เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 510 อายจนต้องก้มหน้า
“ความจริง…ความจริงฉันแค่คิดถึงตอนเด็ก ได้ออกไปเดินจับมือดูดาวกับเธอทุกวัน”
เย่เทียนเฉินรีบจับมือหลิงอวี่สวิ๋น มองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นด้วยท่าทีแฝงความรู้สึก เรียกได้ว่าการทำเช่นนี้ทำให้ผู้หญิงไร้แรงจะต่อต้าน ในตอนนี้ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นถึงกับตกตะลึง ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นหน้าแดง ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกถึงความสุขที่ทั้งสองมีต่อกันในวัยเด็ก เธอคิดไม่ถึงว่าตอนนี้เย่เทียนเฉินจะต้องการออกไปดูดาวด้วยกันกับเธออีก
ในใจของเด็กผู้หญิงทุกคน วัยเด็กเป็นช่วงเวลาที่บริสุทธิ์ที่สุด เป็นช่วงเวลาที่พวกเธอจดจำอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณอย่างไม่อาจลบออก หลิงอวี่สวิ๋นได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินก็จมลงสู่ความทรงจำ ยังจำได้ว่าตอนเด็กเธอกับเย่เทียนเฉินเล่นด้วยกันทุกวัน เรียนด้วยกัน เลิกเรียนพร้อมกัน เล่นเกมด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน กระทั่งนอนด้วยกัน ถูกทำโทษด้วยกัน ช่วงเวลาบริสุทธิ์เช่นนั้นเป็นวัยที่ไร้เดียงสาจริงๆ มีความสุขและเบิกบานใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกคืนในฤดูร้อนเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นจะแอบวิ่งออกไปปีนหลังคาเพื่อนับดาว นับดาวกันจนทั้งสองหลับไปแล้วถูกผู้ใหญ่มาพบ ย่อมต้องเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตีอย่างหนัก แต่นั่นเป็นความสุขอย่างหนึ่ง เป็นความไร้เดียงสา ในใจของหลิงอวี่สวิ๋นย่อมมีความทรงจำที่งดงามที่สุดเช่นนี้หลงเหลืออยู่
เมื่อเห็นท่าทีเขินอายจนต้องก้มหน้าของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินก็แย้มยิ้มเล็กน้อย ยังคงจับมือเล็กๆ ของหลิงอวี่สวิ๋นอยู่เช่นนี้ เปิดประตูไม้เดินออกไป นี่เป็นช่วงฤดูร้อนพอดี ในท้องฟ้ามีดาวเปล่งประกายไปทั่ว ในตอนที่หลิงอวี่สวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวเหล่านั้นบนท้องฟ้า มุมปากของเธอก็เผยรอยยิ้มหวานออกมา
ตั้งแต่ที่พวกมัตสึโมโตะชิโมะเค็นแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริวลอบสังหารตระกูลหลิง ฆ่าน้องชายของหลิงอวี่สวิ๋นและย่าขู่ไปแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นก็โศกเศร้าเสียใจมาโดยตลอด แต่เธอก็พยายามฝืน เนื่องจากเธอยังต้องดูแลพ่อที่เสียแขนขวาไป หลังจากที่มาถึงค่ายใหญ่ของกองทัพขุนพลระดับทัพฟ้าก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยให้เป็นห่วงอีก เพียงแต่เมื่อหลิงอวี่สวิ๋นคิดถึงปู่ที่อยู่ประเทศ M ทุกคืนยังคงนอนไม่หลับ เธอกลัวว่าปู่จะถูกรัฐบาลประเทศ M ที่ไร้ยางอายฆ่าตาย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากมาถึงที่นี่ หยางอี้และชิงหู่ก็บอกกับพวกเขาสองพ่อลูกว่าให้อยู่แต่ในบ้าน อย่าได้เดินไปไหนตามใจ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ที่หลิงอวี่สวิ๋นเดินออกมาจากบ้านไม้
“ทิวทัศน์สวยงามมีให้ชื่นชม อยู่แต่ในบ้านก็มองไม่เห็นหรอก” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“อืม นานแล้วที่ไม่ได้ดูดาวด้วยกันเหมือนตอนเด็ก ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว นายไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ!” หลิงอวี่สวิ๋นหันมามองเย่เทียนเฉินด้วยดวงตาเปล่งประกาย
เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะชะงักไป ไม่เปลี่ยน? ดูเหมือนว่าตนจะเปลี่ยนไปมากนะ หลายปีมานี้หลิงอวี่สวิ๋นอยู่ที่ประเทศ M ส่วนตนอยู่ในประเทศจีน คิดๆ ดูแล้วอย่างน้อยก็ไม่ได้เจอกัน 10 ปีแล้ว แม้ความรู้สึกระหว่างทั้งสองจะยังคงเดิม ยังคงมีความสนิทดังเพื่อนวัยเด็ก แต่อย่างน้อยก็มีความเปลี่ยนไปบ้าง นั่นก็คือต่างโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว!
