เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 503 ต้องการยิงเย่เทียนเฉินให้ตายหรือ?
ดาวจักรพรรดิ ดาวจักรพรรดิ จะต้องมีสักวัน ฉันจะต้องไปดูให้ได้!
เย่เทียนเฉินคิดในใจ หลายเรื่องราว หลายผู้คนที่มีเบาะแสชี้ไปที่ดาวจักรพรรดิ นั่นเป็นสถานที่ลึกลับ เป็นโลกที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร สรุปแล้วในโลกแห่งนั้นเป็นไปได้มากว่าจะมีความลับของเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวอยู่ และมีเบาะแสของคนในตำนานเล่าขานของโลกมากมาย ไม่ว่าจะเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่นเย่เทียนเฉินก็จะไปดูสักครั้ง
“ไม่ได้กลับมาอีก? หมายถึง…” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามต่อไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ก็คือไม่มีร่องรอยของปรมาจารย์ตั๊กม้อปรากฏออกมาอีก หายไปโดยสิ้นเชิง!” หวังเฟิงส่ายหน้าพูด
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเฟิงเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว สีหน้าเช่นนี้ของหวังเฟิงเขาเข้าใจเป็นอย่างดี จะอย่างไรปรมาจารย์ตั๊กม้อไม่เพียงแต่เป็น “เทพ” สูงสุดในใจของลูกศิษย์แห่งวัดเส้าหลิน กระทั่งคนทั่วไปยังนับถือปรมาจารย์ตั๊กม้อเป็นอย่างมาก นี่เป็นพระที่มีคุณธรรมสูงส่งท่านหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะมีวรยุทธยอดเยี่ยม แต่ยังลึกซึ้งทางธรรมและมีใจเมตตา คนในตำนานเล่าขานเช่นนี้ไปอยู่ที่ไหนกันแน่? ดาวจักรพรรดิเหรอ?
“คุณเย่บอกว่าเพลงหมัดของคุณเป็นวิชาที่สร้างขึ้นเอง นี่ล้อเล่นหรือเปล่า?” หวังเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่าคำพูดของเย่เทียนเฉินยากจะทำให้หวังเฟิงเชื่อถือ กระทั่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินตอบตนแบบขอไปทีเท่านั้น เย่เทียนเฉินอายุแค่ 20 ปี ถ้าบอกว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ มีฝีมือสูงส่ง ความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ในเรื่องนี้หวังเฟิงอาจเชื่อ จะอย่างไรคนบางคนก็แข็งแกร่งตั้งแต่กำเนิด แต่หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินสร้างวิชาหมัดขึ้นมาเองและยังเป็นวิชาที่สามารถปะทะกับฝ่ามือตั๊กม้อของปรมาจารย์ตั๊กม้อได้ หวังเฟิงไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด เนื่องจากคำพูดนี้ไม่ใช่จะบอกว่าเย่เทียนเฉินสร้างเพลงหมัดตอนอายุ 20 ปี ซึ่งสามารถเทียบได้กับวิชาฝ่ามือที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อสร้างขึ้นตอนอายุ 101 ปี แสดงว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจกว่าปรมาจารย์ตั๊กม้อเหรอ?
