เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 501 สู้กับหัวหน้ากองกำลัง
“นายก็คือเย่เทียนเฉินงั้นเหรอ?” หวังเฟิงขมวดคิ้ว มองไปยังเย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่บนกำแพงบ้านตระกูลเย่ กำลังกัดกินปีกไก่ย่างในมือ
เย่เทียนเฉินไม่ได้ตอบคำถามของหวังเฟิงทันที แต่สายหน้าก่อนจะพูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน รอให้ฉันกินปีกไก่นี่เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังไม่ว่าง”
หวังเฟิงชะงักไป มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยสายตาดุดัน คิดในใจว่าเจ้าหมอนี่จะโอหังเกินไปแล้ว ตกลงโง่จริงหรือแกล้งทำเป็นสงบนิ่งกันแน่? บ้านตระกูลเย่ของตนถูกกองกำลังพร้อมด้วยอาวุธปืนทั้งสามสิบนายล้อมเอาไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการมาจับตัวเขา ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาไม่เชื่อฟังก็แน่นอนแล้วว่าจะเปิดฉากยิง ตอนมาหลีเจี่ยนมอบอำนาจนี้ให้หวังเฟิงแล้ว เพียงแต่หวังเฟิงคิดว่าคราวนี้เป็นงานวันเกิดอายุครบ 75 ปีของเย่หย่วนซาน ด้านในมีคนใหญ่คนโตอยู่มาก มีเจ้าตระกูลอยู่มาก ถ้าต้องเปิดฉากยิงจริงๆ คงเป็นเรื่องวุ่นวายที่หนักหนาที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศจีน เกรงว่าหลีเจี่ยนจะรับไม่ไหว
ดังนั้นหวังเฟิงจึงไม่ได้เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม เขาต้องการจับตัวเย่เทียนเฉินเท่านั้น ถ้าต้องล่วงเกินตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่มากมายเพียงเพราะเหตุนี้คงไม่คุ้มค่า
“ฉันว่านายคงรู้สาเหตุที่ฉันพาคนมาแล้ว ตามฉันไปพบประธานหลีดีๆ เถอะ ฉันจะไม่แตะต้องคนตระกูลเย่คนอื่นของนาย” หวังเฟิงมองไปยังเย่เทียนเฉินที่กำลังกินปีกไก่ย่าง พูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“นี่เป็นการเชิญหรือบีบบังคับล่ะ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างเรียบเฉย
“นายจะเข้าใจยังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้ต้องไปกับฉันก่อน ไม่งั้นฉันจะไม่เกรงใจ พูดได้ก็ทำได้” หวังเฟิงมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างเย็นชา
“แป๊บนะอีกเดี๋ยวจะกินเสร็จแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดกับหวังเฟิงด้วยรอยยิ้ม
ในใจหวังเฟิงเกิดโทสะขึ้นมาแล้ว เดิมทีเขาไม่อยากลงมือ ขอเพียงพาตัวเย่เทียนเฉินกลับไปให้หลีเจี่ยนได้ก็นับว่ามีคำอธิบายแล้ว แต่เมื่อเผชิญกับความเหลาะแหละและความโอหังของเย่เทียนเฉิน ตอนนี้ตนต้องการมาจับกุมเขา ทั้งยังพากำลังคนมามากขนาดนี้ แต่ละคนติดอาวุธครบมือ เย่เทียนเฉินกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา จะดูถูกเขาหวังเฟิงเกินไปหรือไม่?
บนโลกใบนี้ คนที่เผชิญหน้ากับทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดติดอาวุธครบมือสามสิบกว่าคนแล้วยังสามารถพูดจาสงบนิ่งขนาดนี้ได้ ทั้งยังสามารถกินไก่ย่างอย่างนิ่งเฉยขนาดนี้ได้คงไม่มีใครนอกจากเย่เทียนเฉินอีกแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นการกระตุ้นความโกรธของหวังเฟิงถึงขีดสุด จะไม่เห็นเขาและกองกำลังของเขาอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว
“ดูแล้วก่อนจะพาตัวนายไป จะต้องสั่งสอนนายแรงๆ สักครั้ง…”
ฟุ่บ! หวังเฟิงพูดจบก็พุ่งไปยังกำแพงบ้านเดิมตระกูลเย่ในเวลาเพียงชั่วพริบตา บนกำแพงมีเย่เทียนเฉินนั่งอยู่ เขาซัดหมัดไปบนกำแพงครั้งหนึ่ง เกิดเสียงดังสนั่น กำแพงยาวสิบกว่าเมตรหนาเกือบครึ่งเมตรถูกหวังเฟิงใช้หมัดต่อยจนแหลกเป็นผุยผงไปง่ายๆ เพียงแต่ในตอนที่หวังเฟิงเงยหน้าขึ้นมองด้านบน เย่เทียนเฉินก็โน้มตัวลงมา ในปากยังเคี้ยวปีกไก่ย่างอยู่ด้วย
“มาได้ดี ฉันกำลังอยากเห็นอยู่พอดีว่าไอ้หนูอย่างนายจะมีความสามารถแค่ไหนกัน” หวังเฟิงย่อมเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินมาบ้าง ต่างกันกล่าวกันว่าไอ้หนูนี่มีฝีมือไม่เลว ความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา สังหารยอดฝีมือไปไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเฟิงเห็นเย่เทียนเฉิน คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีอายุแค่ 20 ปีจริงๆ ในใจย่อมรู้สึกไม่เชื่ออยู่บ้าง ตอนนี้ได้สู้กับเย่เทียนเฉินพอดี
เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย เคี้ยวปีกไก่ย่างในปาก หมัดทั้งสองกำแน่น กล่าวว่า “งั้นจะเล่นเป็นเพื่อนนายสักหน่อยแล้วกัน ถ้านายหยุดไม่ให้ฉันกินปีกไก่ย่างนี่หมดก็นับว่านายชนะ”
“นายจะต้องเสียใจที่พูดแบบนี้แน่นอน...”
เมื่อเผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉินที่โน้มตัวลงมา หมัดทั้งสองกำแน่น หวังเฟิงก็ขมวดคิ้วอย่างดุดัน ขาทั้งสองกระทืบลงบนพื้น พริบตาเดียวก็ทะยานตัวขึ้นไปสูงหลายสิบเมตร มือทั้งสองแปลงเป็นฝ่ามือซัดไปทางเย่เทียนเฉิน
ตู้มๆๆ …
การต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้นในอากาศ คนที่อยู่บนพื้นได้เห็นต่างต้องปากอ้าตาค้าง ฝีมือของสองคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ เย่เทียนเฉินเองก็ตื่นตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าหวังเฟิงจะร้ายกาจขนาดนี้ ทุกฝ่ามือที่ซัดออกมาล้วนทำให้อากาศสั่นสะเทือน ถ้าถูกเข้าไปฝ่ามือหนึ่งเขาต้องกระอักเลือดแน่นอน ดูท่าทางหัวหน้ากองกำลังที่เป็นคนสนิทข้างกายหลีเจี่ยนคนนี้คงไม่ใช่พวกอ่อนหัด
ส่วนคนที่อยู่ในกองกำลังทั้งสามสิบคนที่หวังเฟิงพามา แต่ละคนติดอาวุธครบมือ พวกเขาเป็นอัจฉริยะที่ถูกเลือกออกมาจากหน่วยรบพิเศษระดับหัวกะทิ ทุกคนต่างมีความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ หวังเฟิงเคยเป็นพระนักสู้ในหอธรรมของวัดเส้าหลิน ไม่ว่าใครก็รู้ว่าหอธรรมของวัดเส้าหลินมีฐานะอย่างไรในวัด พระนักสู้ด้านในถูกใช้เพื่อปกป้องวัดเส้าหลิน วรยุทธทั้งหมดของพวกเขาต่างลึกล้ำสูงส่งที่สุด ต่างเป็นที่คนที่ผ่านการต่อสู้มานับร้อยศึก
บางทีการฝึกฝนพลังภายในอาจไม่สามารถเทียบได้กับพระระดับสูงของเส้าหลิน แต่ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาฝ่ามือตั๊กม้อที่มีความลึกซึ้ง ซัดออกไปเพียงหนึ่งฝ่ามือก็มีพลังนับพันชั่ง ฝ่ามือตั๊กม้อนี้สร้างขึ้นจากปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งวัดเส้าหลิน นี่เป็นบุคคลที่เป็นที่กล่าวขานในประวัติศาสตร์ประเทศจีนคนหนึ่ง เย่เทียนเฉินสงสัยว่าคนคนนี้เดินทางเดินทางไปที่ดาวจักรพรรดิแล้วเช่นกัน คนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ไม่อาจนั่งอยู่เฉยๆ ได้แน่ มันธรรมดาเกินไป