“ดูเหมือนฉันจะโตมาหน้าตาดีไม่น้อย!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะ
หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มๆ มองไปยังเย่เทียนเฉิน กรอกตาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์ภายนอก แต่หมายถึงนิสัยของนายต่างหาก ยังเหลาะแหละเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”
“อ้อ!” เย่เทียนเฉินเองก็แย้มยิ้มเล็กน้อย ในจุดนี้เขาเห็นด้วย ตั้งแต่ที่ตนได้มาเกิดใหม่ในร่างของเย่เทียนเฉินที่โลกนี้ เย่เทียนเฉินก็พบว่านิสัยอันธพาลของตนเหมือนกับนิสัยของเย่เทียนเฉินคนก่อนมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่เย่เทียนเฉินคนก่อนมีนิสัยอันธพาลแต่ไม่มีนิสัยประหนึ่งเทพสังหาร ในตอนที่พบอันตรายหรือถูกคนรังแกก็ทำได้เพียงคุกเข่าขอร้อง กลายเป็นพวกดีแต่ปาก ไม่แปลกใจเลยที่เป็นตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง เป็นเศษสวะที่ทุกคนเรียกขาน
การที่คนคนหนึ่งแสร้งทำเป็นว่ามีความสามารถนั้นเรียกว่าขี้โม้ แสร้งว่าไม่มีความสามารถนั้นเรียกว่าโง่งม เพราะเมื่อเจอกับเรื่องใหญ่เข้าจริงๆ เรื่องที่หากคุณแสร้งทำเป็นไม่มีความสามารถจะถูกเปิดเผน ต่อไปคุณก็แสร้งทำไม่ได้อีก
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมา จุดไฟแล้วยืนสูบอยู่ด้านข้าง เขาใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ตั้งแต่ออกจากประตูมาแล้ว บริเวณที่ราบตรงกลางซึ่งมีภูเขาสี่ลูกห้อมล้อมแห่งนี้ก็คือค่ายใหญ่ของกองทัพขุนพลระดับทัพฟ้า ที่นี่มีป่าอยู่บนที่ว่างแห่งหนึ่ง มีสิ่งก่อสร้างสไตล์มองโกลอยู่มาก ซึ่งพวกนั้นคืออุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ล่าสุดในยุคร่วมสมัย เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ว่าบนยอดเขาไม่ใหญ่ไม่เล็กทั้งสี่แห่งล้วนมีพลังอันแข็งแกร่งอยู่ คงจะเป็นคนคุ้มกันแน่นอน เกรงว่าในบริเวณ 100 เมตรนี้ แม้แต่แมลงวันตัวหนึ่งก็ไม่อาจบินเข้ามาได้
หลิงอวี่สวิ๋นจมอยู่ในความทรงจำยามเด็ก ยิ่งย้อนคิดก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข มองไปยังใบหน้าด้านข้างของเย่เทียนเฉินโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่เด็กเย่เทียนเฉินก็คอยปกป้องเธอ ตอนนี้โตแล้วเย่เทียนเฉินก็ยิ่งร้ายกาจ หน้าตาไม่ แย่ความสามารถแข็งแกร่ง กระทั่งน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดิดาบแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริวก็สามารถสังหารได้ นี่เป็นความบ้าบิ่นระดับไหนกัน? จะไม่ทำให้ผู้หญิงชอบได้อย่างไร?
