เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 69 ชายผู้เปรียบเสมือนมัจจุราชและอันธพาล
บทสนทนาของฉินอี้ผู้เป็นผู้อาวุโสตระกูลฉินและหยางอี้รองประธานคณะกรรมาธิการทหาร ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาสลักสำคัญอะไร เพียงแค่พูดขึ้นมาเล็กน้อย ก็สิ้นสุดลงแล้ว
คนที่อยู่ในตำแหน่งเช่นพวกเขา ไม่ใช่พูดแล้วเหลือไว้สามส่วน แต่เป็นพูดแล้วเหลือไว้ห้าส่วน พูดเพียงครึ่งเดียวก็พอแล้ว ทุกคนต่างก็เป็นคนฉลาด ย่อมเข้าใจถึงความร้ายกาจของความสัมพันธ์ มีเพียงฉินเทาหยวนและฉินเหิงสองพ่อลูกโง่เง่าคู่นี้ที่จะมีท่าทางราวกับว่าพ่อข้าใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน คนที่กุมอำนาจไว้ในมืออย่างแท้จริง ต่างก็ไม่อวดอ้าง ต้อนรับผู้คนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
สุดท้ายฉินอี้ทำได้เพียงกล่าวกับหยางอี้ประโยคหนึ่งว่า “ถ้าหากคนของคุณพาตัวคนร้ายไป หวังว่าจะส่งมาให้ผมลงโทษ อันธพาลคนนี้ ถ้าไม่ยิงประหาร จะยังมีกฏหมายบ้านเมืองที่ไหนอยู่อีก ส่วนตระกูลเย่ ผมจะโทรไปหาเอง”
หยางอี้ทำเพียงพยักหน้ายิ้มๆ ไม่ได้รับคำ ประโยคนี้ไม่จำเป็นต้องรับ และไม่รับจะดีเสียกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เขาสามารถแน่ใจได้ก็คือ ต้องเป็นชางหลางที่พาตัวเย่เทียนเฉินไปแน่นอน เพื่อทำภารกิจปกป้องและส่งคนไปแลกเปลี่ยนเอกสารลับที่ประเทศmให้สำเร็จ
แต่ในคำพูดประโยคนี้ของฉินอี้ก็สามารถรู้อะไรหลายๆ อย่าง หวังว่าเขาหยางอี้จะไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง ไม่ปกป้องเย่เทียนเฉิน มิฉะนั้นเขาฉินอี้จะไม่ยอมจบง่ายๆ อีกอย่างก็คือ ตระกูลฉินเดิมทีก็ไม่ได้เห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตา ต้องการจับเย่เทียนเฉิน ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉิน ก็ทำแค่โทรไปสักหน่อยก็เท่านั้น
หยางอี้มองฉินอี้เดินออกไปจากออฟฟิศของตนเองพลางขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงต่อสายไปหาชางหลาง ไม่ใช่ว่าหยางอี้จะกลัวอะไรฉินอี้ ตำแหน่งของทั้งคู่ล้วนไปถึงระดับที่แน่นอนแล้ว ไม่มีใครกลัวใคร เพียงแต่หลายๆ เรื่องจำเป็นต้องมีทางหนีทีไล่
ชางหลาง ณ เวลานี้เพิ่งจะจ่ายเงินออกมาจากร้านอาหารทะเล โกรธจนหน้าเขียว เย่เทียนเฉินเจ้าหมอนี่คนเดียวกินไปหลายพันหยวน ก่อนจากมายังสั่งกุ้งมังกรตัวใหญ่ห่อกลับบ้านไปอีก ช่างทำให้ผู้อื่นเกิดอารมณ์อยากอัดไอ้หมอนี่แรงๆ สักยกเสียจริง
เถี่ยฉุยกำลังขับรถอยู่ ส่วนชาหลางนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านหลัง ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายเสียแล้ว เขาเลือกเย่เทียนเฉินให้ทำภารกิจในครั้งนี้ เพราะคนคนนี้ไม่ได้เป็นทหารแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีข้อผูกมัดของทหาร การกระทำพูดจาล้วนแต่ตามใจ และเพราะเขาเหมาะสมกับเงื่อนไขนี้พอดี ต่อให้ไปก่อเรื่องที่ประเทศm รัฐบาลของประเทศmก็มิอาจประณามรัฐบาลจีนได้ มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ตอบรับเงื่อนไขสามข้อของเย่เทียน และยังช่วยเขาขวางการแก้แค้นของตระกูลลั่วและตระกูลฉินในช่วงนี้อีกด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะคุ้มค่าหรือไม่
“นายพลชาง เย่เทียนเฉินคนนี้เอ้อระเหยจริงๆ ผมกังวลว่าเขาจะเชื่อถือไม่ได้ ถ้าหากทำภารกิจไม่สำเร็จจะทำยังไงดีครับ?” เถี่ยฉุยกล่าวถามอย่างกังวล
“ไม่หรอก ฉันเชื่อสายตาของตัวเอง หลายปีมานี้ ทหารที่เข้าตาฉัน คนไหนบ้างที่ไม่กลายเป็นคนโดดเด่น เย่เทียนเฉินแม้จะมีนิสัยอันธพาลอยู่บ้าง แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จ” ชางหลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ผมกลัวว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ จะติดเล่นจนเกินไป เอาแต่ผลประโยชน์ไม่ยอมทำงาน ถึงตอนนั้นก็ซวยแน่ คุณเคยรับประกันกับรองประธานหยางเอาไว้ ถ้าหากเย่เทียนเฉินทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ คุณจะออกจากการเป็นทหาร…” เถี่ยฉุยกล่าวอย่างร้อนใจ
ความจริงแล้ว ตั้งแต่ที่พบเย่เทียนเฉินที่เป้ยเฟิงเซวียน การแสดงออกบนเส้นทางนี้ของเขา ล้วนแต่ไม่น่าเชื่อถือ เอ้อระเหยลอยชาย ติดเล่นไม่สนโลก เหมือนคนที่จะสามารถไปทำภารกิจที่ประเทศmได้ที่ไหนกัน
เถี่ยฉุยติดตามเป็นลูกน้องชางหลางทำเรื่องราวต่างๆ ไม่ใช่แค่วันสองวันทั้งสองคนมีความสัมพันธ์แบบหัวหน้าลูกน้อง ตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ก็เป็นดั่งพี่น้อง ดังนั้นเรื่องการปกป้องบุคคลากรไปประเทศmเพื่อดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับสำคัญขนาดไหน เถี่ยฉุยเองก็ทราบ ถ้าหากเย่เทียนเอาเงินไปโดยไม่ทำงานจริงๆ หรือสละชีพอยู่ที่ประเทศmและทำภารกิจไม่สำเร็จ ถึงตอนนั้นชางหลางจะต้องถูกทำโทษอย่างแน่นอน
“เถี่ยฉุย นายรู้แค่ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนมิอาจหยั่งถึง แต่กลับไม่เข้าใจชายที่เป็นดั่งมัจจุราชและอันธพาลคนนี้ ตอนที่เขาจริงจังขึ้นมา ใครก็ขวางการก้าวเดินของเขาไว้ไม่ได้”
