เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 78 ขึ้นเครื่องบิน?
สุดท้ายเย่เทียนเฉินก็ตัดสินใจไปยังประเทศ M ไม่ใช่ว่าเขาประนีประนอม และไม่ใช่ว่าถูกบีบบังคับ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องไปประเทศmสักครั้งหนึ่ง บางทีที่นั่นอาจจะเกิดอะไรหลายๆ อย่างขึ้น บางทีที่นั่นอาจสามารถทำให้ขอบเขตพลังของตนเองก้าวหน้าหรือทะลวงไปได้อีกครั้ง
“คำไหนคำนั้น ช่วงที่ทำภารกิจที่ประเทศm นายต้องฟังฉัน ไม่อนุฐาตให้เคลื่อนไหวโดยพลการ” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉิน กล่าวพลางยักคิ้ว
“ไม่ได้หรอก เรื่องของฉันฉันตัดสินใจเอง พวกเธอก็ทำเรื่องของพวกเธอไป ฉันจะไปเดินเล่นให้ทั่วๆ สักหน่อย” เย่เทียนเฉินที่ไม่ยอมลงให้แม้แต่น้อยกล่าวขึ้นทันที
“พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวเล่นกันนะ แต่ไปแลกเปลี่ยนเอกสารลับ ฝั่งตรงข้ามมียอดฝีมือมากมาย ถ้าไม่ระวังพวกเราต้องตายกันหมด” หลิ่วหรูเหมยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“ยอดฝีมือเยอะๆ ก็ดีน่ะสิ แบบนั้นถึงจะเร้าใจพอ ไม่งั้นก็ไม่สนุก” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งพลางกล่าว
หลิ่วหรูเหมยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน ไม่มีวินัยเลยสักนิด เหมือนคนที่มากจากกองทัพที่ไหนกัน เธอโกรธจนแทบทนไม่ไหว ตอนที่ชางหลางบอกเธอว่าครั้งนี้คนที่จะคุ้มครองเธอคือเย่เทียนเฉิน ตอนแรกหลิ่วหรูเหมยก็ต่อต้านเป็นอย่างมาก แม้ว่าเธอคาดเดาว่าเรื่องเมื่อปีนั้นเย่เทียนเฉินถูกผู้อื่นใส่ร้ายแต่ก็ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเย่เทียนเฉินอีก ถึงอย่างไรชื่อเสียงของทั้งคู่ก็ไม่ค่อยดีเพราะเรื่องเมื่อปีนั้น หากยังมีการคบค้าสมาคมกันอีก ก็ไม่แน่ว่าจะถูกผู้คนเล่าลือไปอย่างไร
แต่ว่า ชางหลางรับประกันอีกครั้ง บอกว่าเย่เทียนเฉินเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด การแลกเปลี่ยนเอกสารลับในครั้งนี้ เกี่ยวพันถึงการยกระดับศักยภาพทางการทหารของทั้งประเทศจีน กระทั่งมีผลต่อการพัฒนาในระยะยาว ดังนั้นจึงหวังว่าหลิ่วหรูเหมยจะสามารถปล่อยวางบุญคุณความแค้นส่วนตัวลงชั่วคราว ให้เย่เทียนเฉินคุ้มครองเธอไปทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ประเทศm
อีกทั้งช่วงนี้ หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาที่เมือง แม้ว่าหลิ่วหรูเหมยจะไม่ได้คบค้าสมาคมกับเย่เทียนเฉินหลายปีแล้ว แต่ว่าช่วงนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็มีหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับเย่เทียนเฉิน เธอเองก็ได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเมื่อสักครู่นี้ที่เย่เทียนเฉินแลกหมัดกับหย่งชุนไท่ ถึงกับไม่เป็นรองเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้หลิ่วหรูเหมยประหลาดใจเป็นอย่างมาก สองปีนี้เย่เทียนเฉินไปเจออะไรมากันแน่ ทำมฝีมือถึงได้กลายเป็นแข็งแกร่งเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนสงสัยเสียจริง
ดังเช่นที่ฉีหณูเสวี่ยรู้ ที่ตระกูลหลิ่วสามารถกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวงได้นั้นไม่เหมือนกับตระกูลอื่นๆ ที่มีคนที่มิอาจดูเบาได้รับราชการอยู่ในแวดวงทหารหรือแวดวงการเมือง แต่คนตระกูลหลิ่วปรากฏนักวิทยาศาสตร์ที่มิอาจดูเบาได้ในทุกรุ่น บางทีคนจำนวนมากอาจไม่รู้เรื่องนี้ ต่างก็ไม่เคยได้ยินนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมีแซ่หลิ่วมาก่อน นี่เป็นเพราะรัฐต้องการปกป้องตระกูลหลิ่วจึงแนะนำให้ไม่เผยแพร่ออกไป
