เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 55 พวกแกปัญญาอ่อนกันทั้งครอบครัว
ลั่วซงเฉิงคุยโวโอ้อวด อยากจะทำการกดดันตระกูลเย่ กระทั่งแผนการฆ่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินปรากฏตัว ก็ถูกทำให้รวน โดยเฉพาะการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินกับเถี่ยฉุย ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เถี่ยฉุยจากไป ทำให้ลั่วซงเฉิงคิดชั่วขณะว่า ทหารคนสนิทหลายสิบคนที่ตนเองนำมา อาจจะยังไม่พอ!
แม้ว่าขาจะถูกยิง ก็ไม่เป็นอุปสรรคใหญ่หลวง จะอย่างไรลั่วซงเฉิงก็เป็นทหารคนหนึ่ง สามารถเป็นรองผู้บัญชาการทหารระดับเขตได้ ความอดทนก็ต้องมากกว่าคนธรรม เขาเพียงแต่แปลกใจ แต่ไม่ได้ถูกทำให้ตกใจ เพียงแค่คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่เป็นตัวตลกของทั่วทั้งจิงตูคนนี้ และยังเป็นเศษสวะไม่เอาไหน จะมีฝีมือแข็งแกร่งเช่นนี้ แข็งแกร่ขนาดดเถี่ยฉุยที่เป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า ก็ยังไม่มีทางชนะเขาได้ ช่างทำให้ผู้คนรู้เหลือเชื่อจริงๆ
ได้ยินคำกล่าวของลั่วซงเฉิง เย่หย่วนซานก็ขมวดคิ้ว เขาไม่ใช่คนที่ไม่รอบคอบ ตอนที่ได้รู้ว่าลั่วซงเฉิงนำคนมาล้อมตระกูลเย่ เขาก็เคยคิดว่าจะไม่ให้ครอบครัวของลูกสามกลับมา ให้ลูกคนโตเย่มู่ไป๋กับลูกคนที่สองเย่เฮ่อกั๋วออกไปซ่อนให้หมด
แต่ว่านี่ล้วนแต่ไม่ได้ผล ตระกูลเย่ตกต่ำลง ตกเป็นตระกูลชั้นสาม จิงตูเป็นสถานที่ที่มีอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อยู่นับไม่ถ้วน ตระกูลชั้นสามตระกูลหนึ่งไม่สามารถสร้างคลื่นลมยิ่งใหญ่ได้ ต่อให้ผู้อาวุโสเย่ยังมีความสัมพันธ์เก่าก่อนอยู่บ้าง แต่ว่าข้าราชการของจีนต่างก็กระจ่างชัด คนเราเมื่อออกจากต่ำแหน่งก็ไร้ซึ่งคนเคารพ คุณไม่อยู่ในตำแหน่งแล้ว ใครจะคิดบัญชีให้คุณกันเล่า?
หากว่าเย่หย่วนซานให้ลูกชายทั้งสามออกจากบ้านเพื่อหลบวิกฤต เช่นนั้นก็จะทำให้คนทั่วทั้งจิงตูคิดว่าเย่เทียนเฉินฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทา ความรับผิดชอบของเรื่องทั้งหมดนี้ต่างก็ตกอยู่ที่ตระกูลเย่ รวมกับที่ลั่วซงเฉิงเดิมทีก็เป็นคนที่ปกป้องและถือหางพรรคพวกเป็นอย่างมากคนหนึ่ง นำทหารคนสนิทของตนเองมาหลายสิบคน ต้องการกระทำการรุนแรงที่ตระกูลเย่ ถ้าหากว่าถูกเขารู้สถานการณ์นี้ก็เป็นไปได้ว่าจะถูกเขาตามฆ่าคนตระกูลเย่ของตน ยิ่งมีข้ออ้างและเหตุผลที่จะยิงปืนฆ่าคนมากขึ้นไปอีก ดังนั้นคิดไปคิดมา เย่หย่วนซานจึงเลือกตัดสินใจนำคนในตระกูลมารวมตัวกัน เช่นนี้นจะมากน้อยก็ยังสามารถปกป้องพวกเขาได้
“เรื่องนี้ไม่สามารถด่วนสรุปได้ แค่อาศัยคำพูดเดียว ก็ตัดสินว่าเย่เทียนเฉินหลานของผมเป็นคนทำ จะสะเพร่าเกินไปแล้ว!” เย่หย่วนซานหลายปีมานี้ แม้ว่าจะไม่ค่อยดีกับครอบครัวของลูกสาม แต่ว่าในช่วงเวลาสำคัญก็มักจะยืนอยู่ข้างเดียวกัน จะอย่างไรก็เป็นญาตใกล้ชิดกัน
“ใช่แล้ว พี่ลั่ว ต่อให้ลูกชายผมโง่งมกว่านี้ ก็คงไม่โง่ถึงขนาดว่าหลังจากฆ่าคนแล้ว ยังทิ้งข้อความเอาไว้ที่สถานที่เกิดเหตุหรอกครับ? นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการบอกให้คนทั่วทั้งจิงตูรู้ว่าเป็นเขาที่ฆ่าหรอกเหรอ?” เย่หงรีบเปิดปากพูด