เย่เทียนเฉินถึงกับใช้หมัดทั้งสองปะทะกับฝ่ามือตั๊กม้อของหวังเฟิงโดยตรงโดยไม่ตกเป็นรอง นี่ทำให้สมาชิกกองกำลังที่หวังเฟิงพามารู้สึกตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเขาเป็นทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอด ไม่เพียงแต่วิชาหมัด กระทั่งวิชากระบี่หรือวิชาดาบ หรืออาจเรียกได้ว่าศิลปะการต่อสู้ทั้ง 18 แขนงต่างเชี่ยวชาญมาก กว่าที่พวกเขาจะฝึกฝนวิชาวรยุทธโบราณมาจนถึงระดับนี้ได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ เมื่อมาถึงระดับเดียวกับหวังเฟิง ปกติดาบหรือปืนธรรมดายากจะทำให้บาดเจ็บได้
พูดง่ายๆ ก็คือ คุณจะยิงเขาจากบริเวณห่างออกไปหลายร้อยเมตร แต่เขาโจมตีมาฝ่ามือเดียวคุณก็ถูกโจมตีจนตัวระเบิดได้แล้ว ไหนเลยจะมีโอกาสให้ยิงปืนอีก ยิ่งไปกว่านั้นยอดฝีมือระดับนี้สามารถหลบลูกกระสุนได้ ไม่ใช่เรื่องวิเศษวิโสอะไร
และเป็นเพราะลูกศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษรวมถึงผู้แข็งแกร่งที่แตกต่างจากคนธรรมดาเหล่านี้มีความสามารถอันน่าตกตะลึง ดังนั้นทางการจึงให้ความสำคัญมาก คอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา ในยามที่จำเป็นยังส่งคนไปแทรกแซงไม่ให้ก่อเรื่องใหญ่อะไรที่จะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนธรรมดา
ตู้ๆ!
เสียงเบาๆ ดังขึ้นสองครั้ง หมัดทั้งสองของเย่เทียนเฉินต่อยไปบนฝ่ามือของหวังเฟิง หวังเฟิงรับหมัดทั้งสองแล้วก็ไม่ได้ถอย ปะทะเข้าไปเต็มกำลัง ชั่วขณะที่ทั้งสองตกถึงพื้นเงาร่างก็แยกจากกันทันที
ทุกคนมองภาพนี้ด้วยอาการตกตะลึง ไม่ว่าใครก็พูดอะไรไม่ออก เนื่องจากการต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 2 นาทีเท่านั้น เย่เทียนเฉินและหวังเฟิงแสดงการต่อสู้ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าฉากบู๊ในหนังออกมาแบบนี้จะไม่ให้คนอื่นตื่นตะลึงได้อย่างไร?
หวังเฟิงไพล่มือทั้งสองไว้ด้านหลัง มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา ขมวดคิ้วพูดว่า
“ไปกับฉันเถอะ แล้วฉันจะไม่ทำให้ครอบครัวนายลำบาก”
“จะไปด้วยก็ไม่มีปัญหาหรอก ให้เหตุผลมาก่อนสิ?” เย่เทียนเฉินเองก็เอามือทั้งสองไพล่หลัง เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันชื่นชมคนหนุ่มอย่างนายนะ” หวังเฟิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หือ? โทษที รสนิยมทางเพศของผมปกติ…”
“อืม…”
ประโยคนี้ของเย่เทียนเฉินทำให้หวังเฟิงมีสีหน้าเอือมระอา จ้องมองเย่เทียนเฉินด้วยท่าทีหดหู่ จากนั้นจึงยกมือขวาขึ้น กองกำลังทั้งสามสิบกว่าคนที่ล้อมบ้านเดิมตระกูลเย่ต่างสลายตัวไป รถซีดานสีดำคันหนึ่งขับมาด้านข้าง หวังเฟิงเข้าไปนั่งรอเย่เทียนเฉิน
“หัวหน้าครับ ทำไมไม่จับไอ้หนูนั่นซะ ทำไมต้องให้เกียรติมันขนาดนี้ด้วย?” ทหารที่ขับรถพูดอย่างไม่พอใจ
“จับเขาเหรอ? เกรงว่าพวกแกจะตายอยู่ที่นี่น่ะสิ!” หวังเฟิงพูดก่อนจะส่ายหน้า
“จะเป็นไปได้ยังไง…”
ทหารที่ขับรถคนนั้นยังพูดไม่ทันจบเขาก็มองไปยังมือทั้งสองที่ไพล่อยู่ด้านหลังของหวังเฟิงที่ตอนนี้เพิ่งจะดึงกลับมาด้านหน้า มือทั้งสองบวมเป่งราวกับลูกหมั่นโถวสองลูก ทำให้ทหารที่ขับรถคนนั้นตกใจจนนิ่งงัน สูดหายใจเย็นยะเยือก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหวังเฟิงได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ ที่สำคัญก็คือยังสู้กันไม่ถึง 2 นาที ฝ่ามือตั๊กม้อของหวังเฟิงก็แข็งแกร่งมาก แต่กลับถูกทำร้ายจนเป็นแบบนี้ เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่?