บนโลกใบนี้ ท่ามกลางประวัติศาสตร์ของประเทศจีนอันยาวนาน ปรมาจารย์ตั๊กม้อเป็นคนที่หาคนเทียบได้น้อยมาก นอกจากจางซานเฟิงแห่งพรรคบู๊ตึ๊งและคนอย่างซีเหมินชุยเสวี่ยที่เรียกได้ว่าสามารถนำมาพูดเทียบเคียงกันได้ เกรงว่านอกเหนือจากนี้คงมีไม่กี่คนแล้ว จางซานเฟิงและซีเหมินชุยเสวี่ยยังนับได้ว่าเป็นคนรุ่น หลังเห็นได้ว่าปรมาจารย์ตั๊กม้อสูงส่งขนาดไหน รวมกับที่หวังเฟิงเคยเป็นลูกศิษย์ของเส้าหลิน เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ของเย่เทียนเฉินในใจย่อมรู้สึกไม่พอใจ
“ผมสร้างขึ้นมาเองจริงๆ ไม่ขอปิดบัง ผมเป็นผู้มีพลังพิเศษ!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากอย่างจริงจัง
“คุณเป็นผู้มีพลังพิเศษเหรอ?” หวังเฟิงมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยท่าทีแปลกใจ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ เมื่อครู่ตอนที่ต่อสู้ดุเดือดกับเย่เทียนเฉินเป็นการดวลหมัดเท้า ไม่ได้ใช้กระบวนท่าสังหารอันรุนแรงอะไร ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่ได้ใช้พลังพิเศษออกมา หวังเฟิงย่อมไม่รู้ ตอนนี้ได้ยินเย่เทียนเฉินพูดก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้าง
บนโลกใบนี้ผู้มีพลังพิเศษเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างลึกลับ เรียกได้ว่าลึกลับกว่ายอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณซะอีก จะอย่างไรคำว่า “พลังพิเศษ” ก็คละเคล้าไปด้วยความลึกลับแล้ว สิ่งที่เรียกว่าพลังพิเศษก็คือ “ความสามารถเหนือมนุษย์” ที่คนธรรมดาเรียกกัน ความสามารถเหนือมนุษย์ก็คือความสามารถที่เหนือกว่าจินตนาการของคนธรรมดา เช่นการเคลื่อนย้ายวัตถุผ่านอากาศ ใช้กายเนื้อเดินทะลุกำแพง เหาะเหินเดินอากาศเป็นต้น ความจริงสิ่งที่คนธรรมดาไม่รู้ก็คือ ในสายตาของผู้มีพิเศษเหล่านี้ วิชาพวกนี้เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่อ่อนแอที่สุดและเป็นพื้นฐานที่สุด ถ้าสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าคือผู้แข็งแกร่งแล้วล่ะก็ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้เคล็ดวิชาที่อ่อนแอพวกนี้ก็ไม่พอให้ปรายตามอง ใช้น้อยมาก
“อืม วิชาที่ผมใช้สู้กับฝ่ามือตั๊กม้อของคุณก็คือหมัดอัสนีสวรรค์ที่ผมสร้างขึ้นเอง ใช้พลังสายฟ้าอัดเข้าไปในหมัด ไม่งั้นผมคงสู้ฝ่ามือตั๊กม้อของคุณไม่ได้”
เย่เทียนเฉินอธิบายให้หวังเฟิงฟังด้วยรอยยิ้ม หากว่ากันตามเหตุผล เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนชอบพูดมาก เพียงแต่เนื่องจากหวังเฟิงบอกความลับพวกนี้กับเขาอย่างละเอียด โดยเฉพาะเรื่องความลับเกี่ยวกับดาวจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คนที่รู้ว่าตนเป็นผู้มีพลังพิเศษก็มีไม่น้อย ปิดบังไปก็ไม่มีความหมายอะไร มีเพียงเรื่องที่ตนเป็นคนจากดาวสิ้นโลกมาเกิดใหม่บนโลกใบนี้เท่านั้นที่ยังจำเป็นต้องรักษาความลับเอาไว้ ถ้าพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ ต่อให้เป็นคนของพรรควรยุทธโบราณหรือผู้มีพลังพิเศษอื่นๆ แม้พวกเขาจะร้ายกาจและมีความคิดไม่เหมือนคนธรรมดา แต่เรื่องการกลับมาเกิดใหม่ก็ไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะรับได้ เขาไม่จำเป็นต้องพูดมากขนาดนี้
“เป็นอย่างนี้นี่เอง!” หวังเฟิงพยักหน้าพูด
ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า รถที่เย่เทียนเฉินนั่งก็มาถึงเขตบ้านพักทหารแห่งหนึ่ง หวังเฟิงและเย่เทียนเฉินลงจากรถ ตลอดทางเย่เทียนเฉินและหวังเฟิงสนทนากันได้ไม่เลวเลย เดิมทีทั้งสองก็ไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน ตรงกันข้าม ยิ่งคุยก็ยิ่งรู้สึกได้กำไร ถ้าไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินมีนิสัยทำตามหลักการโดยไม่สนใจใคร ถ้าไม่ใช่เพราะหวังเฟิงจำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของหลีเจี่ยน ไม่แน่ว่าทั้งสองคงไปดื่มเหล้าด้วยกันแล้ว
“คุณเย่ ท่านหลีค่อนข้างอารมณ์ร้าย นิสัยตรงไปตรงมา ดีที่คุณไม่ได้ทำอะไรหลีซิ่น ถ้ายอมได้ก็ยอมเถอะ” หวังเฟิงเริ่มชอบเย่เทียนเฉินขึ้นทีละน้อย ดังนั้นจึงกล่าวเตือนด้วยความหวังดี
“ขอบคุณหัวหน้าหวัง แต่ผมก็มีนิสัยตรงไปตรงมา คงต้องดูกันแล้วว่าจะพูดจาดีๆ กับท่านหลีได้หรือเปล่า” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“เชิญเถอะ!” หวังเฟิงไม่ได้พูดอะไรอีก ทำท่าผายมือเชิญ
ในตอนที่เย่เทียนเฉินและหวังเฟิงเดินเข้าไปในคฤหาสน์ที่พักของทหารหลังนี้ รอบด้านพลันมีทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดพร้อมด้วยอาวุธปืนสี่คนพุ่งเข้ามา เดินตามมาด้านหลัง เย่เทียนเฉินมองไปเล็กน้อย พูดกับหวังเฟิงด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่ชอบให้คนอื่นตามหลัง โดยเฉพาะคนที่มีปืน จะทำให้ผมมีความรู้สึกอยากฆ่าพวกเขาให้ตาย”
หวังเฟิงชะงักไป จากนั้นจึงโบกมือ ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดติดอาวุธปืนทั้งสี่นายที่ตามอยู่ด้านหลังต่างถอยออกไป หากคิดจะฆ่าทหารถือปืนทั้งสี่นายให้ตายอย่างง่ายดาย หวังเฟิงเชื่อว่าเย่เทียนเฉินมีความสามารถทำแบบนั้นได้แน่นอน คนคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่หวังเฟิงก็ไม่รู้และไม่กล้าทดสอบมั่วซั่วด้วย หากกระตุ้นให้เย่เทียนเฉินโกรธขึ้นมา ถ้าเขาหยุดเย่เทียนเฉินไม่ได้ คนที่อยู่ที่นี่คงยากจะขัดขวาง นอกจากจะใช้ขุนพลระดับทัพฟ้า เพียงแต่กว่าพวกเขาจะมาถึงก็ไม่รู้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
เพียงไม่นานเย่เทียนเฉินและหวังเฟิงก็เดินขึ้นไปที่ชั้นสองของคฤหาสน์ ที่ทางเดินชั้นสองทุกระยะห่างกัน 5 เมตรจะมีทหารยืนอยู่นายหนึ่ง ยืนเหมือนกับรูปสลักอย่างไรอย่างนั้น หวังเฟิงเดินนำเย่เทียนเฉินไปเคาะประตูห้องทำงานบริเวณชั้นสอง ในตอนที่ประตูถูกเปิดออก ในห้องยังมีทหารหน่วยรบพิเศษถือปืนอยู่อีกสองคน หลีเจี่ยนกำลังนั่งจัดการเอกสารบนโต๊ะทำงาน ส่วนหลีซิ่นหลานชายของเขายังคงนอนสลบอยู่บนโซฟา
“ท่านหลี ผมพาเย่เทียนเฉินมาแล้วครับ!” หวังเฟิงเดินไปเบื้องหน้าหลีเจี่ยน เอ่ยปากพูดด้วยความเคารพนอบน้อม
หลีเจี่ยนชะงักไป เงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนเฉิน เขาคิดไม่ถึงว่าหวังเฟิงจะพาเย่เทียนเฉินกลับมาเช่นนี้ ดูท่าทางเรื่องราวคงไม่ง่าย แม้หลีเจี่ยนจะมีนิสัยบุ่มบ่ามดุดันและโกรธง่าย แต่ก็ไม่ใช่คนไร้สมอง พลันนั้นจึงพูดเสียงเข้ม “พามาที่นี่ทำอะไร ลากไปฆ่าซะ”
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา หวังเฟิงก็ชะงักไป คิดไม่ถึงว่าหลีเจี่ยนจะออกคำสั่งเช่นนี้มาโดยตรง เขายืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หากเป็นคนอื่นหวังเฟิงต้องจับตัวไปยิงประหารตามคำสั่งหลีเจี่ยนแน่นอน ลูกพี่ใหญ่แห่งวงการทหารต้องการยิงประหารคนคนหนึ่งย่อมมีอำนาจที่จะทำ แต่หวังเฟิงกับเย่เทียนเฉินสู้กันมาแล้ว เขารู้ว่าความสามารถของพระเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ถ้าเจ้าหมอนี่ก่อเรื่องขึ้นมา เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะควบคุมได้ ส่วนทหารหน่วยรบพิเศษถือปืนเหล่านี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้ารู้ว่าหลีเจี่ยนจะออกคำสั่งเช่นนี้คงไปแจ้งขุนพลระดับทัพฟ้าก่อนแล้ว