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งมีความสำคัญต่อประเทศชาติอย่างไรเป็นสิ่งที่สามารถจินตนาการได้ ในช่วงสงครามโลก ประเทศmไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากคน ต้องการเพียงมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถ นี่จึงทำให้ประเทศmกลายเป็นประเทศชั้นนำของโลก กลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่แข็งแกร่ง มิฉะนั้นจะมีทุกวันนี้ที่ไหนกัน
ตระกูลหลิ่วทุกรุ่นล้สนแต่เกิดนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ธรรมดาขึ้นมา มีน้อยคนนักที่จะรู้ หลิ่วหรูเหมยเป็นบุคคลากรที่มีความสามารถทางด้ายวิทยาศาสตร์ระดับสูงของรุ่นที่อายุน้อบที่สุดของตระกูลหลิ่ว เข้าร่วร่วมในค้นคว้าและวิจัยเทคโนโลยีนิวเคลียร์ นี่ก็เป็นสาเหยุที่ว่าทำไมครั้งนี้หลิ่วหรูเหมยจึงสามารถไปดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับที่ประเทศmได้ กล่าวได้ว่าการคุ้มครองที่รัฐใต่อตระกูลหลิ่วเกินตระกูลที่มีภูมิหลังธรรมดาๆ ไปแล้ว และเป็นสาเหตุที่ตระกูลเก่าแก่ร่ำรวยที่รับข้อเท็จจริงนี้มากมายไม่กล้าหาเรื่องตระกูลหลิ่ว
“เอาล่ะ เอาล่ะ เครื่องจะขึ้นบินแล้ว พวกเราก็ไม่ควรกดดันจนเกินไป เชื่อว่าจะสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย” หย่งชุนไท่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เย่เทียนเฉินและหลิ่วหรูเหมยมองกันอย่างเหยียดหยามครั้งหนึ่ง แต่ละคนไปนั่งในตำแหน่งห่างกัน ไม่ยอมอยู่ด้วยกันเด็ดขาด
หลิ่วหรูเหมยไม่ได้ทำเพื่อตระกูลหลิ่ว แต่ทำเพื่อการอุทิศตนในหลายปีมานี้ของตระกูลหลิ่วที่มีต่อประเทศชาติ ความเพียรพยามยามในการวิจัยและพัฒนาในหลายปีมานี้มิอาจสูญเปล่าได้ และไม่อาจให้เย่เทียนเฉินคนนี้คุ้มคริงตนเองอย่างอยุติธรรมได้
ส่วนเย่เทียนเฉิน หากไม่ใช่เพราะคิดว่าเรื่องเมื่อปีนั้นไม่เกี่ยวข้องกับหลิ่วหรูเหมยจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะอยากไปทดสอบความแข็งแกร่งของทหารรับจ้างและความสามารถของหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจที่ประเทศmแล้วล่ะก็คงไม่ขึ้นมาบนเครื่องบินแน่
ตอนนี้เอง เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเดินขึ้นมาข้างบน พวกเขาต่างก็มองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงแลกเปลี่ยนสายตากันเอง แล้วจึงเดินไปเบื้องหน้าหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่ กล่าวอย่างเคารพว่า “คุณหนูหลิ่ว หย่งชุนไท่!”
“อืม คนก็มาถึงหมดแล้ว ออกเดินทางได้!” หย่งชุนไท่เปิดปากกล่าว
เจียงเหมืองและอวิ๋นเฟยพยักหน้า เดินไปนั่งข้างเย่เทียเนฉิน แม้จะรู้ว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนมิอาจหยั่งได้ แต่ว่าในสายตาของเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น พวกเขายังมีฝีมือการต่อสู้มากกว่าเย่เทียนเฉิน กระทั่งลงมือเต็มที่จะทำให้เขาแพ้ได้ อีกอย่างหัวหน้าเหยียนหลงมีคำสั่งมาแล้วว่า ถ้ามีโอกาสให้สั่งสอนเย่เทียนเฉินสักหน่อย
“สวัสดีครับ ผมคือเจียงเหมิงแห่งกองทัพเหยี่ยว!” เจียงเหมิองกล่าวกับเย่เทียนเฉินยิ้มๆ
“ดี ผมนอนก่อนนะ อรุนสวัส”
เย่เทียนเฉินหาวครั้วหนึ่ง เตรียมจะนอนหลับบนเก้าอี้ ทำให้เจียงเหมิงรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ต่อให้ไม่พอใจไอ้เด็กนี่อยู่บ้าง อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่อาจทำให้ความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกันได้ จะอย่างไรทุกคนต่างก็ไปปฏิบัตรภารกิจ ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ไม่แปลกใจเลยสักนิด
ถ้าหากเป็นคนที่รู้ความสักหน่อย ได้ยินคำว่ากองทัพเหยี่ยว ต่างก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก กระทั่งปรากฏแววเคารพนับถือออกมา แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำให้ในใจของเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นไม่พอใจอย่างยิ่ง