“เทียนเฉิน นายมีแฟนหรือยัง?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงเบา
“หือ? มีแล้ว…” เย่เทียนเฉินต่อไปตามใจ
“อ้อ!” หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ตอนที่เธอเจอเย่เทียนเฉินที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงก็เดาได้แล้ว ตอนนี้เย่เทียนเฉินยอดเยี่ยมขึ้นทุกวัน จะไม่มีแฟนได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนเขาจะมีความรู้สึกต่อเสี้ยวหยา เสี้ยวหยาก็ดูเหมือนจะมีความรู้สึกต่อเขา…ตลอดมาหลิงอวี่สวิ๋นไม่อยากคิดเช่นนี้ เนื่องจากในใจของเธอก็ชอบเย่เทียนเฉินเช่นกัน
“หนึ่งคน…สองคน…สามคน…สี่คน…”
“หือ?…”
ไหนเลยจะรู้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นยังไม่ทันมีปฏิกิริยา เย่เทียนเฉินก็ถึงกับเริ่มนับขึ้นมา เมื่อเอาไปรวมกับคำพูดที่ทั้งสองเพิ่งคุยกันเมื่อครู่นี้ เย่เทียนเฉินกำลังนับว่าเขามีแฟนกี่คนเหรอ? เจ้าชู้ขนาดนี้เชียว?
“เจ้าบ้า ไปตายซะ!” หลิงอวี่สวิ๋นหยิกแขนเย่เทียนเฉินอย่างแรงแล้วพูดขึ้น
“ว้าว…กล้ามเนื้อของฉันก็พัฒนาขึ้นนะ ว่าแต่เธอหยิกฉันทำไม?” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมา รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แขนจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้น
“ไม่อยากสนใจไหนแล้ว เจ้าบ้า” หลิงอวี่สวิ๋นถลึงตาใส่เย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงเดินไปที่บ้านไม้ด้านข้าง นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
ตอนนี้เย่เทียนเฉินถึงค่อยได้สติกลับมา ความจริงเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ฟังคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น ย่อมไม่รู้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นพูดอะไร มิฉะนั้นต่อให้เขาไม่มีอีคิวขนาดไหนก็คงไม่นับเลขแน่ ตอนนี้ได้สติกลับมาแล้ว เห็นว่าหลิงอวี่สวิ๋นนั่งงอนอยู่ด้านข้าง เย่เทียนเฉินถึงกับร้อนใจขึ้นมา เนื่องจากเมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่ง อย่างน้อยก็มี 10 กว่าคน ทั้งหมดพุ่งโจมตีไปยังป่าแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลที่สุด ราวกับเกิดเรื่องอะไรขึ้น
กองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้าเป็นกองทัพเดี่ยวที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศจีน ในจุดนี้เย่เทียนเฉินไม่คิดสงสัย ความสามารถของทุกคนในกองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้าต่างลึกล้ำไม่อาจคาดเดา แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เรื่องที่สามารถทำให้พวกเขารวมตัวกันแบบนี้ได้ อีกทั้งยังเป็นเรื่องเร่งร้อน เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องเล็ก ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงอยากจะไปดูสักหน่อย
ความจริงหลังจากมาถึงที่นี่ เย่เทียนเฉินก็พยายามกดข่มนิสัยอยากรู้อยากเห็นของตนมาโดยตลอด เขาอยากจะไปดูค่ายใหญ่ของกองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้าสักหน่อย ตอนนี้เป็นโอกาสดีแล้ว แต่หลิงอวี่สวิ๋นยังอยู่ที่นี่จึงปลีกตัวไปไม่ได้ ทำให้เย่เทียนเฉินรีบคิดหาวิธีอย่างร้อนใจ
“ฮี่ๆ อวี่สวิ๋น ความจริงที่ฉันพูดไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันคิดว่าแฟนที่เธอพูดหมายถึงเพื่อนผู้หญิง ดังนั้นก็เลยนับ เธอดู มีเสี้ยวหยา ซูเฟยเฟย ฉีหรูเสวี่ย หลิ่วหรูเหมย แล้วก็มีเธอที่เป็นเพื่อนผู้หญิงของฉัน ฉันคิดแบบนี้!” เย่เทียนเฉินเดินมาเบื้องหน้าหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้น
“จริงเหรอ? ถ้างั้นนายชอบเสี้ยวหยาหรือว่า…” หลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาได้ครึ่งประโยคก็หยุดพูด แน่นอนว่าเธอพูดต่อไปไม่ได้ ต้องดูแล้วว่าเย่เทียนเฉินจะพูดอะไร
“นี่น่ะเหรอ ความจริงนะอวี่สวิ๋น พวกเราสองคนเป็นเพื่อนวัยเด็ก สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าพูดถึงความรู้สึก ฉันรู้สึกว่าพวกเราสองคน…” เย่เทียนเฉินรีบระดมสมอง ต่อให้เป็นคนโง่อย่างไร บางครั้งก็ต้องเล่นลูกไม้บ้าง โดยเฉพาะผู้ชาย ถ้าเล่นลูกไม้นิดหน่อยไม่เป็นคงไม่มีผู้หญิงอยู่กับคุณแล้ว
“เทียนเฉิน…” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความเขินอาย ใจเต้นระรัว
ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้เอง หากคนที่ตนชอบมาพูดคำพูดเหล่านี้เธอก็ใจเต้น รู้สึกมอมเมา รู้สึกเขินอาย ถ้าตนเป็นคนที่ตนไม่ชอบมาพูดคำพวกนี้ เธอจะรู้สึกรังเกียจ รู้สึกอยากอัดคนคนนั้น
“ที่นี่ไม่เหมาะจะดูดาวเลย พวกเราไปดูทางนั้นกันก็ไม่เลวนะ ไปกันเถอะ” เย่เทียนเฉินขัดคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อืม!”
สิ่งที่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินที่เป็นเหมือนท่อนไม้ มีอีคิวต่ำจนถึงขั้นติดลบมาโดยตลอด จู่ๆ จะถึงกับพูดคำหวานออกมาได้ ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นเพราะเย่เทียนเฉินอยากไปดูสถานการณ์ที่ป่าแห่งนั้นสักหน่อย ไปดูว่ากองกำลังของขุนพลระดับทัพฟ้าเจอเรื่องอะไรกันแน่
ในใจของเย่เทียนเฉินหัวเราะเจ้าเล่ห์ เขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะพูดจาเล่นลิ้นแบบนี้ออกมาได้ และดูเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากด้วย ท่าทางในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก ผู้หญิงข้างกายมีมากประหนึ่งปุยเมฆ เขาคงได้เรียนรู้มาบ้าง เพียงแต่หลังจากมาเกิดใหม่บนโลกนี้ก็ไม่ได้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องคลุกคลีกับผู้หญิงเลย
“พวกเราไปกันเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นก็ลืมเรื่องที่หยางอี้และชิงหู่กำชับตัวเองไว้แล้วว่าอย่าได้เดินไปไหนมั่วซั่ว เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินไม่เดินไปข้างหน้าจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูด
“เอาแบบนี้แล้วกัน เธอหลับตาลงนะ ฉันจะใช้พลังพิเศษพาเธอบินไป ไม่งั้นเดินไปเองจะนาน” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดอย่างจริงจัง
“งั้น งั้นก็ได้!” หลิงอวี่สวิ๋นรู้นานแล้วว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจมาก และรู้ว่าเขาเป็นผู้มีพลังพิเศษในตำนานเล่าขาน ย่อมต้องเชื่อเย่เทียนเฉินมาก หลังจากคิดครู่หนึ่งแล้วจึงหลับตาลง
หลังจากหลับตาลงประมาณ 5 นาที หลิงอวี่สวิ๋นก็ยังไม่ได้ยินเสียงเย่เทียนเฉินบอกให้ลืมตาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย ในตอนที่หลิงอวี่สวิ๋นลืมตาขึ้นมา พบว่าตนอยู่ในบ้านไม้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกมัดอยู่บนเสาด้วย สมองอันชาญฉลาดคิดเพียงครู่เดียวก็เข้าใจ เธอกัดฟันตะโกนว่า
“เย่เทียนเฉิน ไอ้บ้า…”
………………………………..