“ยังตะลึงทำบ้าอะไรอีก ไม่ได้ยินคำสั่งของฉันรึไง?” หลีเจี่ยนตะโกน
“ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว ท่านหลี หัวหน้าหวังไม่ได้หูหนวก แต่ถ้าผมถูกยิงตาย หลีซิ่นหลานชายเพียงคนเดียวของคุณก็ต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย” เย่เทียนเฉินเดินมาเบื้องหน้าหลีเจี่ยนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“แกขู่ฉันเหรอ? ที่นี่แกไม่มีสิทธิ์พูด แกเป็นแค่คนตายคนหนึ่ง” หลีเจี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างดุดัน
เย่เทียนเฉินไม่ได้ตอบหลีเจี่ยนทันที แต่นั่งลงบนโซฟาด้านข้างด้วยท่าทีสบายอารมณ์เป็นอย่างมาก ไม่เก็บคำพูดของหลีเจี่ยนไปใส่ใจแม้แต่น้อย เขากล้ามาถึงที่นี่ย่อมมีวิธีกลับไปอย่างปลอดภัย แน่นอน หากสามารถพูดคุยกับหลีเจี่ยนดีๆ ได้ก็ไม่เลว จะอย่างไรนี่ก็เป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การนับถือคนหนึ่ง เพียงแต่ไม่ว่าใครก็มีห่วงที่ตัดไม่ขาด หลีซิ่นเป็นหลานเพียงหนึ่งเดียวของหลีเจี่ยน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลี หลีเจี่ยนจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็นับเป็นเรื่องปกติ มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงไม่พูดมากขนาดนี้ เดิมทีเขาก็เป็นคนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ทำตามหลักการโดยไม่สนใจใคร ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ยุ่งย่ามกับเขาไม่ได้ แม้หลีเจี่ยนจะควรค่าแก่การนับถือแต่ก็มาวุ่นวายกับเขาไม่ได้
“หิวน้ำจัง ท่านหลี ให้คนไปเทน้ำดื่มมาให้ผมหน่อยได้หรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“ทหาร จับตัวเย่เทียนเฉินไปยิงประหาร” หลีเจี่ยนออกคำสั่งเสียงเย็น
เมื่อหลีเจี่ยนออกคำสั่ง ทหารหน่วยรบพิเศษถือปืนทั้งสองคนที่อยู่ในห้องทำงานก็เคลื่อนไหว เพียงแต่น่าเสียดาย พวกเขาเพิ่งจะขยับก็ไม่สามารถขยับได้อีก เย่เทียนเฉินกำหมัดขวาเบาๆ ทหารหน่วยรบพิเศษทั้งสองจะดิ้นรนอย่างไรก็ขยับไม่ได้ ทำให้หวังเฟิงชะงักไป หลีเจี่ยนเองก็ขมวดคิ้ว
เคล็ดวิชาพลังพิเศษพันธนาการกาย เป็นการใช้พลังพิเศษควบคุมการเคลื่อนไหวของศัตรูในระยะไกล ทำให้ไม่สามารถโจมตีได้ เย่เทียนเฉินเป็นคนที่มาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก ที่นั่นเขาเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่พัฒนาไปถึงผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าแล้ว และสร้างเคล็ดวิชาพลังพิเศษออกมามากมาย เข้าใจเคล็ดวิชาพลังพิเศษจำนวนมาก อย่างเช่นวิชาพรางกาย วิชาแทนกาย วิชาพันธนาการกาย เคล็ดวิชาพลังพิเศษเหล่านี้ไม่ใช่ว่าไม่แข็งแกร่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งจะใช้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง และใช้ไม่ทันด้วย มิฉะนั้นเขาคงใช้ออกมานานแล้ว
“ท่านหลี ชาอึกเดียวก็ไม่มีให้ดื่ม จะยิงประหารผมซะแล้ว นี่ไม่ใช่วิธีปฏิบัติกับแขกมั้งครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย