เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 504 หนึ่งเด็กหนึ่งแก่ปะทะอารมณ์!
หลีเจี่ยนขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าไอ้หนุ่มเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ทหารหน่วยรบพิเศษที่สามารถเข้ามาคุ้มครองอยู่ในห้องทำงานของตนได้ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าทหารหน่วยรบพิเศษที่คุ้มกันอยู่ด้านนอกแน่นอน แต่เย่เทียนเฉินกำมือนิดเดียว ไม่ว่าพวกเขาจะดิ้นอย่างไรก็ไม่สามารถยิงปืนได้ นี่ไม่เท่ากับว่ารอให้เย่เทียนเฉินไปฆ่าเหรอ?
หวังเฟิงเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยากลับมา รีบมาขวางอยู่เบื้องหน้าหลีเจี่ยน เขากลัวว่าเย่เทียนเฉินจะลงมือกะทันหัน นี่เป็นคนที่ทำตามหลักการของตัวเองโดยไม่สนใจใคร ถ้าจะลงมือกับหลีเจี่ยน เย่เทียนเฉินจะต้องกล้าทำอย่างนั้นแน่นอน ความสามารถของไอ้หนูนี่ก็ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา จำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน
เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย มองไปยังหวังเฟิงแล้วพูดว่า “ผมไม่ใช่คนที่ชอบฆ่าฟัน แค่อยากคุยถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้กับท่านหลีเท่านั้นเอง”
“ฉันไม่อยากรู้ที่มาที่ไปอะไรนั่น ไอ้หนุ่ม ฉันยอมรับว่าแกแข็งแกร่งมาก ร้ายกาจมาก บางทีแกอาจหนีไปได้ ถ้างั้นครอบครัวแกล่ะ?” หลีเจี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างข่มขู่
“ครอบครัวผม ผมย่อมต้องปกป้อง ต่อให้เป็นพระเจ้า ถ้ากล้ามาแตะต้องพวกเขาผมก็จะฆ่าให้หมด!” สีหน้าแย้มยิ้มของเย่เทียนเฉินพลันเปลี่ยนไป มองไปยังหลีเจี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เมื่อคำนี้ถูกกล่าวออกมา หวังเฟิงพลันสูดหายใจเย็นยะเยือก ความหมายของคำพูดนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว นั่นก็คือไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อให้เป็นหลีเจี่ยน ถ้าลูกพี่ใหญ่คนนี้กล้าแตะต้องครอบครัวของเขา เขาก็จะฆ่า นี่เป็นความใจกล้าขนาดไหนกัน เป็นความบ้าบิ่นขนาดไหนกัน? คนที่กล้าพูดแบบนี้กับผู้นำระดับสูงของทางการ มองไปทั่วทั้งโลกเกรงว่าคงมีแค่ไม่กี่คน สายตาและน้ำเสียงเช่นนั้นของเย่เทียนเฉินไม่ได้ล้อเล่น แต่เขาพูดจริงทำจริง
ส่วนหลีเจี่ยนเองก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องอารมณ์ร้อนและบ้าดีเดือดเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าคนที่พอมีตำแหน่งอยู่บ้างต่างก็รู้ดี เขากล้าแม้กระทั่งตบโต๊ะถลึงตาใส่ท่านผู้นำสูงสุด นับว่าเป็นเพียงไม่กี่คนที่มีความเผด็จการขนาดนี้ ตอนนี้ประหนึ่งว่าระหว่างเขาและเย่เทียนเฉินมีกลิ่นดินปืนปะทุอย่างเข้มข้น ใครก็ไม่ยอมถอยให้ใคร เย่เทียนเฉินกล้าข่มขู่ตนเช่นนี้ หลีเจี่ยนจะต้องสังหารเขาให้ได้แน่นอน ด้วยอารมณ์บ้าดีเดือดและตำแหน่งของเขา จะทนให้คนรุ่นหลังมาข่มขู่ตนได้อย่างไร?
“ฮ่าๆๆๆ! ใจกล้าดี มีความกล้านี่ คิดไม่ถึงว่าเย่หย่วนซานจะมีหลานแบบนี้ แต่ซิ่นเอ๋อร์มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย ฉันก็ไม่สนว่าแกจะแข็งแกร่งขนาดไหน ฉันจะฆ่าล้างตระกูลเย่ให้หมด!” ทันใดนั้นจู่ๆ หลีเจี่ยนก็หัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้น
“ท่านหลี พวกเราเป็นคนเปิดเผย อย่ามาพูดจามีลับลมคมในแบบนี้เลย? ผมเย่เทียนเฉินไม่ตกใจหรอก คิดจะข่มขู่ผมคงยากหน่อย ถ้าคุณมีทางช่วยหลีซิ่นคุณคงช่วยไปนานแล้ว คงไม่ให้หลีซิ่นนอนสลบอยู่บนโซฟาแบบนั้นหรอก บนโลกใบนี้ คนที่จะช่วยเขาได้มีแค่ผมคนเดียว” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย
หลีเจี่ยนขมวดคิ้ว มองไปยังเย่เทียนเฉิน ในใจคิดว่าต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเจ้าหนุ่มนี่จริงๆ เป็นอย่างที่ว่า ในตอนที่หวังเฟิงจากไป หลีเจี่ยนก็รีบตามผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เก่งที่สุดในประเทศมารักษาหลีซิ่นผู้เป็นหลานของเขาด้วยตัวเอง
แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ก็ไร้ความสามารถจะรักษา หลีซิ่นเหมือนกับหลับตายไปแล้วโดยสิ้นเชิง จะเรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น นี่ทำให้หลีเจี่ยนคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง หลีซิ่นถูกเย่เทียนเฉินตีจนสลบ เกรงว่ามีเพียงเย่เทียนเฉินที่จะมีวิธีช่วยให้เขาตื่น เมื่อครู่ที่บอกว่าจะยิงประหารเย่เทียนเฉินเพียงเพราะต้องการทำให้เย่เทียนเฉินกลัวเท่านั้น สุดท้ายที่สำคัญก็คือการรักษาให้หลีซิ่น ตอนนี้ดูท่าทางวิธีนี้คงไม่ได้ผล ความสามารถของเจ้าหนุ่มนี่ ความกล้าหาญของเจ้าหนุ่มนี่ ล้วนเกินกว่าที่เขาหลีเจี่ยนจะจินตนาการจริงๆ
“นั่งสิ ถ้าแกช่วยซิ่นเอ๋อร์ให้ฟื้นขึ้นมาและได้รับประกันว่าเขาจะไม่เป็นไร เรื่องนี้ก็ยังหารือกันได้ ไม่งั้นฉันจะฆ่าแกแน่!” หลีเจี่ยนพูดเสียงเย็น
เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย นั่งบนโซฟาด้านข้าง หวังเฟิงจึงผ่อนคลายลง เขากลัวว่าเย่เทียนเฉินจะลงมือสังหารหลีเจี่ยนจริงๆ ถึงตอนนั้นหากเขาหยุดไว้ไม่ได้คงเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
ความจริงจากที่หลีเจี่ยนพูดคุยกับเย่เทียนเฉิน เขาก็รู้สึกชื่นชมเจ้าหนุ่มนี่อยู่บ้าง ไม่ตื่นตระหนกไม่ร้อนรน แม้จะเผชิญหน้ากับตนก็ยังไม่ถูกบีบบังคับ รวมกับที่เดิมทีมีความสามารถแข็งแกร่ง มีความกล้าไร้ความกลัว ใคร่ครวญทุกอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอารมณ์ดุเดือดรุนแรงของเย่เทียนเฉินที่เทียบเคียงได้กับอารมณ์ดุเดือดรุนแรงของเขาหลีเจี่ยน มิฉะนั้นต่อให้เย่เทียนเฉินจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษมาหยุดทหารหน่วยรบพิเศษถือปืนทั้งสองคนได้ หลีเจี่ยนก็คิดหาวิธีฆ่าเย่เทียนเฉินได้อยู่ดี
นี่เรียกว่าการแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน หลายครั้งที่ความกล้าและอารมณ์รุนแรงของคนผู้หนึ่งทำให้คุณสามารถลดทอนอันตรายในสถานการณ์อันตรายได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความสงบนิ่งของเย่เทียนเฉิน ไม่ใช่เพราะความกล้าดีเดือดของเขา ต่อให้จะมีความสามารถแข็งแกร่งขนาดไหนวันนี้ก็คงเลี่ยงการต่อสู้นองเลือดไม่ได้ หลีเจี่ยนเป็นคนที่มีอารมณ์บ้าดีเดือด เขาไม่กลัวตาย ต่อให้มีดาบมาจ่อคอก็ไร้ประโยชน์กับหลีเจี่ยน เพียงแต่เขาถูกความกล้าของเย่เทียนเฉินที่เป็นคนรุ่นหลังทำให้คล้อยตาม
“ดื่มชาก่อนเป็นไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
หลีเจี่ยนส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หวังเฟิง หวังเฟิงเดินมารินชาให้เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินมีท่าทีสบายอารมณ์ หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยท่าทีสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
ความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อหลีเจี่ยนไม่เลวเลย ชายชราคนนี้เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง เรียกได้ว่าถูกรสนิยมของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินชอบคนบ้าดีเดือดแบบนี้ เทียบกับพวกคนถ่อยที่มีแผนการเต็มอกแล้ว เย่เทียนเฉินเต็มใจคบหากับคนอย่างหลีเจี่ยนมากกว่า หลีซิ่นเป็นหลานชายเพียงหนึ่งเดียวของหลีเจี่ยน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลี หลีเจี่ยนจะปกป้องถือหางก็นับว่ามีเหตุผล ถ้าคนเราหลุดจากกิเลสทั้งปวงได้ก็ไม่นับเป็นคนแล้ว เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนไม่เข้าใจเหตุผลอะไร เพียงแต่หากพูดตามภาษาของเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคำว่า “ก้มหัว”
“บุญคุณความแค้นระหว่างแกกับซิ่นเอ๋อร์ฉันรู้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของฉัน ถ้าเขาเกิดเรื่อง ฉันจะไม่ปล่อยแกไปแน่” หลีเจี่ยนมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านหลี เพียงแต่คุณสั่งสอนหลานชายแบบนี้ไม่ได้นะครับ ต่อให้วันนี้ผมไม่ฆ่าเขา จะช้าจะเร็วก็ต้องมีคนอื่นฆ่าเขาอยู่ดี คุณว่าถูกหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินยังคงเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้แกมายุ่ง ขอแค่แกช่วยซิ่นเอ๋อร์ก็พอ” หลีเจี่ยนพูดด้วยสีหน้าอึมครึม
เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนจากโซฟา ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ท่านหลี ความจริงคราวนี้ผมต้องการมอบคำเตือนให้หลีซิ่นหลานของคุณเท่านั้น อย่าให้เขาแตะต้องคนตระกูลเย่อีก และอย่ามาหาเรื่องวุ่นวายให้ผมอีก ผมมีแค่ประโยคเดียวที่จะบอกกับคุณ ถ้าเขากล้ามาวุ่นวายกับผม ผมจะไม่เกรงใจแน่นอน”
“แก…นี่แกขู่ฉันเหรอ?” หลีเจี่ยนใช้ฝ่ามือตบลงไปบนโต๊ะ มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยสายตาดุดันแล้วเอ่ยถาม
ภาพที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ทำให้เส้นประสาทของหวังเฟิงตึงเครียดไม่น้อย เดิมทีคิดว่าหลีเจี่ยนและเย่เทียนเฉินจะคุยกันดีๆ อย่างน้อยก็ไม่ตะโกนว่าจะฆ่าจะแกงกัน ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันนั่งลงก็เป่าเคราถลึงตาขึ้นมาแล้ว อารมณ์ของสองคนนี้ คนหนึ่งเรียกได้ว่าเป็นกระทิงรุ่นเด็ก อีกคนเป็นกระทิงรุ่นใหญ่ ไม่ว่าใครก็ดุดัน ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมถอย บอกว่าจะลงมือก็ลงมือ
“ผมไม่ได้ข่มขู่คุณ ผมกำลังเตือนคุณ!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงเย็น
“ต่อต้านแล้ว แกต่อต้านฉันเหรอ รนหาที่ตาย” หลีเจี่ยนตะโกน เขวี้ยงถ้วยชาด้านหน้าลงพื้นจนแตกเป็นชิ้นๆ
ความจริงทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงเลย หลังจากที่เย่เทียนเฉินและหลีเจี่ยนปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อครู่นี้ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะสงบลงมาก ดูเหมือนว่าเรื่องจะแก้ไขได้สมบูรณ์แล้ว บางทีเรื่องสำคัญก็คือขอเพียงเย่เทียนเฉินช่วยหลีซิ่น เรื่องนี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไรมากมาย คำพูดของหลีเจี่ยนก็ผ่อนคลายลงมาก อย่างน้อยก็ไม่ถามไถ่อะไร ไหนเลยจะรู้ว่าเท้าหน้ายังไม่ลง เท้าหลังก็ระเบิดต่อสู้กันขึ้นมาอีกแล้ว รุนแรงกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก
เสียงปังดังขึ้น ตอนนี้เอง ประตูห้องทำงานของหลีเจี่ยนถูกผลักออก พบว่าชายผู้มีใบหน้าเหลี่ยมสวมชุดทหารคนหนึ่งเดินเข้ามา หลีเจี่ยนเห็นคนคนนี้ก็ชะงักไป หวังเฟิงรีบทำวันทยาหัตถ์อย่างทหาร ส่วนเย่เทียนเฉินกลับยู่ปากจิบชาต่อไป คนคนนี้ก็คือหยางอี้ เป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการเช่นเดียวกับหลีเจี่ยน นับว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์เท่าเทียมกัน เพียงแต่หลีเจี่ยนอายุมากกว่าหยางอี้เล็กน้อย
“หยางอี้ คุณมาทำอะไร?” หลีเจี่ยนถามเสียงเย็น
หยางอี้มองไปยังหลีเจี่ยน ใบหน้าที่เดิมทีเคร่งขรึมฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย จะอย่างไรหลีเจี่ยนก็นับว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นชายชราที่สร้างผลงานสำคัญมากมายให้แก่ประชาชนและประเทศชาติมาชั่วชีวิต เพียงแต่อารมณ์บ้าดีเดือดเช่นนี้บางครั้งก็ทำให้คนอื่นรับไม่ไหว ถ้าจะพูดถึงนิสัย หลีเจี่ยนเปิดเผยตรงไปตรงมากจริงๆ
“ท่านหลี เรื่องระหว่างซิ่นเอ๋อร์กับเย่เทียนเฉินผมเองก็รู้มาบ้าง ทุกคนถอยกันคนละก้าวแล้วช่างมันเถอะ!” หยางอี้เอ่ยปากพูด
“ถอยคนละก้าว? ช่างมัน? ซิ่นเอ๋อร์ของผม จนถึงตอนนี้ก็ยังสลบไม่ฟื้น หมอเฉพาะทางที่เก่งที่สุดในประเทศก็รับมือไม่ได้ คุณจะให้ผมถอยคนละก้าวเหรอ?” หลีเจี่ยนพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ตอนนี้เอง หยางอี้มองไปยังเย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่บนโซฟาด้านข้าง ไอ้หนูนี่สบายอารมณ์ดีจริงๆ ถึงกับยังมีอารมณ์จิบชา เหมือนกับรอให้ตนมาอย่างไรอย่างนั้น มาเพื่อจัดการเรื่องของเขาโดยเฉพาะ
“เย่เทียนเฉิน นายก่อเรื่องพอหรือยัง จะช่วยให้หลีซิ่นฟื้นหรือเปล่า?” หยางอี้มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์
เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน พูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ผมยังยุ่งอยู่ ไม่มีเวลาว่างมาเสียเวลาที่นี่หรอก ถ้าท่านหลีไม่รับประกันว่าหลังจากหลานชายของเขาฟื้นขึ้นมาแล้วจะไม่ไปหาเรื่องตระกูลเย่และผมอีก ผมก็ไม่มีทางลงมือหรอกนะครับ?”
“แก…นี่แกกำลังขู่ฉัน…” หลีเจี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างดุดัน
การมาถึงของหยางอี้ทำให้หลีเจี่ยนคิดไม่ถึงจริงๆ ต่อให้เขาจะมีอารมณ์บ้าดีเดือดขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหยางอี้ก็ยังต้องรู้จักชั่งน้ำหนัก จะอย่างไรหยางอี้ก็เป็นบุคคลระดับเดียวกับเขา ถ้าล่วงเกินหยางอี้ วันเวลาในภายภาคหน้าของตระกูลหลีของเขาหลีเจี่ยนคงไม่ดีแน่ จะอย่างไรเขาก็อายุมากแล้ว ขาข้างหนึ่งลงไปอยู่ในโลงแล้ว ถ้าล่วงเกินหยางอี้ หากเขาหลีเจี่ยนไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว อาศัยเพียงหลีซิ่นหลานชายไม่เอาไหนของตน ทั้งยังมีนิสัยยโสโอหังขนาดนั้น ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรออกมาอีก ดังนั้นต่อให้หลีเจี่ยนจะอารมณ์ร้อนขนาดไหน บางครั้งก็ต้องดูคน ต้องดูสถานการณ์ ต้องดูว่าเป็นเรื่องอะไร ไม่ใช่ล่วงเกินทุกคนอย่าโง่งม
“ผมว่าเอาอย่างนี้เถอะ ทุกคนถอยกันคนละก้าว เย่เทียนเฉิน นายก็ช่วยให้หลีซิ่นฟื้นเถอะ ฉันรับประกันแทนท่านหลีว่าจะไม่ทำให้นายวุ่นวายอีก!”
หยางอี้พูดด้วยรอยยิ้ม เขามาที่นี่เพราะต้องการช่วยเย่เทียนเฉินจัดการเรื่องนี้ ผู้สร้างสันติมาแล้ว เขาเองก็ยุ่งมาก ไม่มีเวลาให้เสียนานนัก
……………………………….