ลั่วซงเฉิงมองเย่เทียนเฉิน สบถเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่ง เปิดปากกล่าวอย่างดุดันว่า “ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าตระกูลเย่ของพวกแกให้กำเนิดเศษสวะไม่เอาไหนออกมาคนหนึ่ง ฉันดูแล้วเขาไม่เพียงแค่เป็นเศษสวะ แต่ยังปัญญาอ่อนอีกด้วย ไอ้ปัญญาอ่อนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ…”
“ใครปัญญาอ่อน? ฉันว่าแกนั่นแหละปัญญาอ่อน ทั้งตระกูลแกสิปัญญาอ่อน!” เย่เทียนเฉินพูดด่ากลับคำเดิม ไม่ไว้หน้าลั่วซงเฉิงเลยแม้แต่น้อย
“แก…” ลั่วซงเฉิงโกรธจนหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวม่วง คนตระกูลเย่พวกนี้ มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา กล้าที่จะหาเรื่อง กลัวการข่มขู่ของเขาซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการทหารระดับเขตซะที่ไหน
“แกอะไร? ไอ้แก่ ฉันเคารพที่แกเป็นผู้ใหญ่ ถึงจะเตือนแกสักคำ อย่าอาศัยที่ว่าตัวเองแก่แล้วมาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ฉันรับไม่ได้” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองลั่วซงเฉิงอย่างไม่แยแส
“ดี ดี ดี ผู้อาวุโสเย่ ในเมื่อหลานของคุณโอหังเช่นนี้ ก็อย่ามาโทษว่าผมไม่เกรงใจแล้วกัน!”
ลั่วซงเฉิงโกรธจนแทบจะเต้นเร่าๆ ถึงขั้นพูดคำว่าดีสามครั้ง และเตรียมที่จะใช้ปืน เขาไม่เชื่อว่า ทหารคนสนิทพร้อมด้วยอาวุธปืนหลายสิบคน ซึ่งได้ปิดล้อมบ้านตระกูลเย่ไว้แล้ว จะไม่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินคุกเข่าร้องขอชีวิตได้
ในตอนที่ลั่วซงเฉิงกำลังจะออกคำสั่งให้ทหารคนสนิทหลายสิบคนที่ล้อมตระกูลเย่อยู่นั้นให้เปิดฉากยิง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ตอนนี้เอง ลั่วซงเฉิงที่เดิมทีมีท่าทีโกรธจัด ไม่แม้แต่จะมองเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอ ก็รับโทรศัพท์แล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “ใคร? มีอะไรก็รีบพูดมา มีลมก็รีบผาย…”
ประโยคหนึ่งยังไม่ทันพูดจบ สีหน้าของลั่วซงเฉิงก็เปลี่ยนไป คำพูดก็เปลี่ยนท่าทีไปแปดส่วน มุมปากมีร้อยยิ้มขมขื่นประดับอยู่พลางกล่าวว่า “พี่ชาง ท่านบอกว่า ท่านบอกว่า…”
“ทราบแล้วครับ ทราบแล้วครับ รบกวนท่านบอกต่อรองประธานาหยางด้วยนะครับ ผม ผมเองก็หุนหันไปหน่อย…”
หลังจากที่วางโทรศัพท์ไป ลั่วซงเฉิงก็มองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ รู้สึกไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็จนใจ จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ชางหลางจะโทรมาหาตนเอง หากกล่าวถึงชางหลางแล้ว ตำแหน่งของเขาสูงกว่าตนเองไม่เท่าไหร่ ยังไม่มีอำนาจสั่งการตนเอง แต่ว่าในคำที่ชางหลางกล่าวตอนสุดท้ายนั้น บอกเขาอย่างชัดเจนว่า นี่คือ “น้ำใจของรองประธานหยาง” นี่ทำให้ลั่วซงเฉิงสั่นสะท้าน ไม่อาจไม่ชั่งน้ำหนักความสำคัญของเรื่องนี้
รองประธานหยาง คือรองประธาน คณะกรรมาธิการทหาร เป็นตำแหน่งเช่นไรนั้น ลั่วซงเฉิงย่อมกระจ่างแจ้งดี สำหรับคำสั่งของเขา ตนเองไม่กล้าที่จะไม่ฟัง ขนาดในฝันก็ยังคิดไม่ถึงว่ารองประธานหยางจะถึงกับช่วยพูดให้เย่เทียนเฉิน ยืนอยู่ข้างเย่เทียนเฉิน นี่ตกลงแล้วมันเพื่ออะไรกัน? เมื่อไหร่กันที่ตระกูลเย่ผูกสัมพันธ์กับรองประธานหยาง?
“เย่หย่วนซาน เรื่องนี้ผมไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่ คอยดูพวกเราก็แล้วกัน!”
ลั่วซงเฉิงทิ้งคำพูดอันน่ากลัวไว้ประโยคหนึ่ง แล้วนำทหารคนสนิทพร้อมด้วยอาวุธปืนหลายสิบคนของตนเองถอนกำลังออกจากบ้านหลักตระกูลแย่ไป นี่ทำให้เย่หย่วนซานและคนอื่นๆ ไม่ค่อยเข้าใจนัก ลั่วซงเฉิงที่มาด้วยท่าทีดุดันโหดเหี้ยม ท่าทีฮึกเหิมที่ไม่ลังเลเลยว่าจะฆ่าล้างคนที่บ้านหลักตระกูลเย่ ไหนเลยจะรู้ว่า ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด กลับถอนกำลังจากไป ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“เทียนเฉิน นี่…” เย่หงมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกพลางคิดว่าเขาน่าจะรู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงใช้น้ำเสียงที่สื่อถึงการถาม
“ลูก นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลัวเยี่ยนเองก็กล่าวถามอย่างร้อนรน
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ในเมื่อลั่วซงเฉิงไปแล้ว งั้นก็อธิบายได้ว่าตระกูลเย่ของพวกเราไม่มีอันตรายอะไรแล้ว พ่อแม่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ ท้องผมหิวหมดแล้ว!” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่ง กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก
กล่าวตามจริง เย่เทียนเฉินเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เดิมทีเขาคิดว่าลั่วซงเฉิงจะออกคำสั่งให้ทหารพวกนั้นเปิดฉากยิง ตนเองก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้พลังพิเศษ จัดการทหารถือปืนหลายสิบคนนี้ให้ราบคาบ ไหนเลยจะรู้ว่าในช่วงเวลาสำคัญ โทรศัพท์สายหนึ่ง ก็ทำให้ลั่วซงเฉิงที่เดิมทีวางอำนาจท่าทางใหญ่โต พลันกลายเป็นมะเขือที่ถูกน้ำค้าง มึนงงไม่รู้ทิศทางไปแล้ว!
แต่ว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ก็แตกหักกับตระกูลลั่วไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ตนเองให้อู๋เสวี่ยไปฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทา เรืองนี้ย่อมไม่มีทางดีไปได้ จะให้ลั่วซงเฉิงที่โองหังเหิมเกริมมาตลอดไม่คิดแก้แค้น ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ต้องใช้แรงปะทะแรง อาศัยที่ตนเองทำร้ายลั่วเหลยและลั่วเทา ไอ้แก่ลั่วซงเฉิงก็ข่มขู่แกมบังคับใช้ผลประโยชน์เข้าแลกให้อู๋เสวี่ยมาฆ่าตนเอง เห็นได้ว่าเฒ่าชราคนนี้มีนิสัยโหดเหี้ยม หากไม่กำจัด อันตรายที่มีต่อตระกูลเย่ในภายหลังก็จะไม่จบไม่สิ้น
“เย่หง ครอบครัวของแกคืนนี้ไม่ต้องไปแล้ว เรียกเฉี่ยนเหวินมาเถอะ พวกเราครอบครัวมากินข้าวด้วยกัน” เย่หย่วนซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ปู่ครับ พวกเรายุ่งมาก…” เย่เทียนเฉินไม่อยากจะอยู่ที่บ้านตระกูลเย่แม้แต่นาทีเดียว สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกดีๆ แก่เขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อก่อนเขาอยู่ที่นี่ก็มักจะได้รับโทษตามกฏบ้าน ถูกลุงใหญ่และลุงสองด่าว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน เป็นเศษสวะ ต่อหน้าคนมากมาย ทำให้พ่อแม่ขายหน้า ดังนั้นสถานที่แห่งนี้ สำหรับครอบครัวของพวกเขาแล้วไม่มีค่าพอให้โหยหาเลยแม้แต่น้อย
“พ่อครับ งั้นก็ดีเลย คืนนี้พวกเราก็กินข้าวกันที่นี่ มีความสุขกับครอบครัวสักหน่อย!” เย่หงกล่าวขัดคำพูดของเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก กล่าวกับเย่หย่วยซานผู้เป็นพ่อด้วยรอยยิ้ม
เย่หย่วนซานพยักหน้า มองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเองไม่ได้ถือสาที่หลานคนนี้ไม่เคารพตนเอง หลายปีมานี้ ตนรู้สึกขอโทษต่อครอบครัวลูกสามจริงๆ สำหรับหลานคนนี้ก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง ดังนั้นในใจเย่เทียนเฉินไม่มีความสุขก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ว่า ตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินพุ่งเข้าไปตำหนิลุงใหญ่กับลุงสองของเขาเพราะหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ได้รับความอยุติธรรม จนถึงตอนนี้ พอปรากฏตัวขึ้นมาก็ทำให้ลั่วซงเฉิงที่โอหังเหิมเหริมหาที่เปรียบกลัวจนขาอ่อน สุดท้ายลั่วซงเฉิงก็จากไปอย่างจนใจ ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีอะไร ต่างก็ดูกถูกไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ตระกูลเย่ทั้งตระกูลที่สามารถทำตรงส่วนนี้ได้ ก็มีเพียงเย่เทียนเฉิน บางทีหลานที่เคยเป็นเศษสวะไม่เอาไหนคนนี้ อาจเป็นความหวังที่จะสามารถทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองจริงๆ ก็ได้
ตอนนี้เอง ภายในจิงตู ณ ภูมิภาคทางใต้ บนชั้นบนสุดของอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง หลังจากที่ชางหลางโทรหาลั่วซงเฉิงแล้ว ก็ยืนด้วยความเคารพอยู่หน้าประตูพลางเคาะประตูขึ้น เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากภายใน จึงเดินเข้าไป ยืนตรงอยู่กลางออฟฟิศขนาดหนึ่งร้อยกว่าตราางเมตร กล่าวรายงานด้วยเสียงดังกังวานว่า “หัวหน้าครับ ผมให้ลั่วซงเฉิงถอนทหารแล้วครับ อีกอย่างได้บอกเขาไปอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นน้ำใจของคุณ”
บริเวณส่วนหน้าของสำนักงานอันกว้างไหญ่ มีชายชราอายุประมาณหกสิบปีคนหนึ่งนั่งอยู่ สวมชุดทหาร ปรากฏแววยุติธรรมสายหนึ่งอยู่ระหว่างคิ้ว ทั้งยังมีลักษณะอันน่าเกรงขามที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าลบหลู่ นี่ก็คือหยางอี้ผู้เป็นรองประธาณคณะกรรมาธิการทหารแห่งชาติ เป็นเขาที่ให้ชางหลางโทรไปหาลั่วซงเฉิงละสั่งให้ลั่วซงเฉิงถอนทหาร
“เกี่ยวกับเรื่องตระกูลลั่วกับตระกูลเย่ วันหลังค่อยว่ากัน ข่าวกรองที่นายได้รับเป็นเรื่องจริงหรือ? ที่ฉันอยากจะรู้ก็คือ เด็กคนนี้จะมีความสามารถพอที่จะรับภารกิจครั้งนี้ได้หรือไม่” หลางอี้มองชางหลางพลางกล่าว
“หัวหน้า เกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะสามารถทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จหรือไม่ ผมไม่กล้ารับประกัน รู้แต่ว่าเด็กคนนี้แข็งแกร่งมาก เถี่ยฉุยไม่ใช่คู่มือของเขา” ชางหลางเปิดปากพูด
หยางอี้ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงมองชางหลางพลางกล่าวว่า “นายต้องเข้าใจว่า ภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจพิเศษไม่เหมือนภารกิจทั่วไป ระหว่างทางไปยังประเทศเขา ไม่รู้ว่าจะพบกับยอดฝีมืออะไรบ้าง หากว่าเด็กคนนี้ไม่สามารถเอาชนะยอดฝีมือทั้งหมด ไม่สามารถปกป้องคนตระกูลหลิ่ว และไม่สามารถไปทำภารกิจให้สำเร็จได้ จะมีความสูญเสียต่อประเทศจีนของพวกเราเป็นอย่างมาก คนก็เป็นนายที่แนะนำมา ดังนั้นนายก็รับผิดชอบไป…”
ชางหลางชะงักไปชั่วครู่ เขาเข้าใจความหมายของรองประธานหยางอี้ มีตำแหน่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของรองประธานคณะกรรมาธิการทหารมาสิบกว่าปี ชางหลางย่อมเข้าใจว่าหยางอี้เป็นคนเช่นไร ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์แบบลูกน้องหัวหน้าที่เคร่งครัด แต่ก็พูดได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนและเพื่อนร่วมงานด้วย ดังนั้นชางหลางจึงเรียกหยางอี้ว่า “หัวหน้า” อย่างสนิทสนม แต่ก็เข้าใจดีถึงความสาหัสของภารกิจครั้งนี้ หากว่าเกิดความผิดพลาดแม้เพียงครึ่งส่วน ใครก็มิอาจแบกรับความรับผิดชอบนี้ไหว
……………………………………………………………….