“เย่เทียนเฉิน ถ้ามีโอกาสพวกเรามาแลกเปลี่ยนฝีมือกันสักหน่อยเป็นไง?” เฟยอวิ๋นตรงไปตรงมายิ่งกว่า เดิมทีก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว พลันจ้องเย่เทียนเฉินพลางกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดของเฟยอวิ๋น เย่เทียนเฉินก็ลืมตามองเฟยอวิ๋นครู่หนึ่ง ความจริงแล้วตอนที่เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเข้ามาในเฮลิคอปเตอร์ เขาก็รู้สึกได้ว่าสองคนนี้แข็งแกร่งมาก บนร่างมีการผันแปรของพลังภายในอันแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน จะต้องเป็นยอดฝีมือที่เคยฝึกวิชาของพรรควรยุทธโบราณแน่นอน ดูแล้วกองทัพเหยี่ยวเป็นกองกำลังรายบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในจีน สมคำร่ำลือจริงๆ
เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นทั้งสองแม้ว่าไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับหย่งชุนไท่ แต่ก๋ไม่ได้อ่อนแอ ทั้งสองคนต่างก็ยังอายุน้อย อายุไม่เกินสามสิบปีเท่านั้น สามารถมีฝีมือเช่นนี้ ในทั่วทั้งแผ่นดินจีนก็เพียงพอที่จะภาคภูมิใจ ดังนั้นเฟยอวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินราวกับไม่ให้ความเคารพต่อกองทัพเหยี่ยว ในใจก็ไม่พอใจมาก
“แลกเปลี่ยนฝีมือกันเกรงว่าคุณจะทำลายชื่อเสียงของกองทัพเหยี่ยวให้เหยียนหลงหัวหน้าของพวกคุณมาเองเถอะ!” เย่เทียนเฉินมองเฟยอวิ๋นครู่หนึ่ง ตั้งใตพูดยั่วยุออกไป
“แก…ถ้าแกรนหาที่ตาย พวกเราสองคนที่จัดให้แกได้!” เฟยอวิ๋นโกรธจนทนไม่ไหว หากไม่ใช่เจียงเหมิงขวางเขาไว้ เกรงว่าเขาคงลงมือกับเย่เทียนเฉินไปแล้ว
“อย่าเอะอะก็พูดคำว่าตาย อย่าเอะอะก็คิดว่ากองทัพเหยี่ยวเจ๋งสิ ระเบิดพลังที่เก็บไว้ออกมา ถึงจะเป็นการพิสูจน์ที่ดีที่สุด” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส
ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินโอหัง และไม่ใช่ว่าเขาดูถูกกองทัพเหยี่ยว แต่เป็นเพราะเขาสามารถรู้สึกได้ถึงกระแสความทะนงตนองเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ภารกิจการไปแลกเปลี่ยนเอกสารลับที่ประเทศmในครั้งนี้ หากกล่าวอย่างไม่หลอกตัวเอง ทหารรับจ้างของทางฝั่งประเทศmแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในนั้นไม่ขาดแคลนยอดฝีมือประเภทจ้าวแห่งความรุนแรง แล้วยังมีปิศาจหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจที่มิอาจหยั่งถึงอีกด้วย จินตนาการได้เลยว่า ทั่วทั้งโลกมีเพียงประเทศmที่ก่อตั้งหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจขึ้นมา แข็งแกร่งขนาดไหน กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ไม่กล้าลำพองใจ
ถ้าสมมติว่าเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นไปประเทศmพร้อมความทะนงในฐานะสมาชิกอันเก่งกาจของกองทัพเหยี่ยว เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง พวกเขาจะต้องพบกับหายนะเป็นแน่ กระทั่งอาจไม่มีชีวิตรอดกลับประเทศ
แม้ว่าเย่เทียนเฉินไม่อยากยุ่งเรื่องพวกนี้ แต่ทุกคนก็เป็นลูกหลานชาวจีนเหมือนกัน ไม่อยากให้เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเอาชีวิตไปทั้งที่ประเทศm และทำให้ประเทศจีนขายหน้า
“ดี เย่เทียนเฉิน ฉันจะทำให้แกรู้ถึงความร้ายกาจของกองทัพเหนี่ยวแน่นอน” เฟยอวิ๋นโกรธจนกำหมัดแน่นพลางคำรามเสียงต่ำ
“คุณน่ะไม่ไหวหรอก ให้เหยียนหลงมาบางทีอาจจะสนุกบ้างก็ได้”
“เฮอะ แกโอหังเกินไปแล้ว”
“บิดาจะโอหังขนาดนี้ แกจะเห่าใส่ฉันรึไง? เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์”
เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นต่างก็ถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนทนไม่ไหว เดินทีพอขึ้นเครื่อง เจียงเหมิงพูดออกมาว่าพวกเขาเป็นสมาชิกหัวกะทิของกองทัพเหยี่ยว คิดว่าจะทำให้เย่เทียนเฉินเกิดความหวาดกลัว ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่เป็นไปตามที่คิด ดูราวกับไม่เห็นกองทัพเหยี่ยวอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง จะไม่ให้พวกเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร
“พวกคุณสามคนเลิกทะเลาะกันได้แล้ว หลังจากถึงประเทศm ยังต้องสามัคคัเป็นหนึ่งเดียวกัน มีเรื่องอะไรกลับประเทศไปค่อยว่ากันเถอะ!” หย่งชุนไท่กลัวว่าเย่เทียนเฉินและเจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นที่ทะเลาะกันจนไม่อาจจัดการได้ จึงรีบพูดประนีประนอม
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะให้แกได้รับรู้ถึงรสชาติของหมัด” เฟยอวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว
“สาวน้อยถ้าไม่ยอมรับ ลงเครื่องไปพวกเราก็สู้สักสักหน่อยไหม?” เย่เทียนเฉินไม่ไว้หน้าเฟยอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย
เฟยอวิ๋นโกรธจนทนไม่ไหว แต่กลับถูกเจียงเหมิงลากไปให้นั่งลง เจียงเหมิงยังคงสุขุมอยู่บ้าง เฟยอวิ๋นพูดน้อง แต่ความทะนงตนฝังลึกไปถึงกระดูด กล่าวได้ว่าสมาชิกกองทัพเหยี่ยวทุกคน ต่างก็มีความทะนงตนและความมั่นใจในตัวเงอยู่ เนื่องจากกองทัพเหยี่ยวเป็นกองกำลังรายบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในจีน พวกเขาสามารถเข้าไปได้ ย่อมเป็นหัวกะทิหนึ่งในหมื่น ควรค่าที่จะทะนงตน ทำให้ผู้คนรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนลืมไปว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนมียอดคน
เย่เทียนเฉินกล่าวจบ ก็ไม่สนใจเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นอีก และไม่สนใจใยดีหลิ่วหรูเหมยสาวงามเกรดพรีเมี่ยมคนนี้เลย นอนพิงอยู่บนด้านหนึ่งของโซฟาและหลับไป มาถึงสนามบินนานาชาติตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ตอนนี้ความง่วงเข้าจู่โจมเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ตอนที่เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น ข้างนอกก็มืดไปนานแล้ว มองไปยังเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ต่างก็นั่งตัวตรงอยู่ในตำแหน่ง เป็นดั่งทหารพลปืนตัวอย่าง ส่วนหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่กำลังดื่มกาแฟอยู่ทางด้านหนึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวงของเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ไม่น้อยเลย ยังมีโต๊ะอาหารเล็กๆ อยู่ภายในอีกด้วย
“ฉันหิวแล้ว มีอะไรกินไหม?” นี่คือประโยคแรกของเย่เทียนเฉินตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา
“นายเป็นหมูรึไง นอนไปเต็มๆ สิบกว่าชั่วโมง ไม่นึกว่าจะยังรู้สึกหิวด้วย ดูแล้วนายยังมีความรู้สึกอยู่สินะ” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยามพลางกล่าว
“คำพูดไร้สาระก็พูดน้อยๆ หน่อยเถอะ เธอยังต้องการการคุ้มครองของฉันอยู่รึเปล่า? ถ้าไม่ต้องการ ฉันสามารถลงเครื่องระหว่างทางได้” เย่เทียนนเฉินกล่าวกับหลิ่วหรูเหมยอย่างไม่พอใจ
“ลงเครื่อง? ตอนนี้เฮลิคอปเตอร์ของพวกเราอยู่เหนือพื้นหลายหมื่นเมตร ถ้านายอยากตาย ก็กระโดดลงไปได้เลย” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินอย่างอับจนคำพูด
เย่เทียนเฉินมองข้างนอก ฟ้ามือไปแล้วโดยสิ้นเชิง การไหลเวียนของอากาศอย่างรุนแรงปะทะเข้ามา เป็นเวลากลางดึกแล้ว ทั้งยังอยู่กลางอากาศสูง ข้างนอกต้องเย็นลึกถึงกระดูกแน่นอน อากาศกระทั่งสามารถตัดแผ่นเหล็กได้เลย ทันใดนั้น เย่เทียนเฉินคิดถึงมุขตลกร้ายมุขหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า
“จากตำแหน่งที่เราอยู่ตอนนี้ จะมีคนขึ้นเครื่องบิน[1]ไหมนะ?”
……………………………………………….
[1] คำแสลงหมายถึงช่วยตัวเอง