เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 74 รักหรือไม่รัก?
เย่เฉี่ยนเหวินเห็นท่าทางอยู่ในภวังค์ของฉีหรูเสวี่ย ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะฮี่ๆ ออกมา เธอรู้ว่าช่วงนี้พี่ชายไม่อ่อนโยนเลยสักนิด จะมากจะน้อยก็โจมตีฉีหรูเสวี่ย ในฐานะที่เป็นสาวงามเช่นเดียวกับฉีหรูเสวี่ย เธอย่อมรู้จิตใจของฉีหรูเสวี่ยดี เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากๆ มีคนมาจีบนับไม่ถ้วน ดูเหมือนว่าชายหนุ่มทุกคนที่พบเธอจะตกหลุรักเธออย่างบ้าคลั่ง จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่ทำตัวเฉยๆ กับเธอ ถึงขั้นทะเลาะถกเถียงกับเธอโผล่ขึ้นมา นิสัยดื้อรั้นหัวแข็งโดยกำเนิดของผู้หญิงก็จะระเบิดออกมา อยากได้รับการยอมรับจากชายคนนี้โดยไม่รู้ตัว อยากเอาชนะชายคนนี้
“ถ้าหากพี่สวยขนาดนั้นจริงๆ ทำไมพี่ชายของเธอถึงได้…” ฉีหรูเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาพลางกล่าว
ไม่ว่าฉีหรูเสวี่ยจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อเย่เทียนเฉินหรือไม่ จะชอบจริงๆ หรือไม่ บางทีเมื่อก่อนอาจจะไม่ชอบ แต่ตอนนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า บางทีแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่ชัดเจน
ตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นมา ตั้งแต่เข้ามาอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ ฉีหรูเสวี่ยวันๆ เอาแต่จัดการกับเย่เทียนเฉิน แม้ว่าทั้งสองจะทะเลาะถกเถียงกันทันทีที่เจอหน้า ไม่ยอมลงให้กัน แต่นี่ก็ทำให้สมองของฉีหรูเสวี่ย คิดถึงแต่เย่เทียนเฉินทุกวัน คิดว่าจะเก็บกวาดเจ้าคนชั่วนี่อย่างไร กลั่นแกล้งเจ้าคนชั่วนี้ ทำให้ในความคิดของเธอมีแต่เขา
“ฮี่ๆ พี่สาวหรูเสวี่ย พี่ชายของหนูคนนี้น่ะ ตลอดมาก็ไม่มีอีคิวเอาเสียเลย หนูไม่ขอปิงบังพี่แล้วกัน ในปีนั้นเขาเห็นหลิ่วหรูเหมยอายน้ำโดยไม่ตั้งใจ หลังจากที่ไปยอมรับผิดที่ตระกูลหลิ่วแล้ว เขาก็เปลี่ยนไป ดังนั้นบางทีกับผู้หญิงเขาอาจจะ…” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากคำพูดประโยคนั้นที่ฉีหรูเสวี่ยพูดพึมพำกับตนเองเมื่อสักครู่นี้ ดูเหมือนจะมีความหวังว่าอยากจะให้เย่เทียนเฉินใส่ใจตนเองอยู่รางๆ ราวกับไม่อยากให้เย็นชายอย่างไรอย่างนั้น บางทีในขณะที่ไม่รู้ตัว ในใจลึกๆ ของเธอได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว มีความรู้สึกดีๆต่อเย่เทียนเฉินแล้ว เพียงแต่กระทั่งตัวเธอเองก็ยังไม่รู้เท่านั้น เพียงแต่คิดว่าอยากจะ “แก้แค้น” เย่เทียนเฉินที่ดูหมิ่นตนเอง
“เรื่องนี้หลังจากที่พี่กลับประเทศมาก็ได้ยินมาเหมือนกัน กล่าวตามจริง แม้ว่าพี่จะทะเลาะกับพี่ชายของเธอทั้งวัน แต่ก็ไม่มีบุญคุญความแค้นอะไร จากการสังเกตของพี่ เขาไม่เหมือนกับคนที่จะแอบดูผู้หญิงอาบน้ำเลย อีกอย่างเรื่องนี้ก็มีลับลมคมใน ในเมืองหลวงตระกูลหลิ่วเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง หลิ่วหรูเหมยก็เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เธออาบน้ำ จะถูกแอบดูได้หรือ? เป็นไปได้อย่างไร?” ฉีหรูเสวี่ยเปิดปากถามอย่างสงสัย
ฉีหรูเสวี่ยเป็นนักเรียนดีเด่น และเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเป็นอย่างมาก ไม่ได้เป็นเฉกเช่นแจกันประดับอันไร้เดียงสา หลังจากที่เธอได้ยินเรื่องนี่ของเย่เทียนเฉิน ก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้น เธอไม่อยากเป็นเหมือนลูกหลานผู้ลาภมากดีหรือคุณหนูสูงศักดิ์ที่โง่งมคนอื่นๆ ที่รู้จักแต่หัวเราะเยาะผู้คน เธอเป็นผู้หญิงที่สามารถคิดพิจารณาเรื่องราวได้อย่างจริงจัง
ที่ฉีหรูเสวี่ยรู้สึกแปลกๆ และพูดออกมากับเย่เฉี่ยนเหวินในตอนนี้ เป็นเพราะตระกูลฉีของเธอก็ใกล้ชิดกับตระกูลชั้นหนึ่ง เธอสามารถเข้าใจได้ ตระกูลหลิ่วระดับสูงแม้จะไม่มีคนใหญ่โตอะไร แต่การสนับสนุนประเทศชาติของตระกูลของพวกเขากลับมากที่สุด ดังนั้นคนระดับสูงของประเทศเคารพตระกูลของพวกเขาเป็นอย่างมาก นี่คือสาเหตุที่ทำให้ตระกูลหลิ่วสามารถกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง
ส่วนหลิ่วหรูเหมย เป็นที่รู้จักในนามของสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงมาโดยตลอด สถานที่ที่เธออาบน้ำ จะมีสักกี่คนกันเชียวที่รู้? ต่อให้รู้ ก็ต้องมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาแน่นอน ตอนนั้นเย่เทียนเฉินที่เป็นลูกหลานของตระกูลชั้นสามคนหนึ่ง พูดถึงอำนาจก็ไม่มีอำนาจ พูดถึงฝีมือก็ไม่มีฝีมือ 0tสามารถเข้าไปถึงสถานที่ที่หลิ่วหรูเหมยอาบน้ำได้หรือ? คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ก็รู้สึกว่ามีลับลมคมในจริงๆ
“เรื่องนี้ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หนูเองก็ไม่รู้ หฯและพ่อแม่เพื่อที่จะไม่ให้พี่ชายต้องเสียใจ ต่างก็ตัดสินใจว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวพลันรู้สึกหนักอึ้งในใจ
“ไม่ใช่ว่าไม่พูดถึง แต่รู้สึกว่ามันแปลกๆ ถ้าหากมีคนใส่ร้ายพี่ชายเธอล่ะ? ช่างทำให้ผู้คนสงสัยจริงๆ เลย…” ฉีหรูเสวี่ยพูดความคิดเห็นของตนเองออกมาพลางขมวดคิ้ว
เมื่อฉีหรูเสวี่ยพูดเช่นนี้ เย่เฉี่ยนเหวินก็ยังรู้สึกว่าแปลกจริงๆ เมื่อปีนั้นตอนที่เกิดเรื่องนี้ ตนเองยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่ง ได้ยินเพียงพ่อและแม่พูดว่าพี่ชายก่อปัญหาใหญ่เข้าแล้ว ต้องไปขอรับโทษที่ตระกูลหลิ่ว หลังจากที่กลับบ้านมา พี่ชายก็เงียบขรึมลง สุดท้ายเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลับหลงเถิงไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็ยืนกรานว่าจะไปเป็นทหาร และจากไปเช่นนี้เอง
“ช่างเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก พี่สาวหรูเสวี่ย หนูคิดว่าพี่กับพี่ชายหนูแม้ว่าจะทะเลาะกัน แต่พวกพี่สองคนก็เข้ากันมากเลยนะ?” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวทำลายบรรยากาศจริงจังพลางยิ้ม
“เข้ากันมากเหรอ? พี่ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับพี่ชายเธอเลย คนคนนี้รู้จักแต่รังแกพี่ พี่จะต้องตอบโต้อย่างโหดเหี้ยมแน่นอน!” ฉีหรูเสวี่ยเมื่อคิดถึงการกลั่นแกล้งเย่เทียนเฉิน ก็รู้สึกคึกตักขึ้นมาบ้าง เธอกล่าวออกมาพลางทำปากจู๋
เย่เฉี่ยนเหวินมองฉีหรูเสวี่ยครู่หนึ่ง รู้สึกว่าได้เวลาแล้ว ควรจะถามคำถามนี้กับฉีหรูเสวี่ยอย่างจริงจังได้แล้ว แม่พูดได้ถูกต้อง ทำให้ชัดเจนไปเลยว่าตกลงแล้วฉีหรูเสวี่ยมีความรู้สึกต่อเย่เทียนเฉินหรือไม่ นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก มิฉะนั้นแบบนี้ล้วนไม่ยุติธรรมต่อเย่เทียนเฉินและพี่สาวหรูเสวี่ยเป็นอย่างมาก
“พี่สาวหรูเสวี่ย หนูขอถามพี่จากใจจริงสักคำถามหนึ่งได้ไหม? ที่นี่มีเพียงพี่กับหนูแค่สองคน พี่ต้องพูดความจริงนะคะ!” เย่เฉี่ยนเหวินยิ้มอย่างงดงามพลางกล่าว
“เด็กคนนี้นี่ พวกเราเป็นเพื่อนซี้กัน มีอะไรเธอก็ถามมาเถอะ เห็นแก่ฐานะที่ว่าหลายวันมานี้เธอช่วยพี่ต่อต้านพี่ชายของเธอ พี่จะตอบคำถามอย่างจริงจังสักคำถามหนึ่ง” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวพลางยิ้มหวาน
“อื้อ พี่สาวหรูเสวี่ย พี่ช่วยคิดอย่างจริงจังสักหน่อยนะคะว่าตกลงแล้วพี่มีความรู้สึกต่อพี่ชายของหนูหรือไม่ ตกลงแล้วพี่รักเขาหรือเปล่า…” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวถามพลางจ้องไปยังดวงตาของฉีหรูเสวี่ยเขม็ง
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ฉีหรูเสวี่ยจะตอบคำถามนี้ของเย่เฉี่ยนเหวินโดยไม่ต้องคิดพิจารณาเลยสักนิดอย่างแน่นอน มีเพียงสามคำคือ “ไม่รู้สึก”
แต่ว่า เมื่อสักครู่นี้ตอนที่ที่ฉีหรูเสวี่ยเตรียมจะพูดคำสามคำนี้ออกมา ในสมองของเธอ ก็ปรากฏภาพที่จูบกับเย่เทียนเฉินแวบขึ้นมา
นั่นเป็นจูบที่เกิดจากอุบัติเหตุ และนั่นก็เป็นจูบแรกของฉีหรูเสวี่ย และถูกเย่เทียนเฉินศัตรูคู่แค้นขโมยไปเช่นนี้ เธอเม้มปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ ความรู้สึกเช่นนั้นยังทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดจนถึงตอนนี้ เปรี้ยวนิดหน่อย หวานเล็กน้อย และยังฝาดเฝื่อน ทำให้เธอรู้สึกโมโหและขบคิดอยู่บ้าง
ดังนั้น คำพูดจึงติดอยู่ที่ปาก ฉีหรูเสวี่ยสูบหายใจเข้าแรงๆ ตอนนี้เธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายอารมณ์ของตนเองอย่างไร อยากจะพูดว่ามามีความรู้สึกต่อเจ้าคนชั่วเย่เทียนเฉิน แม้สักนิดก็ไม่รู้สึก แต่ว่าพอคิดถึงภาพจูบนั้น เธอก็ลังเล ความคิดสับสนวุ่นวายไปหมด
ความจริงผู้หญิงก็เป็นเช่นนี้เอง ยามเมื่อเธออยู่ด้วยกันกับผู้ชายที่ไม่สนใจ เรื่องราวใดๆ ก็ไม่เกิดขึ้น เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่เห็นชายคนนั้นอยู่ในสายตา แต่ว่าถ้าหากจับมือแล้ว กอดแล้ว กระทั่งจูบไปแล้ว ในใจของผู้หญิงคนนั้นก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว
ผู้หญิงก็เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกเช่นนี้เอง เมื่อตกหลุมรัก เมื่อมีความรู้สึกแม้เพียงนิด ก็ไม่มีทางควบคุมตัวเองได้ และถูกคว้าไปอย่างง่ายดาย ดังนั้นผู้หญิงทุกคนล้วนแต่ควรค่าที่จะถูกรักและถนอม
เย่เฉี่ยนเหวินเห็นฉีหรูเสวี่ยนชะงักอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วแน่นเป็นปม มีท่าทางราวกับไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็อดไม่ได้ที่จะยินดีอยู่ในใจ เช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าพี่ชายของตนยังมีหวัง อธิบายได้ว่าในใจของพี่สาวหรูเสวี่ยยังมีพื้นที่ของพี่ชายเย่เทียนเฉิน เพียงแต่ทั้งสองมักจะทะเลาะโต้เถียงกันบ่อยๆ จนถูกกลบฝังไปก็เท่านั้น
กล่าวตามจริง เย่เฉี่ยนเหวินอยากมีพี่สะใภ้เหมือนฉีหรูเสวี่ยสักคน ความสัมพันธ์ในช่วงเวลานี้ เธอกับฉีหรูเสวี่ยได้กลายเป็นเพื่อนซี้ที่คุยกันได้ทุกเรื่องไปตั้งนานแล้ว สนิทยิ่งกว่าพี่สาวน้องสาวแท้ๆ เสียอีก หรือว่านี่ก็คือโชคชะตา?
“ฮี่ๆ พี่สาวหรูเสวี่ย พี่เงียบก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพี่รู้สึกดีๆ กับพี่ชายหนูใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าตกหลุมรักเขาเข้าแล้วเหรอ?” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“มะ มีที่ไหนกันล่ะ เด็กคนนี้นี่กล้ามาเติมคำพูดให้ความเงียบของพี่เหรอ คอยดูเถอะพี่ไม่เก็บเธอไว้แน่!” ฉีหรูเสวี่ยได้สติกลับมาก็กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำพลางใช้มือจี้ไปยังเย่เฉี่ยนเหวิน
เย่เฉี่ยนเหวินรีบหลบ นี่นับว่าเธอทำงานที่แม่มอบหลายให้หมดแล้ว ในใจก็ยินดีเป็นอย่างมาก ขอเพียงพี่สาวหรูเสวี่ยมีความรู้สึกต่อพี่ชายเย่เทียนเฉิน เช่นนั้นก็ยังมีหวังที่จะกลายเป็นพี่สะใภ้ของตนได้ ที่เหลือก็คือการโน้มน้าวพี่ชายเย่เทียนเฉิน เวลาที่จะตามจีบอย่างบ้าคลั่งมาถึงแล้ว