ตอนที่ชางหลางกล่าวคำพูดนี้ ในดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง กระทั่งเลือดอันร้อนรุ่มในกายของเขาก็เดือดพล่านขึ้นมา ชางหลางที่มีฐานะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนและได้เข้าสู่คณะกรรมาธิการทหารไปแล้ว โอกาสที่จะลงมือด้วยตนเองน้อยจนน่าสงสาร การลงมือสู้ตัวต่อตัวกลายเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของเขาไปแล้ว
แต่ว่าชางหลางเป็นขุนศึกคนหนึ่ง มีความปราถนาในการต่อสู้อันดุเดือดบ้าคลั่งเช่นกัน ตอนที่เย่เทียนเฉินเสนอออกมาว่า ถ้าหากสำเร็จภารกิจกลับมา ก็จะต่อสู้กับตน เลือดอันร้อนลุ่มในการต่อสู้ของชางหลางก็ถูกปลุกขึ้น เพราะเขาสามารถรู้สึกได้ถึงความสามารถในการต่อสู้ที่ลึกล้ำสุดหยั่งของเย่เทียนเฉิน ทั้งอยากจะลองทดสอบดูสักหน่อยว่าไอ้หนูคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่
“กลัวว่าคนคนนี้จะเชื่อถือไม่ได้น่ะสิครับ ถ้าหากมีเส้นประสาทเส้นไหนผิดปกติขึ้นมาก็แย่แน่ แล้วพรุ่งนี้เช้าเขาไปถึงสนามบินและเจอคนที่ต้องปกป้องคุ้มครองแล้ว เกรงว่าจะรีบกระโดดหนีไม่ยอมทำแล้วน่ะสิ…” เมื่อเถี่ยฉุยคิดถึงคนที่เย่เทียนเฉินต้องคุ้มครอง ไม่ต้องพูดมาก หากเปลี่ยนเป็นตัวเขาเอง ก็จะไม่ทำเด็ดขาด ดังนั้นการที่ชางหลางเลือกเย่เทียนเฉินไปทำภารกิจที่ประเทศm มีความเสี่ยงมากมายจริงๆ
“เรื่องนี้วางใจเถอะ เย่เทียนเฉินเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น เมื่อสักครู่นี้เขารับประกันกับฉันแล้วว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะทำภารกิจให้สำเร็จ” ชางหลางคิดถึงเมื่อสักครู่ที่ตนเองหลอกให้เย่เทียนเฉินรับปาก ก็รู้สึกว่าในที่สุดก็หลอกล่อเจ้าหมอนี่ได้ครั้งหนึ่ง
“งั้นพวกเราต้องส่งคนไปกับเย่เทียนเฉินไหมครับ เผื่อในกรณีที่…” เถี่ยฉุยคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา
“ไม่ต้องหรอก เหยียนหลงจะส่งคนสนิทสองคนไปกับเย่เทียนเฉิน พวกเราไม่ต้องส่งคนไป” ชางหลางกล่าวพลางส่ายหัว
“เหยียนหลง? กองทัพเหยี่ยวก็ต้องการแทรกแซงหรือครับ?”
เถี่ยฉุยคิดไม่ถึงเลยว่า ภารกิจปกป้องบุคลากรไปส่งที่ประเทศmเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลลับในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่มีหน่วยมังกรฟ้าของพวกเขารับผิดชอบ กระทั่งกองทัพเหยี่ยวเองก็แทรกแซงเข้ามาด้วย ดูแล้วเรื่องราวครั้งนี้มีความสำคัญมากจริงๆ
“นี่ก็เป็นแค่กลยุทธ์ที่ทำให้พอใจทั้งสองฝ่ายของเบื้องบนก็เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ขอเพียงเย่เทียนเฉินทำภารกิจให้สำเร็จ ฉันก็นับว่าส่งงานต่อให้รองประธานหยางได้แล้ว” ชางหลางเปิดปากกล่าว
ในตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของชางหลางก็ดังขึ้น เพลง ”คนเป็นทหาร” นี้ เป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของชางหลางมาโดยตลอด มีฐานะเป็นทหารคนหนึ่ง เป็นทหารมาหลายสิบปี มีอารมณ์ที่มิอาจตัดแบ่งจากกองทัพได้ตั้งนานแล้ว หากว่าชางหลางต้องเลิกเป็นทหารจริงๆ บางทีเขาอาจจะว่างเปล่าอย่างมากก็เป็นได้
“หัวหน้าครับ มีคำสั่งอะไรครับ?” ชางหลางรับโทรศัพท์ เปิกปากถามด้วยความเคารพ
“นายพาเย่เทียนเฉินไปจากเป้ยเฟิงเซวียนใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
“สถานการณ์เป็นยังไงกัน? บอกฉันหน่อยสิ” หยางอี้กล่าวถามเสียงเรียบ
“เย่เทียนเฉินอยู่ในเป้ยเฟิงเซวียน ทำร้ายฉินเหิงอย่างรุนแรง อัดเขาจนหน้าตาไม่เหลือเค้าเดิม จากนั้นหลูเซิ่งต๋าได้พาคนมาล้อมเป้ยเฟิงเซวียนฉินเทาหยวนก็มาด้วย ผมพาตัวเย่เทียนเฉินไปเนื่องจากพรุ่งนี้ก็จะต้องไปที่ประเทศmแล้ว ไม่อาจปล่อยให้ชายคนี้ถูกจับไปได้” ชางหลางกล่าวรายงาน
“ฉินอี้มาหาฉันด้วยตัวเอง บอกว่าให้นายส่งตัวเย่เทียนเฉินไปให้เขา ฉันไม่ได้แสดงความคิดเห็นไป แต่ว่าด้วยนิสัยของฉินอี้ จะต้องไม่จบดีๆ แน่”
“หัวหน้า บุญคุณความแค้นระหว่างเย่เทียนเฉินกับฉินเหิง พวกเราไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่ง แต่ว่าพรุ่งนี้ก็ต้องไปประเทศmแล้ว ช่วงนี้พวกเราจำเป็นต้องรับรองความปลอดภัยของเย่เทียนเฉิน ความแค้นระหว่างเขากับตระกูลฉิน รอให้เขาทำภารกิจสำเร็จกลับมาก่อนก็จะจัดการด้วยตัวเอง” ชางหลางกล่าวเสนอความเห็น
“อืม ฉันไม่มีความเห็นอะไร เรื่องราวก็จัดการตามนี้ไปก่อนชั่วคราวเถอะ”
“ครับหัวหน้า”
หลังจากที่วางโทรศัพท์ไป ชางหลางก็หยิบบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่ง จุดบุหรี่แล้วจึงสูบเข้าไปเฮือกหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเชื่อว่าเย่เทียนเฉินเป็นยึดมั่นใจสัจจะวาจา แต่ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ จากข้อมูลข่าวกรองที่รวบรวมมาในหลายปีนี้ ภายในหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจของประเทศm มียอดฝีมือมากมายเหลือเกิน อีกทั้งข่าวกรองที่แม่นยำในครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลประเทศmได้แอบว่าจ้างกองทหารรับจ้างที่แข็งแกร่ง เพื่อใช้วิธีนอกกฏหมายและฮุบเอาข้อมุลลับของทางฝั่งจีนไป
หลายคนอาจคิดว่า ในเมื่ออีกฝ่ายใช้วิธีสกปรกส่งยอดฝีมือมามากมายขนาดนี้ เตรียมใช้วิธีการนอกกฏหมายเพื่อจัดการอีกฝ่าย ทำไมฝั่งจีนจึงไม่ใช้แอบส่งยอดฝีมือไปบ้างเล่า? หรือจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลลับกับทางฝั่งประเทศmด้วยหรือ?
