิงอวี่หรือซูเทียนเหอยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้ามา บริเวณคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่มีการคุ้มครองแน่นหนาตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งแปดทิศมีทหารถือปืนยืนอยู่แปดนาย ทั้งหมดต่างเป็นคนที่มาจากหน่วยรบพิเศษ หากพูดกันตามเหตุผล มีเพียงผู้นำระดับสูง มีเพียงผู้นำสูงสุดถึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะได้รับการปกป้องจากทหารเช่นนี้ แต่คนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ทหารแห่งนี้เป็นผู้อาวุโสที่ท่านผู้นำสูงสุดให้ความเคารพ ดังนั้นจึงได้จัดเตรียมกองกำลังแบบนี้ได้เพื่อใช้ปกป้องผู้อาวุโสที่เสียสละมาทั้งชีวิต
“เป็นใครที่ทำให้ซิ่นเอ๋อร์เป็นแบบนี้?” ชายชราที่ผมและเคราขาวโพลนคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน อายุประมาณ 70 กว่าปี ดูท่าทางซูบผอมแต่ดวงตาทั้งสองยังเปล่งประกาย มีความบ้าบิ่นเผด็จการ สวมชุดทหาร มีมาดเคร่งขรึมของทหารแผ่ออกมาเต็มที่
“เป็น เป็นตระกูลเย่ให้คนมาส่งครับ ผู้อาวุโสตระกูลเย่บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด หวังว่าสองตระกูลจะเข้ากันได้ดี” ทหารนายหนึ่งรายงาน
“ตกลงเกิดอะไรกันแน่? บอกมาให้ละเอียด” ทหารชราพูดอย่างเคร่งขรึม
ชายชราคนนี้ก็คือปู่ของหลีซิ่นและเป็นผู้อาวุโสที่ซูเฟยเฟยบอกว่าสามารถนั่งในระดับเดียวกับหยางอี้ผู้เป็นประธานคณะกรรมาธิการทหารได้ กระทั่งท่านผู้นำสูงสุดก็ยังเคารพ ชื่อว่าหลีเจี่ยน นี่เป็นผู้อาวุโสที่เสียสละมากคนหนึ่ง ทำเพื่อประชาชนเพื่อประเทศชาติมาชั่วชีวิต ลูกทั้งสามของเค้าล้วนตายในสนามรบ แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้เค้าก็ไม่ยอมเกษียณจนกระทั่งอายุ 70 กว่าปี ถึงจะยอมถอยมาหลายปีก็ยังให้ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของตนในเรื่องกองทัพ ชายชราคนนี้เป็นคนที่รอดมาจากสงครามการฆ่าฟัน มีนิสัยดีเดือดบ้าบิ่น เป็นคนที่ตบโต๊ะพูดคุยกับท่านผู้นำสูงสุดได้ เด็ดเดี่ยวแน่วแน่มาชั่วชีวิต
ตอนนี้หลีเจี่ยนเห็นหลีซิ่นซึ่งเป็นหลานเพียงคนเดียวของตนถูกทำให้ตกใจจนสลบไป มีทหารสองคนหามเข้ามาแบบนั้นพลันต้องขมวดคิ้ว หลีซิ่นเป็นหลานชายเพียงหนึ่งเดียวของเค้า ไม่ว่าหลานคนนี้จะไม่รู้ความหรือจะดื้อด้านอย่างไรเค้าก็จะปกป้อง จะอย่างไรนี่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวที่ตระกูลหลีเหลืออยู่ ไม่สามารถปล่อยให้ตระกูลขาดในมือตนได้ มิฉะนั้นหลีเจี่ยนตายไปคงไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษตระกูลหลีแน่นอน
“ตระกูลเย่? ตระกูลเย่ไหน?” หลีเจี่ยนขมวดคิ้วถาม
“ก็คือเย่หย่วนซานครับ” ทหารที่ยืนอยู่หน้าหลีเจี่ยนเอ่ยปากตอบ
“เย่หย่วนซาน? เค้าจะนับเป็นอะไรได้ ถึงกับปล่อยให้หลานของเค้ามาทำร้ายหลานของฉัน ฉันไม่เชื่อว่าจะทำอะไรไม่ได้” หลีเจี่ยนตบโต๊ะพูดเสียงดัง
“รายงานครับ ความจริงเรื่องนี้…”
“แกไม่ต้องพูดแล้ว ฉันรู้หมดแล้ว ตอนนี้เรียกคนของหน่วยอารักขามารวตัว ให้ไปจับตัวเย่เทียนเฉินหลานของเย่หย่วนซานที่ตระกูลเย่มาให้ฉันซะ” หลีเจี่ยนพูดขัดคำพูดของทหารคนนั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและเคร่งขรึม
“นี่…”
“นี่คือคำสั่ง!”
“ครับ!”
ทหารคนนั้นเดินออกไปจากห้องทำงาน รวมคนของหน่วยอารักขาทั้งสามสิบกว่าคน แต่ละคนพร้อมไปด้วยอาวุธปืน หลังจากรวมตัวเรียบร้อยก็ขับรถทหารออกไป เป้าหมายของพวกเขาก็คือบ้านตระกูลเย่ จะไปจับคนที่ตระกูลเย่ จับเย่เทียนเฉิน
หลีเจี่ยนเห็นทหารคนนั้นออกไปก็ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างกายหลีซิ่นหลานของตนที่ยังสลบอยู่ ส่ายหน้าแล้วทอดถอนใจ กล่าวว่า “ซิ่นเอ๋อร์ เมื่อไหร่หลานจะรู้จักโตสักที? เวลาของปู่เหลือไม่มากแล้ว ที่ปู่พยายามคุ้มครองตระกูลหลีสุดกำลังเพราะต้องการสร้างรากฐานที่ดีให้หลาน ที่ให้ไปจับตัวเย่เทียนเฉินโดยไม่ถามความเป็นมาเป็นไปให้กระจ่างเพราะต้องการทำให้ชื่อเสียงตระกูลหลีของพวกเราโด่งดังเป็นครั้งสุดท้าย ต่อให้ปู่ตายไปก็จะไม่มีตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ไหนกล้ามาแตะต้องหลานอีก รีบโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว ปู่ยืนหยัดได้ไม่นานจริงๆ นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว…”