ตอนนี้เอง ภายในคฤหาสน์ตระกูลฉิน ฉินอี้ใบหน้ามืดครึ้ม นั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงใหญ่ ด้านล่างมีลูกชายของเขาฉินเทาหยวนยืนอยู่ และยังมีอีกคนหนึ่งที่ทั้งร่างถูกห่อราวมันมี่ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าต้องเป็นฉินเหิงแน่นอน
ฉินเหิงในตอนนี้น่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ ใบหน้าไม่เหลือเค้าเดิม หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินยั้งเท้าเอาไว้ ชายคนนี้จะยังสามารถนั่งอยู่ที่นี่ได้ที่ไหนกัน คงไปนอนเป็นศพอยู่ในโรงพยาบาลตั้งนานแล้ว แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่กระดูกบนใบหน้าก็หักทั้งหมด ต้องทำการผ่าตัดเย็บเข้าด้วยกัน ต่อให้หายเป็นปกติ ก็ยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้ น่าเกลียดจนทำให้ผู้คนตกใจกลัว
“พ่อครับ เหิงเอ๋อร์ถูกทำร้ายจนมีสภาพแบบนี้ เรื่องเลวร้ายแบบนี้ผมยอมไม่ได้ จะต้องแยกไอ้เจ้าเย่เทียนเฉินเป็นชิ้นๆ ให้ได้แน่นอน” ฉินเทาหยวนมองฉินเหิงที่ไม่อาจกล่าวคำพูดออกมาได้ ก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“อา อา…” ฉินเหิงเองก็ราวกับมีไฟแห่งความโกรธแค้นลุกโชนอยู่ในสองตา สั่นไปทั้งตัว อยากจะเปิดปากด่า แต่ก็อ้าปากไม่ออก พออ้าปากก็เจ็บไปถึงอวัยวะภายใน ฟันทั้งปากล้วนถูกเย่เทียนเฉินกระทืบไปสามครั้งจนร่วงหมดแล้ว
ฉินอี้กำหมัดแน่น หากกล่าวตามเหตุผลแล้ว เขาก็ประมาณอายุเจ็บสิบปีแล้ว ในด้านตำแหน่งฐานะก็นับว่าค่อนข้างสูง ย่อมโมโหโกรธเคืองง่ายๆ เพราะเรื่องใดๆ ก็ตามอย่างแน่นอน และก็ไม่อาจดีใจจนใบหน้าพริ้มพรายไปด้วยความปลื้มปิติ
แต่ว่าครั้งนี้หลานที่รักและถนอมอย่างฉินเหิงถูกทำร้ายจนหน้าไม่เหลือเค้าเดิม ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ คนที่ลงมือคือเย่เทียนเฉินที่เคยเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวง เป็นลูกหลานไม่เอาไหนและเศษสวะที่มีชื่อเสียง ฉินเหิงถูกเย่เทียนเฉินทำร้าย ไม่ใช่จะบอกว่าฉินเหิงปัญญาอ่อนและไร้ค่ายิ่งกว่าเย่เทียนเฉินอีกงั้นหรือ? นี่จะให้ตระกูลฉินของตนเอาหน้าไปไว่ที่ไหน หน้าแก่ๆ หน้านี้ของตัวเขาฉินอี้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน?
“เรื่องนี้ฉันไม่ยอมจบง่ายๆ แน่ แต่ว่าต้องระวัดระวังสักหน่อย ใกล้จะเลือกตั้งแล้ว ข้างในมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา ถ้าหากว่าฉันสามารถก้าวไปได้อีกก้าว ก็เป็นการยกระดับสำหรับตระกูลฉินทั้งตระกูล ความสัมพันธ์สำคัญมาก ดังนั้นไว้หลังการเลือกตั้งค่อยว่ากันอีกทีเถอะ อดทนไปก่อน” ในที่สุดฉินอี้ก็คลายหมัดที่กำแน่นออก ราวกับอดกลั้นไปชั่วคราว รอให้ได้เลื่อนตำแหน่งก่อน ค่อยทำลายตระกูลเย่
………………………………………………………