ปัญหานี้ ชางหลางเคยเข้าร่วมการประชุมสูงสุดของคณะกรรมาธิการทหารและทำการอภิปรายเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน การแลกเปลี่ยนข้อมูลลับในครั้งนี้ ไม่ทำไม่ได้ ถ้าหากว่าสามารถเอาข้อมูลมาได้ จะสามารถยกระดับการทหารของจีนได้มาก ในขณะเดียวกันหากทางจีนส่งยอดฝีมือไปด้วยเป็นจำนวนมาก ก็จะถูกผู้คนครหาว่าขี้ขลาดเอาได้ และจะทำให้ผู้ที่ทำการแลกเปลี่ยนของทางฝั่งประเทศmตื่นตระหนกและถึงขั้นไม่ทำการแลกเปลี่ยนอีกต่อไป ดังนั้นจากข้อสรุปในการอภิปราย จึงตัดสินใจส่งยอดฝีมือที่ไม่มีฐานะทางกองทัพไปด้วย เพื่อไปทำภารกิจให้สำเร็จ ชางหลางย่อมคิดถึงเย่เทียนเฉินเป็นคนแรก
ณ เวลานี้เอง ภายในรถลีมูซีนสีดำคันหนึ่ง ฉินอี้และฉินเทาหยวนสองพ่อลูกนั่งอยู่บริเวณที่นั่งด้านหลัง มีรถทหารหน่วยรบพิเศษแห่งทัพองครักษ์คุ้มครองหน้าหลัง นี่ก็เพื่อความปลอดภัยโดยสิ้นเชิง
“พ่อครับ เมื่อสักครู่นี้ทำไมไม่ให้ผมพูดให้จบล่ะครับ ชางหลางเป็นลูกน้องของหยางอี้ เขาพาตัวเย่เทียนเฉินไป หยางอี้จะไม่รู้ได้อย่างไร คนคนนี้กำลังปัดความรับผิดชอบ…” ฉินเทาหยวนกล่าวอย่างไม่สบายใจ
ฉินอี้มองฉินเทาหยวนครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจครั้งหนึ่ง พูดพลางส่ายหน้าว่า “เทาหยวน นิสัยของแกหุนหันพลันแล่นเกินไปจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องนี้มีเกี่ยวข้องกับหยางอี้หรือไม่ ต่อให้เกี่ยวข้อง แล้วจะทำอะไรเขาได้ล่ะ?”
“พ่อครับ ตระกูลฉินของพวกเราไม่มีใครกล้ามารังแก มีแต่พวกเรารังแกคนอื่น หรือจะต้องจบแค่นี้?” ฉินเทาหยวนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
หากต้องกล่าวว่าฉินเทาหยวนไร้สติปัญญาและความสุขุมนั้นย่อมมิใช่แน่นอน เพียงแต่หลายปีมานี้ อำนาจของตระกูลฉินยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้าท้าทายความน่ากลัวของตระกูลฉินมาก่อน ดังนั้นทำให้ลูกหลานตระกูลฉินทุกคนค่อยๆ โอหังขึ้นมาทีละน้อย อีกทั้งคราวนี้ฉินเหิงถูกทำร้ายจนหน้าตาไม่เหลือเค้าเดิม ต่อให้เก็บชีวิตกลับมาได้ ก็ไม่อาจออกไปพบผู้คนได้อีก ฉินเทาหยวนมีฉินเหิงเป็นลูกชายคนเดียว จะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร จะไม่โกรธแค้นจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันได้อย่างไร
“ฉันเชื่อว่าหยางอี้เข้าใจความหมายในคำพูดของฉัน และจะไม่สอดมือเข้ามา ตระกูลเย่และเย่เทียนเฉินเล็กๆ ยังกล้ามาลงมือกับลูกหลานของฉันฉินอี้ เห็นว่าฉันแก่จนใช้การไม่ได้รึไง? ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่าเย่หย่วนซานจะแลกเปลี่ยนอะไรกับฉัน ฉันไม่ได้ไล่ไปง่ายๆ เหมือนลั่วซงเฉิงหรอกนะ” ฉินอี้กล่าวด้วยความโกรธ
“พ่อครับ งั้นตอนนี้พวกเราทำยังไงดี?” ฉินเทาหยวนเปิดปากถาม
“ไปบ้านตระกูลเย่ ฉันต้องการให้เย่หย่วนซานหักขาทั้งสองข้างของเย่เทียนเฉินไอ้หลานตัวการของมันต่อหน้าฝูงชน เพื่อเป็นการลงโทษ!” ฉินอี้กล่าวอย่างเย็นชา
…………………………………………..