“รอก่อนเถอะ แค่ไอ้หนูนี่ไปกับพวกเราก็พอแล้ว”
หวังเฟิงขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง แต่เขาก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ลงมือเต็มที่แน่นอน นอกจากนั้นทั้งสองก็ไม่สามารถต่อสู้อย่างเต็มกำลังได้เพราะที่นี่ไม่เหมาะกับการต่อสู้ ฝ่ามือตั๊กม้อเมื่อครู่นี้ของตนอย่างน้อยก็มีพลังเจ็ดส่วน แต่ละฝ่ามือมีพลังอำนาจรุนแรง
เย่เทียนเฉินถึงกับใช้หมัดทั้งสองสู้กับตนเกือบ 100 กระบวนท่า ตั้งแต่ต้นก็ไม่ตกเป็นรอง มีความสามารถมากจริงๆ ส่วนเรื่องที่เย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งขนาดไหนนั้นหวังเฟิงก็ไม่อาจรู้ได้ ตอนนี้ไม่เหมาะจะลองเชิง หลีเจี่ยนยังรอเขากลับไปรายงาน
เย่เทียนเฉินเห็นหวังเฟิงขึ้นรถแล้วก็ไม่ได้รีบร้อน มือทั้งสองของเขาล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้าง วิชาฝ่ามือของหวังเฟิงรุนแรงจริงๆ หมัดอัสนีสวรรค์ของตนนับเป็นกระบวนท่าที่รุนแรง แต่ถึงกับไม่สามารถกดข่มหวังเฟิงได้ ทำให้เย่เทียนเฉินแปลกใจจริงๆ
ตั้งแต่แรกเริ่มเขาก็ไม่ได้ดูถูกหวังเฟิงแม้แต่น้อย พอลงมือก็ใช้หมัดอัสนีสวรรค์ทันที แม้จะไม่ได้ออกแรงเต็มที่แต่อย่างน้อยก็ใช้พลังไปถึงเจ็ดส่วน เพราะสัมผัสได้ถึงพลังภายในอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของหวังเฟิง
“เทียนเฉิน ปู่จะไปกับหลานด้วย ท่านหลีดื้อรั้นขนาดนี้รับมือไม่ง่ายเลย” เย่หย่วนซานมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอกครับ วันนี้เป็นวันเกิดของปู่ก็ฉลองไปดีๆ เถอะ เรื่องพวกนี้ผมจัดการเอง” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เทียนเฉินกินปีกไก่ย่างชิ้นสุดท้าย โยนกระดูกไก่ไปบนพื้น จากนั้นจึงหาวครั้งหนึ่งก่อนจะเดินมุ่งไปยังรถซีดานสีดำที่จอดอยู่ด้านหน้า เขารู้ว่าถ้าไม่ไปพบหลีเจี่ยน เรื่องนี้คงไม่จบด้วยดีแน่นอน เขามีเรื่องมากมายให้ทำ มีเรื่องมากมายที่อยากทำ ไม่มีเวลาว่างมาปล่อยให้อุปสรรคพวกนี้หลงเหลืออยู่
“เทียนเฉิน อย่าไป”
“ไปสิ ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่านายจะตายยังไง…”
ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปถึงประตูรถซีดานสีดำ เตรียมจะเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งนั้นเอง ซูเฟยเฟยและฟ่านรั่วเซวียนก็วิ่งออกมาจากบ้านเดิมตระกูลเย่